ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เข้าใจภาวะทิพย์อำนาจก่อน ของทิพย์เป็นของละเอียดอ่อนยิ่งกว่าอณูปรมาณูซึ่งเรียกว่า "มวลสาร" ดังนั้นเมื่อเราจะไปมองเห็นของเล็กๆ เราก็ต้องรวบรวมพลังกายในกายจากการฝึกอบรมจิตให้สงบละเอียดลง จนอยู่ในสภาพภาวะเดียวกันกับมวลสารที่เราจะสัมผัส เหมือนปรับสภาพตัวเราให้เป็นเครื่องรับภาพโทรทัศน์ เพื่อรับภาพที่เป็นกระแสคลื่นอยู่รอบๆตัวเราซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ เมื่อได้ปฐมฌานแล้ว ฝึกต่อไปเรื่อยๆ ก็มีเพียงสงบอยู่นั่น
แม้บางครั้งอาจจะเกิดฤทธิ์เดชบางอย่างขึ้นมาบ้าง ก็ไม่รู้หนทางที่จะศึกษาให้เจริญขึ้น ไต่ไปสู่การที่จะใช้อำนาจพลังจิตนั้นได้ ดังนั้นการฝึกต่อไปเพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับโลกทิพย์ จิตวิญญาณ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ "ตายแล้วไม่สูญ" กฏแห่งกรรมมีจริง และยังสามารถมองเห็นที่มาของอุปสรรคที่ขวางกั้นจิตในการเจริญสมาธิ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขต่อไป
เมื่อฝึกปฏิบัติจิตสำเร็จผ่านบทปฐมฌานแล้ว จะมีจิตใจสบาย เห็นดวงแก้วที่เราจดจ่อนั้นค่อยๆเรืองแสง จนค่อยๆสว่างมากขึ้นถึงขั้นแสงจ้าจัดแรงกล้าไม่แพ้ดวงอาทิตย์ และความสว่างนี้จะคงตัวอยู่ได้นานไม่ลดลงไปอีกเมื่อได้ปฏิบัติจิตอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นรวมกระแสจิตใจความนึกคิดที่เป็นหนึ่งนั้นค่อยๆบีบรีดให้ปลายแหลมเหมือนเข็ม แล้วค่อยๆน้อมนำกระแสจิตมั่น มุ่งไปเฉพาะที่ส่งเข้าไปที่ศูนย์กลางดวงแก้วนั้นอย่างช้าๆ เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย มิช้ามินานก็จะเห็นภาพนั้นเหมือนของจริงที่มองด้วยตาเนื้อ คือเหมือนลืมตามองเห็น คนไม่ฝึกสมาธิจิตจะหยาบ มองเห็นแต่ของหยาบ คนฝึกจิตให้ละเอียดสุขุม ย่อมมองเห็นของละเอียด (ของทิพย์) ได้ ตาทิพย์นั้นมองเห็นได้ ๒ สิ่ง คือ
๑. ของทิพย์ เช่น วิญญาณและวิมานหรือนิมิตแห่งทิพย์
๒. วัตถุธาตุ คือ วัตถุที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ คือเหมือนลืมตาดูภาพที่เห็นครั้งแรกจะเป็นพวกทิพย์ คือวิญญาณ
ส่วนมากเป็นนิมิตที่ยังไม่แน่นอนถูกต้องเสมอเพราะพลังจิตยังอ่อน อาจจะเป็นภาพหลอกหลอนหรือภาพเนรมิตบังเราได้ ขอให้ท่านวางใจเป็นกลางเฉยๆก่อน แล้วส่งกระแสจิตใจความนึกคิดไปเพิ่มที่ภาพนั้น ภาพนั้นก็ค่อยๆชัดขึ้นมา และมองไปโดยไม่ปรุงแต่งแบบไม่มีความอยากรู้ และต้องไม่กลัวภาพที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะน่ากลัว เมื่อฝึกดูเหตุการณ์ในปัจจุบันได้แล้ว และเมื่อฝึกต่อจนเกิดพลังแข็งแกร่งแล้ว ก็จะสามารถมองไปข้ามมิติและเรื่องอนาคตได้
แต่เรื่องอนาคตนี้จะไม่แน่นอนเสมอไป เพราะยังมีวิบากกรรมเข้ามาปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงได้ และมองถอยไปในอดีตได้ แต่ยังไม่ลึกพอที่จะระลึกชาติ ซึ่งส่วนมากจะสามารถมองเห็นเหตุการณ์เฉพาะที่เราอธิษฐานจิต เช่น อยากรู้สาเหตุที่นั่งปฏิบัติจิตแล้วจิตไม่สงบ เมื่อน้อมจิตไปตามคำอธิษฐาน ก็จะเห็นภาพเหตุการณ์ที่เป็นเหตุปัญญาไม่ให้บรรลุทางสงบ จำไว้ว่า ถ้าได้เห็นเรื่องของโลกวิญญาณแล้วอย่าได้ทำเป็นปากเปราะ เห็นอะไรเที่ยวพูดเที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟัง คุณต้องพิจารณาว่าสมควรบอกหรือไม่ เพราะถ้าบอกสุ่มๆ อาจจะต้องรับกรรมในฐานะเอาเรื่องของโลกวิญญาณมาเปิดเผย โดยพูดแล้วอาจจะเกิดความเสียหายกับโลกวิญญาณ เหตุทั้งนี้ เพราะว่าการเอาเรื่องอีกโลกหนึ่งมาบอกเล่าให้คนอีกโลกหนึ่งฟัง คนส่วนมากจะไม่เชื่อ แล้วก็จะกล่าวคำพูดหยาบช้าสบประมาทโลกวิญญาณ ทำให้เกิดภาวะกฏแห่งกรรม ลงโทษผู้พูดคำสบประมาทนั้นได้ ซึ่งก็อาจจะพาให้ท่านเดือดร้อนไปด้วย ต่อไปพิสูจน์มองวัตถุด้วยตาทิพย์ คือ เมื่อฝึกจนบรรลุตาทิพย์ หัดหลับตามองเห็นภาพวัตถุต่างๆให้ชัดเหมือนลืมตาดู และจะแน่นอน ต้องฝึกจนถึงขั้นหลับตาอ่านหนังสือได้ไม่ผิดแม้สักตัวเดียว แสดงว่า จบหลักสูตรการฝึกตาทิพย์แล้ว
ระหว่างฝึกตาทิพย์นี้
๑. ใบหน้าและลูกตาจะไม่มีอาการบิดเบี้ยว
๒. ประสาททุกส่วนจะไม่มีอาการตึงเครียด
๓. จำไว้ว่า นี่คือการฝึกทิพย์อำนาจ ไม่ใช่ฝึกตาเนื้อ ฝึกรักษาโรค โรคภัยไข้เจ็บนั้นเกิดจากกรรม ๒ ประเภท
ประเภทที่๑ เกิดจากกรรม ในอดีตชาติส่งผลมาตามล้างตามสนองให้วิบากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบันชาติส่งผลตามทันในชาติเดียวกันนี้
ประเภทที่ ๒ เกิดจากการเสื่อมโทรมของร่ายกาย ที่เป็นไปตามภาวะธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ หรือเกิดจากการที่มนุษย์ไม่รู้จักรักษาพยาบาลร่างกายให้แข็งแรง ที่จะไม่ให้ร่างกายเสื่อมเร็วก่อนอายุขัยอันสมควร การรักษาโรคจึงเป็นการดุลกรรมคนป่วย และส่วนมากคนป่วยเล็กน้อยไม่ค่อยจะหาหมอรักษา จะรักษาต่อเมื่อโรคกำเริบจนอาการหนักแล้ว ถ้าจะช่วยรักษาโรคให้คนป่วยแล้ว ต้องอาศัยตาทิพย์ พิจารณาดูเรื่องกรรมวิบากของเขาก่อน แล้วจึงค่อยๆรักษาให้หายได้ พร้อมกับแนะนำให้สงบควบคู่กับการทำบุญสร้างกุศลช่วยเหลือคนอื่นด้วยกำลัง หรือปัจจัยตามกำลังความสามารถของคนที่จะทำได้ดีที่สุด
กสิณ ๑๐
กสิณมีทั้งหมด ๑๐ กองด้วยกันคือ
๑.ปฐวี
กสิณ เพ่งดิน ๖.โลหิต
กสิณ เพ่งสีแดง
๒.อาโป
กสิณ เพ่งน้ำ ๗.ปีต
กสิณ เพ่งสีเหลือง
๓.เตโช
กสิณ เพ่งไฟ ๘.โอทา
กสิณ เพ่งสีขาว
๔.วาโย
กสิณ เพ่งลม ๙.โอโลก
กสิณ เพ่งแสงสว่าง
๕.นีล
กสิณ เพ่งสีเขียว ๑๐.อากาส
กสิณ เพ่งอากาศ
อารมณ์ของฌานในกสิณทั้ง ๑๐
จิตเข้าสู่ระดับฌานเมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว จิตก็เข้าระดับฌาน อารมณ์ของฌานใน
กสิณทั้ง ๑๐ อย่างนั้นมีอารมณ์ดังนี้ ฌานในกสิณนี้ท่านเรียกฌาน ๔ บ้างฌาน ๕ บ้าง เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิด ขออธิบายฌาน ๔ และฌาน ๕ ให้เข้าใจเสียก่อน
ฌาน ๔ ท่านเรียกว่า จตุตถฌาน ที่เรียกว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึงฌาน ๔ ท่านจัดไว้อย่างนี้ สำหรับในที่บางแห่งท่านว่ากสิณทั้งหมดทรงได้ถึงฌาน ๕ ท่านจัดไว้ดังต่อไปนี้
๑.ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๒.ทุติยฌานมีองค์ ๔ คือละวิตกเสียได้ คงทรง วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๓.ตติยฌานมีองค์ ๓ คือละวิตก วิจาร เสียได้ คงทรงปีติ สุข เอกัคคตา
๔.จตุตถฌานมีองค์ ๒ คือละวิตก วิจาร ปีติเสียได้ คงทรงสุขกับเอกัคคตา
๕.ฌาน ๕ หรือที่เรียกว่าปัญจมฌาน มีองค์เหมือนกัน คือ ละวิตก วิจาร ปีติ สุขเสียได้ คงทรงอยู่ในเอกัคคตา และเพิ่มอุเบกขาเข้ามาอีก ๑
