เหมา เจ๋อตง หรือ เหมา เจ๋อตุง
(จีนตัวเต็ม: 毛澤 東; จีนตัวย่อ: 毛泽东; พินอิน: Máo Zédōng; เวด-ไจลส์: Mao Tse-tung)เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2436 มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ถึงแก่อสัญกรรม 9 กันยายน พ.ศ. 2519 (อายุ 82 ปี) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สังกัดพรรค พรรคคอมมิวนิสต์จีน
เป็นบุตรชายในตระกูลชาวนาเจ้าของที่ดิน จบการศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครู ก่อนจะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากถูกปราบปรามโดยนายพลเจียง ไคเชกเหมาฯ ได้ขึ้นมาเป็นประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศจีน ภายใต้การปกครองของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ชนะสงครามกลางเมืองจีน และปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้
เหมา เจ๋อตงได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเหมา ได้นำประเทศเข้าเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต ก่อนจะแยกตัวมาภายหลัง เขายังเป็นผู้นำให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมเหมาได้รับการยกย่องให้รวมประเทศจีนเป็น ปึกแผ่นอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ใต้อิทธิพลของต่างชาติตั้งแต่สงครามฝิ่น ในประเทศเขาถูกเรียกว่า ประธานเหมา (Chairman Mao) แต่เขาปกครองประเทศจีน และก็มีป้ายปรากฏคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมาจะขอความคิดเห็นกับประชาชนจีน ไม่ช้าหลังจากนั้นเขาก็กำจัดคนที่ออกมาพูดอย่างอำมหิต คนหลายแสนคนถูกระบุว่าเป็นพลเรือนฝ่ายขวาและถูกไล่ออกจากงานคน หลายหมื่นคนถูกส่งเข้าคุก แต่เหมาไม่สนใจอีกต่อไป เขาแวดล้อมด้วยลูกขุนพลอยพยักและมีอิสระที่จะดำเนินตามความคิด ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะคาดเดาปลายทางได้ ปี พ.ศ. 2501 เหมาออกจากปักกิ่งไปเยือนชนบท เขาหมดความอดทนกับความเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า และกังวลว่าการปฏิวัติจะสูญเสียความต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงประเทศ ฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2502 ผลจากความทะเยอทะยานของเหมา ทำให้จีนตกอยู่ในภาวะลำบาก คนทั้งหมู่บ้านเสียชีวิตด้วยความอดอยากเมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกิน เขาก็กินร่างของคนที่เพิ่งตาย ไม่มีใครทราบว่าลัทธิการกินเนื้อมนุษย์ได้แพร่ขยายไปอย่างไร แต่ผู้คนราว 40 ล้านคนต้องเสียชีวิตด้วยความหิวโหย ระหว่างปี พ.ศ. 2502 - 2504 ความสับสนกระจายไปทั่วจีนราวกับพายุขบวนการร้ายกาจถูกตั้งขึ้นเพื่อกำจัดผู้ ที่เป็นกลางทางการเมือง ขบวนการร้ายกาจครอบงำไปทั้งประเทศ ปลายยุค พ.ศ. 2503 มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนถูกฆ่าหรือถูกจำคุกโดยขบวนการร้ายกาจ ขบวนการร้ายกาจถูกปลดหลังจากหลายปีแห่งความวุ่นวายในจีน ตอนนี้เหมาหาวิธีการที่จะเปิดประเทศจีนสู่ประชาคมโลก เป็นการริเริ่มที่สำคัญครั้งสุดท้ายของเขาด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่เกรงกลัว สิ่งใด เขาหันเข้าหาศัตรูคือ สหรัฐอเมริกา โดยปี พ.ศ. 2515 เขาได้เชิญประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งอเมริกา มาที่ปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุม เป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองประเทศในช่วงเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ แต่สุขภาพเหมาก็แย่ลง 18 กันยายน พ.ศ. 2519 เขาเสียชีวิตด้วยอายุ 83 ปี แต่เบื้องหลังความนิ่งเงียบของเขาทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการประหาร ประชากรร่วมชาติกว่า 10 ล้านคน
ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวปี 1960-1965เป็นต้นมา
คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งบทบาทการนำของนายเหมา เจ๋อตง จีนได้ดำเนินหลักนโยบายเศรษฐกิจประชาชาติซึ่งจัดได้ว่าเข้มข้นอย่างเต็ม เปี่ยมไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุง ความมั่นคง ความสมบูรณ์ การยกระดับ รวมถึงได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่าง"การก้าวกระโดดอย่าง รวดเร็ว และผลักดันการเคลื่อนไหวให้เป็นแบบคอมมูนประชาชน อัน ส่งผลให้เศรษฐกิจประชาชาติได้รับการปฎืรูปฟื้นฟูและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
โดยได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดของฝ่ายซ้ายในแง่ การบริหารงานภาคชนบทและด้านอื่นๆ ประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาข้อขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นนายทุน ซึ่งข้อขัดแย้งนี้นับเป็นเหตุสนับสนุนแห่งการก่อการเคลื่อนไหวด้านการส่ง เสริมการศึกษาสังคมนิยมทั้งในเขตชนบทและในเมือง โดยแนวคิดสำคัญของการเคลื่อนไหวคือ “ผู้มี อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องต่อสู้กับลัทธิมหาประเทศของผู้นำพรรค คอมมิวนิสต์โซเวียดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งแทรกแซงและควบคุมจีนให้หลุดจากกัน อย่างเด็ดขาด
โดยแม้ว่าเขาจะมีข้อผิดพลาดที่เกิด ขึ้นอย่างรุนแรงก็ตาม แต่หากมองโดยวัดผลโดยรวมนับได้ว่าเขาเป็นผู้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ต่อการ ปฏิวัติจีนที่มีความสำคัญยิ่งกว่าข้อผิดพลาดที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบัน เหมา เจ๋อตงยังคงได้รับความเคารพนับถือจากชาวจีนโดยทั่งไปอย่างมหาศาลแม้ว่าจะ ล่วงเลยเวลาแห่งการอสัญกรรม นานถึง 5 ปีแล้วก็ตาม
เหมาเจ๋อตง เป็นบุตรชายชาวนา ของอำเภอ เซียงถานในมณฑลหูหนาน ในหมู่บ้านเทือกเขา “เสาซาน” เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวนาชาวไร่ ชื่อว่าหมู่บ้านเสาซาน กว่า 600 ครอบ ครัวส่วนใหญ่แซ่เหมา มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านชื่อ เหมาซุนเซิง และแม่บ้านชื่อ นางเหวินซิเหม่ย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1893 นางเหวินซิเหม่ย ได้ให้กำเนิดบุตรชาย นามว่า เหมาเจ๋อตง มีไฝดำติดตัวมาด้วยที่คาง แต่เนื่องจากว่าบุตรก่อนหน้านี้ 2 คน ชิงลาโลกไปก่อน สองสามีภรรยาเกรงว่าเหตุการณ์จะซ้อรอย จึงนำทารกน้อยนี้ไปฝากให้คุณยายเป็นผู้เลี้ยงดู และก็เซ่นไหว้หินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ริมฝั่งหนองน้ำหน้าบ้าน ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของหินก้อนนี้ เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าหินก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถแผลงฤทธิ์ปัดรังควานได้ และใหทารกน้อยนี้ใช้ แซ่ “ซึ” ซึ่งแปลว่าหิน ตามชื่อแม่บุญธรรม และเพราะเหตุเป็นบุตรนที่ 3 จึงเรียกชื่อว่า “ ซึซานหยาจื่อ” ทารกแซ่ซึคนที่สาม
ขณะเดียวกัน นางเหวินชิเหม่ยมารดา ก็ถือศีลกินเจ เพื่อช่วยส่งผลบุญให้ “ซึน้อย” คนนี้ มีชีวิตรอดปลอดภัย เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไปไปผิดแผกไปจากเด็กชาวนาคนอื่นๆเลย เพียงต่อมา เมื่อเหมาเจ๋อตงผู้นี้เติบใหญ่กลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาแล้ว จึงลือกันไปตามธรรมเนียมว่า ก่อนจะตั้งครรภ์ นางเหวินซิเหม่ยเคยฝันเห็นมังกรเหินฟ้า บ้างก็ว่าวันที่ทารกตกฟาก ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาวจัด ก็กลับมีฝนฟ้าคะนองคล้ายจะฉลองผู้มีบุญมาเกิด บ้างก็ว่าเด็กคนนี้พอเกิดก็ติดดาบปราบอธรรมมากับตัวด้วย
