
ปราชญ์ซุนวูกล่าวว่า
ผู้เชี่ยวชาญการศึกในสมัยโบราณ
ก่อนอื่นเขาต้องสร้างความเกรียงไกรแก่ตนเอง
เพื่อคอยโอกาสที่จะเอาชนะข้าศึก
ความพิชิตนั้นต้องอยู่ที่เรา
แต่ความเอาชนะได้ต้องอยู่ที่ข้าศึก 
เพราะฉะนั้น ผู้เชี่ยวชาญการศึก
แม้อาจจะสร้างความเกรียงไกรแก่ตนเอง
แต่ไม่สามารถทำให้ข้าศึก
จะต้องอยู่ในฐานะเอาชนะได้
(เพราะเป็นเรื่องของข้าศึกเอง)
จึงกล่าวได้ว่า อันชัยชนะนั้น
เราอาจหยั่งรู้ แต่ไม่สามารถจะสร้างขึ้น
ในขณะที่ยังเอาชนะข้าศึกไม่ได้
พึงตั้งรับไว้ก่อน
ครั้นที่จะเอาชนะได้ จงเร่งรุกเถิด
การตั้งรับนั้นเพราะกำลังยังด้อย
รุกเพราะมีกำลังเหลือหลาย
ผู้สันทัดในการตั้งรับนั้น
จะเสมือนหนึ่งซ่อนเร้นยังใต้บาดาลชั้นเก้า
(เงียบกริบปราศจากวี่แววใด ๆ)
ผู้เชี่ยวชาญในการรุกนั้น
ดุจไหวตัว ณ ฟากฟ้าชั้นเก้า
(ก่อเสียงกัมปนาทน่าสะพึงกลัว)
ด้วยเหตุนี้ จึ่งสามารถรักษากำลังของตน
และได้ชัยชนะอย่างสมบูรณ์
การหยั่งเห็นชัยชนะซึ่งใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว
มิใช่ชัยชนะอันดีเลิศ
เมื่อรบชนะแล้วพลรบต่างแซ่ซ้องร้องสรรเสริญ
ก็มิใช่ชัยชนะอันเยี่ยมเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุว่า
ผู้สามารถยกขนสัตว์เพียงเส้นเดียวได้นั้น มิใช่ผู้ทรงพลัง
ผู้มองเห็นเดือนและตะวันได้ มิใช่ผู้มีนัยน์ตาแจ่มใส
ผู้ได้ยินฟ้าคำรณลั่น มิใช่ผู้มีโสตประสาทไว ![]()
ผู้ใดชื่อว่าเชี่ยวชาญการศึกในสมัยโบราณกาล
เขาชนะเพราะเหตุที่อาจเอาชนะได้โดยง่าย
ฉะนั้นชัยชำนะของผู้เชี่ยวชาญศึก
จึงไม่มีนามบันลือในทางสติปัญญา
ไม่มีความดีในทางกล้าหาญ![]()
ดังนั้น ชัยชำนะของเขาเป็นสิ่งที่แน่นอนไม่แปรผัน
ที่ว่าไม่แปรผันนั้น ก็โดยที่เขารบต้องชนะ
ชนะเพราะข้าศึกแพ้แล้วนั่นเอง
![]()
ดังนั้น ก่อนอื่น
ผู้ที่เชี่ยวชาญการศึกต้องอยู่ในฐานะไม่แพ้แล้ว
และไม่พลาดโอกาสที่ข้าศึกจักต้องแพ้ด้วย ![]()
ด้วยเหตุนี้เอง
กองทัพที่กำชัยชนะ จึงรบในเมื่อเห็นชัยแล้ว
แต่กองทัพที่พ่ายแพ้จะรบเพื่อหาทางชนะ ![]()
ผู้เชี่ยวชาญการศึก
มุ่งผดุงธรรมและรักษาระเบียบวินัย
จึงสามารถประสิทธิ์โชคชัยได้
หลักยุทธศาสตร์มีว่า
๑ ศึกษาภูมิประเทศ
๒ การคำนวณความสั้นยาวแห่งยุทธบริเวณ
๓ การวางอัตราพลรบ
๔ การหาจุดศูนย์ถ่วงแห่งกำลัง
๕ สู่ความมีชัยอันลักษณะพื้นภูมิทำให้เกิดการคำนวณ
การคำนวณทำให้มีการวางอัตราพลรบ
การวางอัตราพลรบทำให้เกิดความมีชัยในที่สุด![]()
ดังนั้น กองทัพพิชิต (เมื่อเข้ายุทธแย้งกับข้าศึก)
จึงเสมือนเอา 'อี้' * (ของหนัก) ไปชั่ง 'จู' (ของเบา)
แต่กองทัพที่พ่ายแพ้นั้น
กลับเสมือนเอา 'จู' (ของเบา) ไปชั่ง 'อี้' (ของหนัก)![]()
การทำสงครามของผู้กำชัยชนะ
เปรียบประดุจปล่อยน้ำซึ่งทดไว้
ให้พุ่งสู่หุบห้วยลึกตั้งพัน 'เยิ่น' (ราว ๘๐,๐๐๐ ฟุต ผู้แปล)
นี่คือลักษณะการยุทธแล
* จูและอี้เป็นมาตราชั่งสมัยดึกดำบรรพ์ของจีน กล่าวกันว่า ๒๕ จู เท่ากับ ๑ ตำลึง, ๒ ตำลึง เท่ากับ ๑ อี้ -ผู้แปล
---
ตำราพิชัยสงครามแบ่งเนื้อหาออกเป็น 13 บรรพ ดังนี้
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 1 วางแผน
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 2 การดำเนินสงคราม
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 3 ยุทธโธบาย
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 4 ลักษณะการยุทธ
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 5 ยุทธานุภาพ
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 6 ความตื้นลึกหนาบาง
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 7 การสัประยุทธ์ชิงชัย
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 8 นานาวิการตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 9 การเดินทัพ
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 10 พื้นภูมิ
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 11 นวภูมิ
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 12 พิฆาตด้วยเพลิง
ตำราพิชัยสงครามซุนวู บรรพ 13 การใช้จารชน

แปลและเรียบเรียง : เสถียร วีรกุล พ.ศ. 2495
พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2495
พิมพ์ครั้งที่สองแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2529
.jpg)