เมื่อพิจารณาดูแล้วฌาน ๔ กับฌาน ๕ ก็มีสภาพอารมณ์เหมือนกัน ผิดกันนิดหน่อยที่ฌาน ๒ ละองค์เดียว ฌาน ๓ ละ ๒ องค์ ฌาน ๔ ละ ๓ องค์ มาถึงฌาน ๕ ก็มีสภาพเหมือนฌาน ๔ ตามนัยนั่นเอง อารมณ์ฌานมีอาการเหมือนกันในตอนสุดท้าย อารมณ์อย่างนี้ ท่านแยกเรียกเป็นฌาน ๔ หรือฌาน ๕ เพื่ออะไรไม่เข้าใจเหมือนกัน กสิณนี้ถ้าท่านผู้ปฏิบัติทำให้ถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๕ ซึ่งมีอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์และอุเบกขารมณ์ไม่ได้ ก็เท่ากับท่านผู้นั้นไม่ได้เจริญในกสิณนั้นเอง เมื่อได้แล้วก็ต้องฝึกการเข้าฌานออกฌานให้คล่องแคล่ว กำหนดเวลาเข้า เวลาออกให้ได้ตามกำหนด จนเกิดความชำนาญ เมื่อออกเมื่อไร ได้ตามใจนึก การเข้าฌานต้องคล่อง ไม่ใช่เนิ่นช้าเสียเวลาแม้แต่ครึ่งนาที พอคิดว่าเราจะเข้าฌานละ ก็เข้าได้ทันที ต้องยึดฌาน ๔ หรือฌาน ๕ คือ เอาฌานที่สุดเป็นสำคัญ เมื่อเข้าฌานคล่องแล้ว ต้องฝึกนิรมิตตามอำนาจกสิณให้ได้คล่องแคล่วว่องไว จึงชื่อว่าได้กสิณกองนั้น ๆ ถ้ายังทำไม่ได้ถึงไม่ควรย้ายไปปฏิบัติในกสิณกองอื่น การทำอย่างนั้นแทนที่จะได้ผลเร็วกลับเสียผล คือของเก่าไม่ทันได้ ทำใหม่ เก่าก็หาย ใหม่ก็ไม่ปรากฏผล ถ้าชำนาญช่ำชองคล่องแคล่วในการนิรมิต อธิษฐาน แล้วเพียงกองเดียว กองอื่นทำไม่ยากเลย เพราะอารมณ์ในการฝึกเหมือนกัน ต่างกันแต่สีเท่านั้น จะเสียเวลาฝึกกองต่อๆไปไม่เกินกองละ ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน เป็นอย่างสูง จะนิรมิตอธิษฐานได้สมตามที่ตั้งใจของนักปฏิบัติ จงอย่าใจร้อน พยายามฝึกฝน จนกว่าจะได้ผลสูงสุดเสียก่อน จึงค่อยย้ายกองต่อไป
องค์ฌานในกสิณทั้ง ๑๐ กอง
ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ วิตก มีอารมณ์จับอยู่ที่ปฏิภาคนิมิต กำหนดจิตจับภาพปฏิภาคนิมิตนั้นเป็นอารมณ์ วิจาร พิจารณาปฏิภาคนิมิตนั้น คือพิจารณาว่า รูปปฏิภาคนิมิตสวยสดงดงาม คล้ายแว่นแก้วที่มีคนชำระสิ่งเปรอะเปื้อนหมดไป เหลือไว้แต่ดวงแก้วที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากธุลีต่างๆ มีประเภท ๕ คือ
๑.ขุททกาปีติ มีอาการขนพองสยองเกล้าและน้ำตาไหล
๒.ขณิกาปีติ มีแสงสว่างเข้าตาคล้ายแสงฟ้าแลบ
๓.โอกกันติกาปีติ มีอาการร่างกายกระเพื่อมโยกโคลง คล้ายเรือที่ถูกคลื่นซัด บางท่านก็นั่งโยกไปโยกมา อย่างนี้เรียกโอกกันติกาปีติ
๔.อุพเพงคาปีติ มีกายลอยขึ้นเหนือพื้น บางรายก็ลอยไปได้ไกลหลายๆกิโลก็มี
๕.ผรณาปีติ อาการเย็นซ่าซาบทั้งร่างกาย และมีอาการคล้ายกับร่างกายใหญ่สูงขึ้นกว่าปกติสุข มีอารมณ์เป็นสุขเยือกเย็น ในขณะที่พิจารณาปฏิภาคนิมิต
เอกัคคตา มีจิตเป็นอารมณ์เดียว คือมีอารมณ์จับอยู่ในปฏิภาคนิมิตเป็นปกติไม่สอดส่ายอารมณ์ออกนอกจากปฏิภาคนิมิต ทั้ง ๕ อย่าง นี้ เป็นปฐมฌาน มีอารมณ์เหมือนกับฌานในกรรมฐานอื่นๆ แปลกแต่กสิณมีอารมณ์ยึดนิมิตเป็นอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ให้พลาดจากนิมิต จนจิตเข้าสู่จตุตถฌาน หรือปัญจมฌาน
ทุติยฌานมีองค์ ๓ คือตอนนี้จะเว้นจากการภาวนาไปเอง การกำหนดพิจารณารูปกสิณจะยุติลง คงเหลือแต่ความสดขื่นด้วยอำนาจปีติอารมณ์สงัดมาก ภาพปฏิภาคนิมิตจะสดสวยงามวิจิตรตระการตามากกว่าเดิม มีอารมณ์จิตแนบสนิทเป็นสมาธิมากกว่า
ตติยฌาน มีองค์ ๒ คือ ตัดความสดชื่นทางกายออกเสียได้ เหลือแต่ความสุขแบบเครียดๆ คือมีอารมณ์ดิ่งแห่งจิต คล้ายใครเอาเชือกมามัดไว้มิให้เคลื่อนไหว ลมหายใจอ่อนระรวยน้อยเต็มที ภาพนิมิตดูงามสง่าราศีละเอียดละมุนละไม มีรัศมีผ่องในเกินกว่าที่ประสบมา อารมณ์ของจิตไม่สนในกับอาการทางกายเลย