วัยเด็กซึซานหยาจื่อ หรือ เหมาเจ๋อตง ได้รับผลจากมารดา เคยถือม้าไม้ตัวเล็กๆ ปากก็ท่องบ่น “ อมิตพุทธ” เดินไปคุกเข่ากหน้าบ้านขึ้นไปบนยอดเขาไหว้เจ้าที่ว่ากันว่าสิงสถิตอยู่บน นั้น เพื่อความอยู่รอดของชีวิตตน เหตุที่ใช้ชื่อว่าเหมาเจ๋ตง เพราะว่า บ้านเกิดอยู่ทางทิศตะวันออกของหนองน้ำใหญ่หน้าบ้าน หนองน้ำในภาษาจีนคือ “เจ๋อ” ตะวันออกคือ “ตง” เมื่อรวมกับแซ่แล้ว จึงมีว่า “ เหมา เจ๋อ ตง” เหมาเจ๋อตง ถือกำเนิดในยุคที่สังคมศักดินาของจีนกำลังตกต่ำ เป็นยุคที่ดินแดนปิตุภูมิถูก และเล็ม กลืนกินอย่างย่ามใจจากมหาอำนาจทั่วโลก เมื่อเขาลืมตาดูโลกได้ไม่กี่เดือน จีนก็รบแพ้จักรวรดิญี่ปุ่น ยับเยิน ในสงครามเจี้ยอู่ ต้องทำสัญญาหม่ากวนอันอัปยศ ยกไต้หวันและเกาะแก่งต่างๆบริเวณนั้นให้ญี่ปุ่น ซ้ำยังต้องต่ายค่าปฏิกรรมสงครามก้อนมหึมาชดใช้ไปด้วย และอีกหลายปี วัยเด็กและวัยรุ่นของเหมาเจ๋อตง ดำรงชีวิตตามประสาเด็กชาวนา อยู่ในท้องนาที่ราบหุบเขาระหว่างอำเภอเซียงถานกับเซียงเซียงในมณฑลหูหนาน ไม่รู้เรื่องราวอื่นใดนอกจากการทำไร่ไถนา เขาก็ เหมือนลูกชาวนาทั่วไป วันหนึ่งๆ ก็ตัดหญ้า เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ควาย ตัดฟืน โม่ข้าว ตำข้าว ปลูกผัก ซนไปตามประสาเด็ก ถูกพ้อเฆี่ยนตีอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังไว้ผมเปียห้อยโตงเตงอยู่ทางท้ายทอยตามแบบของราชวงศ์ชิง ปากก็ท่องบ่นแต่หนังสือที่ถูกบังคับให้เรียนให้ท่อง เช่น “คัมภีร์อักษรสามตัว” “ คัมภีร์ หลุนหยี่” ของขงจื้อ และ คัมภีร์เมิ่งจื่อ ตำราเรียน เก่าค่ำคร่าของปราชญ์ สมัยโบราณ ให้ขึ้นใจ ครอบครัวเหมาเจ๋อตงไม่ใช่ครอบครัวที่มียศ ถาบรรดาศักดิ์อะไร ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน โคตรเหง้าก็เป็นชาวนาธรรมดาสามัญในถิ่นกันดารห่างไกลจากความเจิญ ในความทรงจำของเหมาเจ๋อตง วัยเด็ก เขาต้องจุดตะเกียงน้ำมันด้วยหินเหล็กไฟ่ ได้ยินเสียงกี่กระตุกทอผ้า เสียงกระสวยแล่นไปมา เฉกเช่น เมื่อร้อยพันปีก่อนชั่วนาตาปี ไม่เคยเว้นว่าง หน้า บ้านมีหนองน้ำ ให้เขาลงไปเลานน้ำ ดำหัวสนุกสนาน ไปตามประสา ส่วนพ่อก็ เอาแต่บ่นคำว่า “ กินไม่จน ใช้ไม่จน แต่ใช้ไม่คิดก็จนไปตลอดชาติ ” สิ่งที่เหมาเจ๋อตง มีความประทับใจในวัยเด็กอย่างลึกซึ้งคือ พริกแดงที่ร้อยเป็นพวแขวนห้อยยาวอยู่บนขื่อ มันแขวนอยู่อย่างนั้น จนจำไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ที่นั่นมานานเท่าใดแล้ว
เมื่อเหมา เจ๋อตงมีอายุ ได้ 8 ขวบ ก็เข้าเรียน ในโรงเรียน สอนหนังสือโบราณเอกชนในหมู่บ้าน เขาเรียนอยู่ 5 ปี เริ่มจาก คัมภีร์อักษรสามตัว ต่อด้วยคัมภีร์หลุ่นยี่ เมิ่งจื่อ คัมภีร์ซือจิง เป็นลำดับ ความจำเขาดีมาก หนังสือที่ผ่านตาเขาไปแล้วก็แทบจะไม่มีวันลืม ความทรงจำอันแม่นยำแบบนี้ถึงวัยชราก็ยังมิได้เสื่อมถอย ในการโต้แย้ง การโต้วาที การปาฐกถา การสนทนา เขาสามารถจะหยิบยก เอาสำนวนโบราณออกมาเปรียบเทียบได้ทุกขณะ และยังสามารถอธิบาย ความหมายของมันได้ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้ถ้อยคำของเขามีน้ำหนัก น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความคิดของเขาฉับไว อาจารย์ออกหัวข้อให้เขาเขียนเป็นบนความ เขาก็มัก เป็นคนส่งต้นฉบับให้อาจารย์ก่อนเพื่อนเสมอ และเนื่องจากเขาขยันเปิด “พจนานุกรมคังซี” บทเรียนที่อาจารย์ยังไม่ทันสอน เขาก็เข้าใจและรู้ความหมายทั้งหมดแล้ว อาจารย์เห็นแววฉลาดของเขาจึงตั้งชื่อเล่นเรียกเขา ว่า “ผู้ช่วยประหยัดเวลา”