จตุตถฌาน ทรงไว้เพียงเอกัคคตา กับอุเบกขา คือมีอารมณ์ดิ่ง ไม่มีอารมณ์รับความสุขและความทุกข์ใดๆ ไม่รู้สึกในเวทนาทั้งสิ้น มีอุเบกขาวางเฉย ต่ออารมณ์ทั้งมวลมีจิตสว่างโพลง คล้ายใครเอาประทีปที่สว่างมากหลายๆดวงตั้งไว้ในที่ใกล้ ไม่มีอารมณ์รับแม้แต่เสียง ลมหายใจสงัด รูปกสิณเห็นชัดคล้ายดาวประกายพรึก ฌานที่ ๔ เป็นฌานสำคัญชั้นยอด ควรกำหนดรู้แบบง่ายๆไว้ว่าเมื่อมีอารมณ์จิตถึงฌาน ๔ จะไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ควรกำหนดไว้ง่ายๆ แบบนี้สะดวกดี
ท่านทำได้ถึงระดับนี้ ก็ชื่อว่าจบกิจใน
กสิณ ไม่ว่ากองใดก็ตาม จุดจบกสิณต้องถึงฌาน ๔ และนิมิตอะไรต่ออะไรตามอำนาจกสิณ ถ้าทำไม่ถึงกับนิมิตได้ตามอำนาจกสิณ ก็เป็นเสมือนท่านยังไม่ได้กสิณเลย
๑. ปฐวีกสิณ
กสิณนี้ ท่านเรียกว่า ปฐวี
กสิณ เพราะมีการเพ่งดินเป็นอารมณ์ ศัพท์ว่า "ปฐวี" แปลว่า "ดิน"
กสิณแปลว่า "เพ่ง" รวมความแล้วได้ว่า "เพ่งดิน"
อุปกรณ์
กสิณ ปฐวี
กสิณนี้ มีดินเป็นอุปการณ์ในการเพ่ง จะเพ่งดินที่เป็นพื้นลานดิน ที่ทำให้เตียนสะอาดจากผงธุลี หรือจะทำเป็นสะดึงยกไปมา ได้ก็ใช้ได้ทั้งสองอย่าง ดินที่จะเอามาทำเป็นดวงกสิณนั้น ท่านให้ใช้ดินสีอรุณอย่างเดียว ห้ามเอาดินสีอื่นมาปน ถ้าจำเป็นหาดินสีอรุณไม่ได้มาก ท่านให้เอาดินสีอื่นรองไว้ข้างล่างแล้วเอาดินสีอรุณทาทับไว้ข้างบน ดินสีอรุณนี้ ท่านโบราณาจารย์ท่านว่าหาได้จากดินขุยปุย เพราะปูขุดเอาดินสีอรุณขึ้นไว้ปากช่องรูที่อาศัย เมื่อหาดินได้ครบแล้ว ต้องทำสะดึงตามขนาดดังนี้ ถ้าทำเป็นลายติดพื้นดิน ก็มีขนาดเท่ากัน
ขนาดดวง
กสิณ วง
กสิณที่ทำเป็นวงกลมสำหรับเพ่ง อย่างใหญ่ท่านให้ทำไม่เกินเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ คืบ ๔ นิ้ว อย่างเล็กไม่เล็กกว่าขอบขัน ระยะนั่งเพ่งบริกรรม ท่านให้นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลกว่า ๒ คืบ ๔ นิ้ว ตั่งที่รองวงกสิณ ท่านให้สูงไม่เกิน ๒ คืบ ๔นิ้ว ท่านว่าเป็นระยะที่พอเหมาะพอดี เพราะจะได้ไม่มองเห็นรอยที่ปรากฏบนดวงกสิณ ที่ท่านจัดว่าเป็นกสิณโทษ เวลาเพ่งกำหนดจดจำ ท่านให้มุ่งจำแต่สีดิน ท่านไม่ให้คำนึงถึงของและริ้วรอยต่าง ๆ
กิจก่อนการเพ่ง
กสิณเมื่อจัดเตรียมอุปการณ์เรียบร้อยแล้ว ท่านให้ชำระร่างกายให้สะอาดแล้วนั่งขัดสมาธิที่ตั่งสำหลับนั่ง หลับตาพิจารณาโทษ ของกามคุณ ๕ ประการตามนัยที่กล่าวไว้ในอสุภกรรมฐาน ต้องการทราบละเอียด โปรดดูที่บทว่าด้วยอสุภกรรมฐานจะทราบละเอียด เมื่อพิจารณาโทษของกามคุณจนจิตสงบจากนิวรณ์แล้ว ให้ลืมตาขึ้นจ้องมองภาพกสิณ จดจำให้ดีจนคิดว่าจำได้ ก็หลับตาใหม่ กำหนดภาพกสิณไว้ ในใจภาวนาเป็นเครื่องผูกใจไว้ว่า "ปฐวีกสิณ" เมื่อเห็นว่าภาพกสิณเลือนไปก็ลืมตาดูใหม่ เมื่อจำได้แล้วก็หลับตาภาวนากำหนดจดจำภาพนั้นต่อไป ทำอย่างนี้บ่อยๆ หลายร้อยหลายพันครั้งได้ ไม่จำกัด จนกว่าอารมณ์ของใจจะจดจำภาพกสิณไว้ได้เป็นอย่างดี จะเพ่งมองดูหรือไม่ก็ตาม ภาพกสิณนั้น ก็จะติดตาติดใจ นึกเห็นภาพกสิณได้ชัดเจนทุกขณะที่ปรารถนา จะเห็นติดตาติดใจตลอดเวลาอย่างนี้ ท่านเรียกว่า "อุคคหนิมิต " แปลว่านิมิตติดตา อุคคหนิมิตนี้ ท่านว่ายังมีกสิณโทษอยู่มาก คือภาพที่เห็นเป็นภาพดินตามที่ทำไว้และขอบวงกลมของสะดึงย่อมปรากฏริ้วรอยต่างๆ เมื่อเข้าถึงอุคคหนิมิตแล้วท่านให้เร่งระมัดระวังรักษาอารมณ์สมาธิและนิมิตนั้นไว้ จนกว่าจะได้ปฏิภาคนิมิต ปฏิภาคนิมิตนั้น