ต่อมาเหมาเจ๋อตงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมตง ซานในอำเภอเซียงเซียง แต่กว่าจะได้ก็ยากเอาการอยู่ เหตุเพราะบิดาไม่อนุญาติต้องใช้เงินมาก เหมาลุจง ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเห็นแววในตัวของเหมาเจ๋อตง จึงพยายามอธิบายผลดีของการเรียนต่อและรับรองว่าเหมาเจ๋อตงได้ไปเรียน โรงเรียนแบบใหม่แล้วต้องทำให้ครอบครัวเงยหน้าอ้าปากได้อย่างแน่นอนบิดาจึงยอมใจอ่อน ภายหลัง เหมาซุ่นเซิง ผู้เป็นบิดาหวังให้บุตรชายรับช่วงกิจการของครอบครัวสืบไป เป็นชาวนาที่พอมีอันจะกินหรือพ่อค้าที่พอเลี้ยงครอบครัวได้ให้อยู่อย่างสบาย ๆได้เท่านั้น เรียนหนังสือมากไปก็ไร้ประโยชน์ ฉะนั้น พอเหมาเจ๋อตงอายุได้ 13 ปี บิดาก็ให้เลิกเรียน เขาเริ่มเข้าร่วมการใช้แรงงานทำไร่ไถนา อย่างเดียวกับพวกผู้ใหญ่ หลังจากการใช้แรงงานประจำวันแล้ว เหมาเจ๋อตงก็หาหนังสืออ่านเหมือนคนตายอดตายอยาก บิดาไม่ชอบให้ลูกชายอ่านหนังสือ เพราะต้องจุดตะเกียงเปลืองน้ำมัน เหมาเจ๋อตง จึงจำต้องใช้ผ้าห่มปิดหน้าต่างไว้ มิให้แสงไปลอดออกไปให้เห็นนอกบ้าน ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี บิดาส่งเขาไปเป็นลูกศิษย์ฝึกหัดที่ร้านขายข้าวแห่งหนึ่งในอำเภอเซียงถาน แต่เหมาเจ๋อตงยืนยัน จะไปเข้าเรียน ที่โรงเรียนตงซานในอำเภอเซียงเซียงอย่างเด็ดเดี่ยว ในการประลองเจตนารมณ์กันในคราวนี้ เรียกได้ว่าเป็น จุดหักเหครั้งแรกสุดในชีวิตของเหมาเจ๋อตงใน 16 ปีแรกแห่งชีวิตเขา เขาได้ใช้ยุทธวิธีรบโอบล้อมวกวนเป็นครั้งแรก โดย การออกไปวิ่งเต้นขอร้องพวกผู้ใหญ่ในตระกูล โดยเฉพาะเหมาลุจงซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนเขามาก่อนให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมบิดา ตน หลังจากการประลองกันหลายยก บิดาก็อ่อนข้อในที่สุด ในความดีใจเหมาเจ๋อตงเขียนกลอนเลียนแบบนักเขียนญี่ปุ่น คนหนึ่งชื่อ ทาคาโมริ เซอิซาน ไว้ให้บิดาว่า “ลูกตัดสินใจไปต่างถิ่น ไม่มีชื่อเสียงจะไม่กลับ ฝังกระดูกไยต้องไว้ที่บ้านเกิด ชีวิตคนใช่จะไร้ภูเขาเขียว”
เหมาเจ๋อตงเรียนอยู่โรงเรียนประถมตงซานได้เพียงเทอมเดียว ครูใหญ่และครูคนอื่นมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ระดับความรู้ของเหมาเจ๋อตง สูงถึง ระดับมัธยมแล้ว จึงมีหนังสือแนะนำให้เหมาไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยม เมื่อเขาไปถึงเมืองฉางซาก็สอบได้ เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเซียงเซียงประจำฉางซา ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน เมื่อเทียบกับความกันดารของเสาซานแล้ว มันเจริญกว่าราวฟ้ากับดิน มีโรงงาน พ่นควันโขมง รถไฟเปิดหวูด ดังลั่นเสียงแสบแก้วหู เรือใหญ่เรือเล็กแล่นสวนกันไปมา ความอึกทึกจอแจของฉางซาทำให้เหมาเจ๋อตงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และในเมืองนี้เอง ที่เขาได้พบเห็นหนังสือพิมพ์ และเกิดความผูกพันกับมันนับแต่นั้นมา เหมาเจ๋อตง เรียนหนังสือไปก็สนใจสถานการณ์บ้านเมือง ด้วยวัย 17 เป็นวัยคึกคะนอง พอทราบเหตุเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมือง จึงเข้าไปฝึกเป็นทหารเพื่อไปร่วมรบกู้ชาติ แต่ก็ทันที่จะได้รบเอาแต่ฝึก รัฐบาลก็มีแต่พังพินาศไปเร็วมาก เหมาเจ๋อตงคิดว่าการปฎิวัติสิ้นสุดลงแล้ว จึงลาออกจากทหารกลับไปเรียนหนังสือตามเดิม ต่อมาได้สอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูที่ 4 ของมณฑลหูหนาน ภายหลังโรงเรียนนี้ยุบไปรวมอยู่กับ โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 เขาก็กลายเป็นนักเรียนของ โรงเรียนใหม่นี้ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนระดับมัธยม ระดับการศึกษาสูงสุดของเหมาเจ๋อตงก็ได้ไปจากที่นี่ แต่มาตรฐานของโรงเรียนนี้สูงมาก เป็นระบบการศึกษา 5 ปี เนื้อหาและความเรียกร้องในการศึกษาไม่สู้จะแตกต่างกับระดับอุดมศึกษามากนัก และระดับการฝึกครูก็เข้มงวด บรรดาอาจารย์ในโรงเรียนไม่ใช่อาจารย์อย่างสุกเอาเผากิน การศึกษาของเหมาเจ๋อตงใน 5 ปีนี้ นับว่ามีความสำคัญต่อเขาพอสมควร