รูปและสีของกสิณเปลี่ยนจากเดิม คือกสิณทำเป็นวงกลมด้วยดินแดงนั้น จะกลายเป็นเสมือนแว่นแก้ว มีสีใสสะอาดผ่องใสคล้ายน้ำที่กลิ้งอยู่ในใบบัวฉะนั้น รูปนั้นบางท่านกล่าวว่า คล้ายดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกปิดบัง เอากันง่ายๆ ก็คือ เหมือนแก้วที่สะอาดนั่นเอง รูปคล้ายแว่นแก้ว จะกำหนดจิตให้เล็กโตสูงต่ำ ได้ตามความประสงค์ อย่างนี้ ท่านเรียกปฏิภาคนิมิต เมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วท่านให้นักปฏิบัติเก็บตัว อย่ามั่วสุมกับนักคุยทั้งหลาย จงรักษาอารมณ์กายใจให้อยู่ในขอบเขตของสมาธิเป็นอันดี อย่าใส่ใจอารมณ์ของนิวรณ์แม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะแม้นิดเดียวของนิวรณ์ อาจทำอารมณ์สมาธิที่กำลังจะเข้าสู่ระดับฌานนี้สลายตัวได้โดยฉับพลัน ขอท่านนักปฏิบัติจงระมัดระวังอารมณ์ รักษาปฏิภาคนิมิตไว้ คล้ายกับระมัดระวัง บุตรสุดที่รัก ที่เกิดในวันนั้น
๒. อาโปกสิณ
อาโป
กสิณ "อาโป" แปลว่า "น้ำ"
กสิณแปลว่า "เพ่ง" อาโปกสิณแปลว่า "เพ่งน้ำ" กสิณน้ำมีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ท่านให้เอาน้ำที่สะอาด ถ้าได้น้ำฝนยิ่งดี ถ้าหาน้ำฝนไม่ได้ท่านให้เอาน้ำที่ใส แกว่งสารส้มก็ได้ อย่าเอาน้ำขุ่น หรือสีต่างๆมา ท่านให้ใส่น้ำในภาชนะเท่าที่จะหาได้ ใส่ให้เต็มพอดี อย่าให้พร่อง การนั่ง หรือเพ่งมีอาการอย่างเดียวกับปฐวีกสิณจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต อุคคหนิมิตของอาโปกสิณนี้ปรากฏเหมือนน้ำไหวกระเพื่อม สำหรับปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนพัดใบตาลแก้วมณี คือใสมีประกายระยิบระยับ เมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วจงเจริญต่อไปให้ถึงจตุตถฌาน บทภาวนา ภาวนาว่า อาโปกสิณัง
๓. เตโชกสิณ
เตโช
กสิณ แปลว่า "ไฟ"
กสิณ "เพ่งไฟ" เป็นอารมณ์ กสิณนี้ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้จุดไฟให้ไฟลุกโชนแล้วเอาเสื่อหรือหนังมาเจาะทำเป็นช่องกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้ว แล้ววางเสื่อหรือหนังนั้นไว้ข้างหน้า ให้เพ่งพิจารณาไปตามช่องนั้น การนั่งสูง หรือระยะไกลใกล้ เหมือนกันกับปฐวีกสิณ การเพ่ง อย่าเพ่งเปลวไฟที่ไหวไปมา ให้เลือกเพ่งแต่ไฟที่มีแสงหนาทึบที่ปรากฎตามช่องนั้นเป็นอารมณ์ ภาวนาว่า เตโชกสิณัง ๆ ๆ ๆ ๆ หลายๆ ร้อยพันครั้งจนกว่านิมิตจะเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเป็นดวงเพลิงตามปกติ สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้นมีรูปคล้ายผ้าแดงผืนหนา หรือคล้ายกับพัดใบตาลที่ทำด้วยทองหรือเสาทองคำที่ตั้งอยู่ในอากาศ เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วท่านจงพยายามทำให้ถึงจตุตถฌานเถิด ผลที่ตั้งใจไว้จะได้รับสมความปรารถนา
๔. วาโยกสิณ
วาโย
กสิณ แปลว่า "เพ่งลม" การถือเอาลมเป็นนิมิตนั้น ท่านกล่าวว่าจะถือเอาด้วยการเห็น หรือจะถือเอาด้วยการกระทบก็ได้ การกำหนดถือเอาด้วยการเห็น ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดถูกต้องปลายหญ้าหรือปลายไม้เป็นอารมณ์เพ่งพิจารณา
การถือด้วยการถูกต้อง ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดมากระทบตัวเป็นอารมณ์ สมัยนี้ การถือเอาลมกระทบ จะให้พัดลมเป่าแทนลมพัด หรือถือเอาการเห็นต้นหญ้าต้นไม้ที่ไหวเพราะลมพัด จะใช้ลมเป่าให้ไหวแทนลมธรรมชาติก็ได้ เมื่อเพ่งพิจารณาอยู่ให้ภาวนาว่า วาโยกสิณัง ๆ ๆ ๆ