นอกจากการค้นคว้าศึกษาตำรับตำราเรียนแล้ว เขายังมีความเร่าร้อนในการศึกษาจากหนังสือที่ “ไม่มีตัวอักษร” อีกต่างหาก หนังสือที่ไม่มีตัวอักษร นี้ก็คือการปฏิบัติทางสังคม วิธีอ่านหนังสือที่ไม่มีตัวอักษรของเหมาก็น่าประหลาด พวกปัญญาชนที่ตกอับสมัยเก่ามักจะใช้การรับจ้างเขียนจดหมายหรือเขียนป้ายโคลง คู่ติดหน้าบ้านเพื่อเลี้ยงชีพ และขนานนามวิธีขอทานที่แปลงโฉมเช่นนี้ว่า “การศึกษาสัญจร” เหมาชอบใช้แบบวิธีนี้ เช่นไปสังเกตการณ์และสำรวจผู้คนชั้นต่ำสุดของสังคม และมีหลายครั้งที่เข้าก็เคยไปเป็น “ขอทานแปลงโฉม” แบบนี้
เหมาเจ๋อตงในวัยเรียน โดยปกติแล้วเป็นคนเงียบไม่ค่อยพูด เวลาพูดก็ไปตามธรรมชาติ เดินเหินหนักแน่น นอบน้อมถ่อมตน กริยาท่าทางก็เป็นเช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไป แต่ถ้าไปมาหาสู่กับเขานาน ก็จะเกิดความรู้สึกว่า ความคิดความอ่านเขากว้างไกล ความสนใจไม่ใฝ่ต่ำ พูดจาเป็นหลักเป็นฐาน ความประพฤติเปิดเผยตรงไปตรงมา ระหว่างที่เรียนที่นี่ เขาก็เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งสมาคมเพื่อนนักเรียนขื้นมาแล้ว ลูกชาวนาเสาซานคนนี้ พอเริ่มต้นก็แสดงให้เห็นความสามารถในการจัดตั้งเป็นพิเศษ ที่ไหนมีมวลชนที่นั่นเหมาเจ๋อตงก็มักจะกลายเป็น “หัวหน้า” คนสำคัญ เพราะเขามีวิธีการมากมาย ความเห็นก็ดี การแก้ไขปัญหาก็มีอะไรที่พิเศษเป็นผลยิ่งกว่าคนอื่น การวินิจฉัยและการคาดคะเนต่อเหตุการณ์ ความเป็นไปก็มักถูกต้องแม่นยำซ้ำยังมีพลังแห่งความโน้มน้าวที่น่าเชื่อถือ จนเป็นที่เห็นชอบ
หลังจากจบการ ศึกษาที่โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 นี้แล้ว พวกเพื่อนนักเรียนต่างก็วิ่งหางานทำกัน เป็นเจ้าละหวั่น แต่เหมาเจ๋อตงกลับเกิดความคิดที่จะทดสอบชีวิต อีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า “ชีวิตใหม่” ที่แร้นแค้นยากลำบาก ก็คือทุกคนขึ้นเขาไปอยู่บนเขาเย่ลุซานกึ่งทำนากึ่งเรียน ไปเก็บฟืนตามที่ต่างๆ ไปหาบน้ำที่อยู่ห่างไกลจากที่พักใ ช้ถั่วปากอ้าผสมข้าวหุงกิน กินวันละมื้อ หลังจากนั้น ก็ทนหิวเรียนหนังสือกัน อภิปรายสถานการณ์คตั้งแต่เรื่องของจีนไปจนถึงเรื่องของโลก ความคิดนี้ เป็นความคิดเพื่อที่จะแก้ไขสังคมใหม่ ต่อ มาเหมาเจ๋อตงเห็นว่าพวกเขาไม่ควรจับกลุ่มสุ่มหัวกันอยู่แต่ที่นี่ ทางที่ดีที่สุดคือมีใครคนหนึ่งหรือหลายคนรับผิดชอบไปบุกเบิกที่หนึ่งๆทุกหน ทุกแห่งควรจะมีค่ายในทุกที่ เหมาเจ๋อตงได้ส่งสหายของเขาไปศึกษายังต่างแดนศิวิไลซ์ไกลโพ้น แต่ตัวเองกลับโบกมืออำลามองดูพวกเพื่อนๆจากไปทีท่าเรือด้วยความตื้นตัน ภายหลังเขาได้ไปเป็นพนักงานของหอสมุดมหาวิทยาลัยเป่ยผิง ทำให้เค้าได้ใช้โอกาสนี้ หมั่นศึกษาประวัติศาสตร์จีนและเรื่องราวต่างๆจนได้ไปเป็นครูสอนประวัติ ศาสตร์ที่โรงเรียนประถมซิวเย่ในฉางซา เพื่อเผยแพร่สิ่งต่างๆให้กับเยาวชน อีกนัยหนึ่งเพื่อเป็นการบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น แก่นักเรียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆในเป่ยผิงไปด้วย
บทบาทด้านการแต่งงานและครอบครัว
เหมาเจ๋อตง ได้พบกับภรรยาคนแรก นามว่า “หยางไคฮุ่ย” นางเป็นบุตรสาวของอาจารย์หยางชางจื้อ อาจารย์เอกของเหมาเจ๋อตง ในวิทยาลัยครูที่ 1 ที่เหมาเจ๋อตง ให้ความเคารพรักเป็นอย่างสูง ทั้งคู่สานสัมพันธ์กันมาเป็นเวลานานหลายปี บ่มรักกันจนสุกงอม บวกกับความแน่นแฟ้นในความรักชาติของทั้งสองที่ช่วยกันมา ในฤดูหนาวของปี 1920 นั่นเอง ทั้งคู่จึงตกลงใจที่จะร่วมชีวิตเป็นหนึ่งอันเดีนวกัน ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 ตำบลชิงสุ่ยถัง ชานเมืองฉางซา หลักจากสมรสแล้ว หยางไคฮุ่ยก็อุทิศตนให้กับการเคลื่อนไหวปฏิวัติภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง ปี 1922 หยางไคฮุ่ยให้กำเนิดบุตรชาย ชื่อว่า “ เหมาอั้นอิง” ทั้งคู่หอบหิ้วลูกน้อยไปทำงานด้วยเสมอ แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็ตาม ต่อมาปี 1923 หยาง ไคฮุ่ยก็คลอดลูกคนที่สอง ชื่อว่า “เหมาอั้นชิง” และบุตรคนที่ 3 ในปี 1927 ชีวิตครอบครัวของเหมาเจ๋อตง นั้นไม่สวยงามอย่างที่คาดไว้ เพราะว่าเหมาเจ๋อตงนั้นต้องไกลบ้านไปเพื่อปลดปล่อยควารมทุกข์ของประชาชาวจีน ทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกันหลายต่อหลายครั้งจนเมื่อปี 1927 เป็นการพรากจากกันชั่วชีวิต เธอต้องสังเวยชีวิตเมื่อปี 1930 ด้วยการประหารหลังจากที่เธอโดนจับคุมขังด้วยอำนาจของพวก ก๊กมิ่นตั๋ง ต่อมาหลังจากที่ภรรยาสิ้นชีวิตลง กระนั้นเอง บุตรชายทั้ง 3 คน ได้รับการช่วยเหลือให้ออกจาก การคุมขังให้ไปอยู่เซี่ยงไฮ้ ได้เล่าเรียนหนังสือ เวลาผ่านไปหลายเดือน องค์การพรรคคอมมิวนิสต์ถูกเจียงไคเช็คทำลาย ทำให้เหมาเจ๋อตงต้องสูญเสียบุตรชายคนเล็กไปด้วยวัยเพียง 4 ขวบ จากพวกก๊กมิ่นตั๋ง เหมาเจ๋อตงต้องสูญเสียภรรยาสุดรักและคู่คิดการปฏิวัติของเขาไปด้วย ประการฉะนี้ ทว่าใช่แต่เท่านั้น ความสูญเสียของเขายังตามมาอีกมากมาย
เหมา เจ๋อตงส่งลูกชาย เหมาอั๋นอิงคนนี้ไปเข้าร่วมการรบเพื่อ “ต่อต้านอเมริกาช่วยเกาหลี” มีสหายหลายคนคัดค้านยับยั้ง อ้างเหตุว่า งานที่อั๋นอิงทำอยู่ก็สำคัญ ทั้งในวัยเด็ก หลังแม่เสียสละชีวิตไปแล้ว ก็ระเหเร่ร่อนถูกศัตรูตามระควานจนต้องไปเป็นขอทานนานนับหลายปี เวลานี้ก็ขอชดเชยชีวิตในวัยเด็กแก่เขาบ้าง เหมาเจ๋อตงปฏิเสธเสีนงแข็ง “ใครใช้ให้มันมาเป็นลูกเหมาเจ๋อตง ถ้ามันไม่ไปใครยังจะไปกันอีก” เหตุนี้เองทำให้เขาต้องสูญเสียลูกชายในสงครามเกาเหลี นั่นเอง หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าต่อสู้เพื่อประชาชนจีนต่อไป จนถึงถึงแก่กรรมในปี 1976 ด้วยวัยเพียง 82 ปี
บทบาทด้านการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์
“เหมา เจ๋อ ตง” เป็นขบถ! เขาถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาฐานะปานกลาง ซึ่งมีรกรากอยู่ที่หมู่บ้านเซ่าซาน ห่างจากเมืองเซียงถานมาทางตะวันตกประมาณ 22 ไมล์ เมืองเซียงถานนี้ วางตัวถอยห่างจากฉางซา เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน อันเป็นมณฑลซึ่งคติความคิดและข่าวคราวต่างๆ จากปักกิ่งเมืองหลวงของอาณาจักรจีนแพร่สะพัดราวไฟลามทุ่ง ลงมาตามลำน้ำเซียงประมาณ 40 ไมล์ มีผู้กล่าวไว้ว่า เมื่อพูดถึงมณฑลหูหนาน ความคิดในทางปฏิวัติได้เติบโตขยายตัวแพร่หลายไปในหมู่ทหารและนักศึกษาอย่าง รวดเร็วมาก ยิ่งกว่านี้ พวกสมาชิกสมาคมลับเดิมซึ่งมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์แมนจูเช่นกัน ก็ได้แพร่อิทธิพลของตนเองออกไปอย่างเข้มแข็ง พวกนี้ไม่กล้าเริ่มต้นก่อน แต่พวกนี้ก็เหมือนลูกระเบิดที่บรรจุดินระเบิดไว้ พร้อมแล้วที่จะระเบิด กำลังรอให้เราเป็นผู้จุดชนวน
ด้วยเหตุนี้เองเหมาจึงเติบโตขึ้นบนโลกใบนี้ในฐานะผู้เป็นขบถต่อครอบครัว และประเพณีของจีน เหมาเคยกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับ หนึ่งว่า “ผลของการประท้วงประทับใจ ผมมาก มันเป็นการสไตร์คที่ประสบผลสำเร็จ” เป็นที่รู้กันดีว่า ครอบครัวชาวจีนนั้นอำนาจสูงสุดอยู่ที่พ่อ เหมาเองจึงต้องทำงานอย่างหนัก แม้ว่าเขาจะได้ร่ำเรียนหนังสือ แต่การเรียนนั้นเล่า เพียงเพราะพ่อของเหมาต้องการให้เขาทำบัญชีดีดลูกคิดให้เป็น และพอเหมาอ่านหนังสือออก เขาต้องมาทำบัญชีให้พ่อตอนกลางคืน “...พ่อเป็นนายงานที่เข้มงวดกวดขันมาก ถ้าเห็นผมนั่งเฉยๆ เป็นเกลียดขึ้นมาทีเดียว ถ้าไม่มีบัญชีให้ผมทำก็ต้องให้ผมลงไปทำไร่แทน พ่อเป็นคนโมโหร้าย ตีผมกับน้องชายบ่อยๆ (นอกจากเหมาซึ่งเป็นลูกชายคนหัวปีแล้ว เขายังมีน้องชายอีกสองคน และบิดา-มารดาของเขายังได้รับเด็กหญิงซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องแซ่เดียวกันมา เลี้ยงเป็นลูกอีกคนหนึ่ง) ไม่เคยให้เงินพวกเราเลย อาหารก็อดออมอย่างที่สุด ในวันที่สิบห้าของทุกๆ เดือน จะให้คนงานได้กินไข่กับข้าว แต่เนื้อไม่เคยมีให้กิน สำหรับผมไม่เคยได้ ไม่ว่าจะเนื้อหรือไข่...”