อุคคหนิมิตของวาโยกสิณนี้ ปรากฏว่ามีการไหว ๆ คล้ายกับกระไอแห่งการหุงต้มที่มีไอปรากฏมากระทบจักษุ พูดให้ชัดเข้าก็คือ มีปรากฏการณ์คล้ายตามองเห็นไอน้ำที่ต้มเดือดแล้วนั้นเอง มีอาการปรากฎขึ้นอย่างนั้น
สำหรับปฏิภาคนิมิต มีอาการปรากฏภาพเหมือนไอน้ำที่ลอยขึ้น แต่ไม่เคลื่อนไหวหรือคล้ายกับก้อนเมฆบางที่ลอยอยู่คงที่นั้นเอง อาการอื่นนอกนี้เหมือนปฐวีกสิณ
๕. นิลกสิณ
นิล
กสิณ แปลว่า "เพ่งสีเขียว" ท่านให้ทำสะดึงขึงด้วยผ้าหรือหนังกระดาษก็ได้แล้วเอาสีเขียวทา หรือจะเพ่งพิจารณาสีเขียวจากใบไม้ก็ได้ ทำเช่นเดียวกับปฐวี
กสิณ
อุคคหนิมิต เมื่อเพ่งภาวนาว่า นีลกสิณัง ๆ ๆ ๆ อุคคหนิมิตนั้นปรากฏเป็นรูปที่เพ่งนั่นเอง
๖. ปีตกสิณ
ปีต
กสิณ แปลว่า "เพ่งสีเหลือง" การปฏิบัติทุกอย่างเหมือนนีลกสิณ แต่อุคคหนิมิตเป็นสีเหลือง ปฏิภาคนิมิตเหมือนนีล
กสิณ นอกนั้นเหมือนกันหมด บทภาวนา ภาวนาว่าเป็นปีตกสิณัง ๆ ๆ
๗. โลหิตกสิณ
โลหิต
กสิณ แปลว่า ไเพ่งสีแดง" บทภาวนา ภาวนาว่าโลหิตกสิณัง ๆ ๆ ๆ นิมิตที่จัดหามาเพ่ง จะเพ่งดอกไม้สีแดงหรือ เอาสีแดงมาทาทับกับสะดึงก็ได้ อุคคหนิมิตเป็นสีแดง ปฏิภาคนิมิตเหมือนนีล
กสิณ
๘. โอทากสิณ
โอทา
กสิณ แปลว่า "เพ่งสีขาว" บทภาวนา ภาวนาว่า โอทาตกสิณัง ๆ ๆ ๆ สีขาวที่จะเอามาเพ่งนั้น จะหาจากดอกไม้หรืออย่างอื่นก็ได้ ตามแต่จะสะดวก หรือจะทำเป็นสะดึงก็ได้นิมิต ทั้งอุคคหะและปฏิภาคก็เหมือนนีล
กสิณ เว้นไว้แต่อุคคหะเป็นสีขาวเท่านั้นเอง
๙. อาโลกสิณ
อาโล
กสิณ แปลว่า "เพ่งแสงสว่าง" ท่านให้หาแสงสว่างที่ลอดมาตามช่องฝาหรือช่องหลังคา หรือเจาะเสื่อลำแพน หรือหนังให้เป็นช่องเท่า ๑ คืบ ๔ นิ้ว ตามที่กล่าวในปฐวี
กสิณ แล้วภาวนาว่า อาโลกสิณัง ๆ ๆ ๆอย่างนี้ จนอุคคหนิมิตปรากฏ อุคคหนิมิตของอาโลกสิณเป็นเสงสว่าง ที่เหมือนรูปเดิมที่เพ่งอยู่ ปฏิภาคนิมิตนั้นปรากฏเป็นเสงสว่างหนาทึบ เหมือนกับเอาแสงสว่างมากองรวมกันไว้ที่นั่นแล้ว ต่อไปขอให้นักปฏิบัติ จงพยายามทำให้เข้าถึงจคคุถฌาน เพราะข้อความที่จะกล่าวต่อไปก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในปฐวี
กสิณ
๑๐. อากาศกสิณ
อากาส
กสิณแปลว่า "เพ่งอากาศ" อากาส
กสิณนี้ ภาวนาว่า อากาสกสิณัง ๆ ๆ ท่านให้ทำเหมือนในอาโลกกสิณคือ เจาะช่องฝาเสื่อหรือหนัง หรือ มองอากาศ คือความว่างเปล่าที่ลอดมาตามช่องฝา หรือหลังคา หรือตามช่องเสื่อหรือผืนหนัง โดยกำหนดว่า อากาศ ๆ จนเกิดอุคคหนิมิต ซึ่งปรากฏเป็นช่องตามรูปที่กำหนด ปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏคล้ายอุคคหนิมิต แต่มีพิเศษที่บังคับให้ขยายออกให้ใหญ่เล็ก สูงต่ำได้ตามความประสงค์ อธิบายอื่นก็เหมือนกสิณอื่น
อานุภาพกสิณ ๑๐
กสิณ ๑๐ ประการนี้ เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว เมื่อบำเพ็ญปฏิบัติในกสิณกองใดกองหนึ่ง สำเร็จถึงจคคุถฌานแล้ว ก็ควรฝึกตามอำนาจที่กสิณกองนั้นมีอยู่ให้ชำนาญ ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน ๔ แล้ว แต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่างๆตามแบบ ท่านว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้เข้าฌานถึงกสิณ อำนาจฤทธิ์ในกสิณต่างๆมีดังนี้
ปฐวี
กสิณ มีฤทธิ์ดังนี้ เช่น นิรมิตคนๆเดียวให้เป็นคนมากได้ ให้คนมากเป็นคนๆเดียวได้ ทำน้ำและอากาศให้แข็งได้
อาโป