เมื่อ เหมาอายุได้ 13 ปี เขาหาวิธีมาโต้แย้งกับพ่อด้วยการอ้างคติของขงจื๊อซึ่งพ่อชอบอ้างเวลาก่นด่า ลูกๆ “พ่อ ชอบด่าผมว่า ไม่มีความเคารพนับถือผู้ใหญ่และเกียจคร้าน ผมก็อ้างคติที่ว่า ผู้ใหญ่จะต้องมีความเมตตากรุณาต่อผู้น้อย ต่อข้อที่ว่าผมขี้เกียจ ผมก็อ้างคติที่ว่า ผู้ใหญ่จะต้องทำงานมากกว่าเด็ก พ่อแก่กว่าผมถึงสามเท่า จึงสมควรจะทำงานมากกว่าผม ผมบอกกับพ่อว่าถ้าอายุเท่าพ่อ ผมจะต้องมีกำลังวังชาทำงานได้มากกว่าพ่อแน่ๆ”
การที่ เหมา เจ๋อ ตง มีกำลังใจอันแน่วแน่มั่นคงมาแต่ปฐมวัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เขากลายมาเป็นนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดคนหนึ่งของโลก
กบฎต่อประเพณีศักดินา
เหมา เจ๋อตง ในวัยเด็กขณะที่เรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์ตามบ้าน ก็ไม่ยอมฝึกเขียนตัวอักษรตามแบบรอยเส้นที่ให้เขียนเป็นตัวอย่างแล้ว การฝึกเขียนตามรอยแบบไม่ใช่นิสัยของเขา ถ้าหากว่า เหมาเจ๋อตงไม่แหกกฎเขียนหนังสือตามแบบที่กำหนด ก็จะไม่มีศิลปะการเขียน ตัวหนังสือท่วงทำนองเหมาเจ๋อตงที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ อาจารย์ โรงเรียนสมัยเก่าจะเข้มงวดกับการสั่งสอนเป็นอย่างยิ่ง ใครฝ่าฝืน การลงโทษทางกายก็ไม่มีใครหลีกพ้น การตีก้น คุกเข่าบนก้อนกรวดหน้าธูปให้ธูปหมดดอก จึงลุกขึ้นได้ เป็นต้น และขนานนามการลงโทษนี้ “ฝึกคนให้ดีจากกระบอง” แต่เหมาเจ๋อตงไม่พอใจกับการลงโทษนี้ เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ เขาก็เริ่มท้าทายกับการผูกมัดเหล่านี้ มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์เรียกชื่อเขาให้ขึ้นมาที่หน้าโต๊ะอาจารย์ท่องหนังสือให้ฟัง แต่เขาไม่ทำตาม และโต้กลับไปว่า “ผมนั่งอยู่ที่นี่ ท่องหนังสือเสียงดังอาจารย์ก็ได้ยิน ทำไมต้องขึ้นไปท่องบนโน้น” ทำให้อาจารย์โกรธมาก ทนไม่ไหวจับเสื้อเขาให้ลุกขึ้น เขาก็ดิ้นหลุดและหนีจากโรงเรียนไป เขารู้ตัวดีว่าทำผิดไม่กล้ากลับบ้าน เดินไปเรื่อยๆจนหลงทาง ทำให้พ่อออกตามหาตัวจนพบ สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ หลังจากการ “ก่อกบฏ” คราวนี้บิดาก็ไม่ดุด่าว่ากล่าวเข้มงวดเหมือนเมื่อก่อน อาจารย์ก็คลายความเคร่งครัดลงไปบ้าง ในใจของเหมาเจ๋อตงเกิดความสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง “การต่อสู้สามารถทำให้ได้ชัยชนะ”
ปีหนึ่งในหมู่บ้านมีชาวนาจนคนหนึ่ง นำชาวนาอดอยากไปแย่งข้าวบ้านเจ้าที่ดินมาแบ่งกันและเปิดโปงเรื่องพฤติกรรม ที่หัวหน้าตระกูลฉ้อโกงเงินบริจาคที่ใช้ซ่อมศาลเจ้าประจำตระกูล ทำให้หัวหน้าตระกูลแค้นมาก จึงจับตัวชาวนาคนนั้น มัดตัวและนำไปที่ศาลเพื่อลงโทษด้วยการโบยตีตามกฏ คนยากจนในตระกูลแม้จะเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ไม่มีใครกล้าปริปาก ในตอนนี้เอง เหมาเจ๋อตงไม่รู้มุดมาจากไหน่ เห็นพวกหัวหน้าตระกูลเตรียมโบย เหมาเจ๋อตง ตะโกนไปว่า “ โบยไม่ได้” พวกชาวบ้าน ที่มีความไม่พอใจเป็นทุนอยู่แล้ว เห็นมีคนส่งเสียงก็ส่งเสียงคัดค้านกันอึกกระทึก เหมาเจ๋อตงเดินออกมาจากฝูงชน “พวกท่านจะโบยคนตามใจชอบได้อย่างไรกัน เขาผิดถูกก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน” หัวหน้าตระกูลงงเป็นไก่ตาแตก เจ้าเด็กน้อยคนนี้เป็นใครกัน มีอำนาจอะไรมาห้ามเขา แต่ก็ไม่สามารถอธิบายความผิดของชาวนาคนนั้นได้ ขืนพูดมากไปก็ยิ่งจะเข้าเนื้อ ซ้ำร้ายชาวบ้านยังแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจของเขาด้วย อึกๆอักๆครู่ใหญ่ลงท้ายก็จำต้องปล่อยไป
เหตุการณ์เรื่องนี้ทำให้หัวหน้า ตระกูลเสียหน้าไปมาก อำนาจล้นฟ้าก็ถูกบั่นทอนลงไป ตรงกันข้ามชื่อเสียงของเหมาเจ๋อตงเรื่มกระเดื่องดังอยู่ในแถบอาณาบริเวณเสา ซานมากขึ้นเรื่อยๆ
ความมุ่งมั่นช่วยชาติ