กสิณ สามารถนิรมิตของแข็งให้อ่อนได้ เช่น อธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหรือหินที่กันดารน้ำให้เกิดบ่อน้ำ อธิษฐานหินดินเหล็กให้อ่อน อธิษฐานในสถานที่ฝนแล้งให้เกิดฝนอย่างนี้เป็นต้น
เตโช
กสิณ อธิษฐานให้เกิดเป็นเพลิงเผาผลาญหรือให้เกิดแสงสว่างได้ ทำแสงสว่างให้เกิดแก่จักษุญาณ สามารถเห็นภาพต่างๆในที่ไกลได้คล้ายตาทิพย์ ทำให้เกิดความร้อนในที่ทุกสถานได้
วาโย
กสิณ อธิษฐานจิตให้ตัวลอยตามลม หรืออธิษฐานให้ตัวเบา เหาะไปในอากาศก็ได้ สถานที่ใดไม่มีลมอธิษฐานให้มีลมได้
นีล
กสิณ สามารถทำให้เกิดสีเขียว หรือทำสถานที่สว่างให้มืดครึ้มได้
ปีต
กสิณ สามารถนิรมิตสีเหลืองหรือสีทองให้เกิดได้
โลหิต
กสิณ สามารถนิรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์
โอทา
กสิณ สามารถนิรมิตสีขาวให้ปรากฏ และทำให้เกิดแสงสว่างได้ เป็นกรรมฐาน ที่อำนวยประโยชน์ในทิพยจักษุญาณ เช่นเดียวกับเตโชกสิณ
อาโล
กสิณ นิรมิตรูปให้มีรัศมีสว่างไสวได้ ทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้ เป็นกรรมฐานสร้างทิพยจักษุญาณโดยตรง
อากาส
กสิณ สามารถอธิษฐานจิตให้เห็นของที่ปกปิดไว้ได้ เหมือนของนั้นวางอยู่ในที่แจ้ง สถานที่ใดเป็นอับด้วยอากาศ สามารถอธิษฐานให้เกิดความโปร่งมีอากาศสมบรูณ์เพียงพอแก่ความต้องการได้
วิธีอธิษฐานฤทธิ์
วิธีอธิษฐานจิตที่จะให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการ ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน ๔ ก่อนแล้วออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานจิตในสิ่งที่ตนต้องการจะให้เป็นอย่างนั้นแล้วกลับเข้าฌาน ๔ อีก ออกจากฌาน ๔ แล้วอธิษฐานจิตทับลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการจะปรากฏสมความปรารถนา
(จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน พิมพ์โดย โฮมเพจศรัทธาธรรม)
แนะกสิณร่วมวิปัสสนาญาณ
ท่านผู้ฝึกกสิณ ถ้าประสงค์จะให้ได้อภิญญาหก ก็เจริญไปจนกว่าจะชำนาญทั้ง ๑๐
กอง ถ้าท่านประสงค์ให้ได้รับผลพิเศษเพียงวิชชาสาม ก็เจริญเฉพาะอาโลกกสิณ หรือเตโชกสิณ
หรือโอทาตกสิณ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วฝึกทิพยจักษุญาณ
แต่ท่านที่มีความประสงค์จะเร่งรัดให้เข้าสู่พระนิพพานเร็วๆ ไม่มีความประสงค์จะได้ญาณพิเศษเพราะเกรงจะล่าช้าหรืออัชฌาสัยไม่
ปรารถนารู้อะไรจุกจิก ชอบลัดตัดทางเพื่อถึงจุดหมายปลายทางขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑. สักกายทิฏฐิ เห็นตรงข้ามกับอารมณ์นี้ที่เห็นว่า
ร่างกายคือขันธ์ ๕ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์
๕ ขันธ์ ๕ มีในเราเสียได้ โดยเห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เพราะถ้าขันธ์ ๕ มีในเรา เรามีในขันธ์
๕ หรือขันธ์ ๕ เป็นเรา เราเป็นขันธ์ ๕ จริงแล้ว ในเมื่อเราไม่ต้องการความทุกข์อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บและการเปลี่ยนแปลง
ขันธ์ ๕ ก็ต้องไม่มีการป่วยไข้และเปลี่ยนแปลง
เราไม่ต้องการให้ขันธ์ ๕ สลายตัว ขันธ์ ๕ ถ้าเป็นของเราจริงก็ต้องดำรงอยู่
ไม่สลายตัว แต่นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับเต็มไปด้วยความทุกข์
เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องการ
และพยายามเหนี่ยวรั้งด้วยวิธีการต่างๆ ขันธ์ ๕ ก็มิได้เป็นไปตามความปรารถนา
ในที่สุดก็สลายตัวจนได้ เพราะขันธ์ ๕ เป็นสมบัติของกฎธรรมดา กฎธรรมดาต้องการให้เป็นอย่างนั้น ไม่มีใคร
มีอำนาจเหนือกฎธรรมดา ฝ่าฝืนกฎธรรมดาไม่ได้
เมื่อจิตยอมรับนับถือกฎธรรมดา ไม่หวั่นไหวในเมื่อร่างกายได้รับทุกข์เพราะป่วยไข้
หรือเพราะการงานหนักและอาการเกิดขึ้นเพราะเหตุเกินวิสัย อารมณ์ใจยอมรับนับถือว่า
ธรรมดาของผู้ที่เกิดมาในโลกที่หาความแน่นอนไม่ได้ โลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขจริงจังมิได้ ที่เห็นว่าเป็นสุขจากภาวะของโลก
ก็เป็นความสุขที่มีผีสิง คือสุขไม่จริง
เป็นความสุขอันเกิดจากเหยื่อล่อของความทุกข์
พอพบความสุขความทุกข์ก็ติดตามมาทันที เช่น มีความสุขจากการได้ทรัพย์
พร้อมกันนั้นความทุกข์เพราะการมีทรัพย์ก็เกิด เพราะทรัพย์ที่หามาได้นั้นจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม
เมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องมีทุกข์ทันทีด้วยการคอยระวังรักษาไม่ให้สูญหายหรือทำลาย
เมื่อทรัพย์นั้นเริ่มค่อย ๆ สลายตัวหรือสูญหายทำลายไป
ทุกข์เกิดหนักขึ้นเพราะมีความ เสียดายในทรัพย์
แม้แต่ตัวเองก็แบกทุกข์เสียบรรยายไม่ไหว จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องบำรุงความสุขได้จริงจัง
ไม่ว่าอะไรก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของกฎธรรมดาสิ้น จิตเมื่อเห็นอย่างนี้
ความสงบระงับจากความหวั่นไหวของการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้น
เป็นจิตที่ประกอบไปด้วยเหตุผล ไม่มีน้ำตาไหล ในเมื่อได้ข่าวญาติหรือคนที่รักตาย
ไม่หนักใจเมื่อความตายกำลัง คืบคลานมาหาตน
และพร้อมเสมอที่จะรอรับความตายที่จะเกิดแก่ตน ตามกฎของธรรมดา รู้อยู่
คิดอยู่ถึงความตายเป็นปกติ ยิ้มต่อความทุกข์และความตายอย่างไม่มีอะไรหนักใจ
จิตมีอารมณ์อย่างนี้ ท่านเรียกว่า ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว
ได้คุณสมบัติของพระโสดาบันไว้ได้หนึ่งอย่าง
๒. วิจิกิจฉา ละความสงสัยในมรรคผลเสียได้
โดยมีสัทธาเกิดขึ้นเที่ยงแท้มั่นคงว่าผลของการปฏิบัตินี้มีผลที่จะพ้นจากวัฏทุกข์ได้จริง
๓. สีลัพพตปรามาส ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด
ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด ไม่ยอมให้ศีลบกพร่อง เมื่อมีคุณสมบัติครบสามประการดังนี้
ท่านก็เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครบอก และออกใบประกาศโฆษณา
องค์ของพระโสดาบัน
เพื่อสะดวกแก่การพิจารณาตัวเอง
ขอบอกองค์ของพระโสดาบันไว้ เพราะรู้ไว้เป็นคู่มือพิจารณาตัวเอง
๑.
รักษาศีล ๕ เป็นปกติ ไม่ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อยตลอดชีวิต
๒.
เคารพพระรัตนตรัยอย่างเคร่งครัด ไม่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
แม้แต่จะพูดเล่นๆ ก็ไม่พูด
๓.
มีอารมณ์รักใคร่ในพระนิพพานเป็นปกติ ไม่มีความปรารถนาอย่างอื่นนอกจากพระนิพพาน
พระโสดาบันตามปกติมีอารมณ์สามประการดังกล่าวมานี้
ถ้าท่านได้ ท่านเป็นพระโสดา
ท่านก็จะเห็นว่าอาการที่กล่าวมานี้เป็นความรู้สึกธรรมดาไม่หนัก
แต่ถ้าอารมณ์อะไรตอนใดในสามอย่างนี้ยังมีความหนักอยู่บ้าง
ก็อย่าเพ่อคิดว่าท่านเป็นพระโสดาบันเสียก่อน
สำเร็จ จะเป็นผลร้ายแก่ตัวท่านเอง ต้องได้จริงถึงจริง
แม้ได้แล้วถึงแล้ว ก็ควรก้าวต่อไปอย่าหยุดยั้งเพียงนี้
เพราะมรรคผลเบื้องสูงยังมีต่อไปอีก
|