เมื่ออายุได้ 15 ปี เหมาเจ๋อตง ไปยืมหนังสือเรื่อง “เซิงซื่อเว่ยเอี๋ยน” (ความเห็นในยุคโลกเจริญ) ได้บรรยายถึงความเข้มแข็งและความเจริญของมหาอำนาจจักรวรรดินิยม พรรณนาถึงความเสื่อมโทรมและอ่อนแอของประเทศจีน และส่งเสริมให้ไปศึกษาจากตะวันตก ใช้การศึกษามาช่วยชาติ ทำให้เหมาเจ๋อตงเกิดความรักชาติ อยากจะไปร่ำเรียน แต่ก็โดนปฏิเสธจากบิดา ต่อมาได้อ่านจุลสารอีกเล่มหนึ่งชื่อ “เลี่ยเฉียงกวาเฟินเตอเวยเสี่ยน” (อันตรายที่มหาอำนาจจะตัดแยกแผ่นดินเป็นเสี่ยงๆ) หลังจากทีได้อ่าน เขาเกิดรู้สึกทดท้อกับอนาคตของชาติ โดยเฉพาะคำที่ว่า “อนิจจา ประเทศจีนจะสูญชาติเสียแล้ว” จึงเป็นคำที่กระทบถึงจุดเจ็บอย่างสาหัสในสายเลือด ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเรียนหนังสือต่อของเหมาโดยเพื่อศึกษาด้านความรักชาติ เป็นพิเศษ เวลานั้นด้วยวัย 17 ปี ช่วงที่เขาเรียนไปด้วยก็สนใจสถานการณ์บ้านเมืองแห่งการปฏิวัติที่ใกล้จะ ระเบิด พยายามหาหลักนโยบายปฏิวัติของสมาคมถงเหมิงฮุ่ยมาค้นคว้า ในปีนั้น เขาถึงกบลับเขียนบทความสนับสนุนการปฏิวัติปิดบนกำแพงของโรงเรียนมัธยมเซียง เซียง เสนอแนวความคิดเห็นทางการเมืองของตนออกมาอย่างไม่หวั่นเกรงใคร เมื่อรัฐบาลราชวงศ์ชิงดำเนินการที่เป็นผลเสียแก่แผ่นดิน เขาก็เสนอบทความให้ล้มราชวงศ์ชิงออกมาอย่างกล้าหาญ ให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ ให้เชิญ ดร.ซุนยัดเซ็นซึ่งอยู่ในญี่ปุ่นกลับมาเป็นประธานาธิบดี คังอิ่วเหวยเป็นนายกรัฐมนตรี เหลียงฉี่เชาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องน่าขำ เพราะดร.ซุนเสนอให้ปฏิวัติคังอิ่วเหวยกับเหลียงฉี่เชาเพียงแต่ขอให้ดำเนิน การปฏิรูป เปลี่ยนแปลงการปกครองก็พอแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เหมาเจ๋อตงก็ควรได้รับการยกย่องเรื่องความกล้าหาญเป็นอย่างมาก
ปณิธานอันยิ่งใหญ่
เหมาเจ๋อตงมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า “ประชาชาติจีนมีสมรรถนะอันยิ่งใหญ่มาแต่เดิม” เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า “การกดขี่ยิ่ง หนัก การต่อต้านก็ยิ่งแรงสั่งสมมาช้านาน เมื่อจะ ระเบิดก็เร็ว” เชื่อมั่น อย่างลึกซึ้งว่า “การปฏิรูปของประชาชาติจีน จักถึงที่สุดยิ่งกว่าประชาชาติอื่นใด สังคมประชาชาติจีน จักสว่างไสวยิ่งกว่าประชาชาติอื่นใด” โชคดีที่สัจธรรมมี ประกายแห่งความสว่างไสวเปล่งแสงอยู่ในตัวของมันเอง หลี่ต้าจาวกับเฉินตุ๊ซิ่วที่อยู่ในศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมของจีนเป่ยผิง ถูกเสียงปืนใหญ่แห่งการปฏิวัติเดือนสิบปลุกให้ตื่น ค้นพบว่าสัทธิมาร์กซนี้เองคือสัจธรรมที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศจีน คนทั้งสองปีติยินดีในการค้นพบของตน ต่าง ออกไปวิ่งเต้นประกาศการค้นพบสัจธรรมของตนในสังคม อยากจะให้ประกายไฟแห่งสัจธรรมนี้ เอิบอาบซึมซาบเข้า ไปในจิตใจของเหล่าเยาวชนที่มีจิตใจดีงามทั้งปวง
เหมาเจ๋อตงซึ่งโชคดีได้รู้จักหลี่ต้าจาวกับเฉิน ตุ๊ซิ่ว และได้รับการสั่งสอนชี้แนะโดยตรงซึ่งหน้าจากผู้อาวุโสทั้งสอง ในช่วงเวลาฤดูร้อนระหว่างปี 1919 ถึง ปี 1920 เป็นจุดหักเหสำคัญที่สุดในชีวิตของเหมาเจ๋อตงอีกจุดหนึ่ง ใน ระยะเวลานั้น เขาได้อ่าน “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์” ของมาร์กซและเองเกลส์ที่ เฉินวั่งเต้าแปล “การต่อสู้ทางชนชั้น” ของคาร์ล เค้าท์สกี้ “ประวัติสัทธิสังคมนิยม” ของเคอร์คับ ตลอดจนทฤษฎีและบทนิพนธ์อื่นๆ ของมาร์กซที่กระจายอยู่ที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก จากนั้นมา เหมาเจ๋อตงก็เริ่มมีมโนสำนึกว่าในประเทศจีน หากประสงค์จะได้รับชัยชนะในการปฏิวัติ “ก็จะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งที่บากบั่นมีจิตใจใฝ่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องมี สัทธิ อย่าง หนึ่งที่ทุกคนจะต้องรักษาปฏิบัติร่วมกัน” เขาเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า “การ ปฏิวัติแบบรัสเซีย เป้นแนวทางการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เมื่อ หนทางอื่นๆ ทุกทาง แม้จะใช้ความพยายามทำอย่างไร ก็มีแต่อับจนสิ้นหวังเจอแต่ทางตันอย่างเดียว” การดัดแปลงประเทศจีน จะต้องเดินหนทางการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพและเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ! ลัทธิมาร์กซเป็นสัจธรรมของประชาชนผู้ ถูกกดขี่ถูกขูดรีด เพื่อการเปลี่ยนชีวิตไปสู่การปลด ปล่อยพ้นความทุกข์ยากลำเค็ญของตน ความยิ่งใหญ่แห่งพละกำลังของมัน นับแต่มีประวัติศาสตร์มนุษยชาติเป็นต้นมา ไม่มีทฤษฎีคำสอนหนึ่งใดจะเสมอเหมือน ที่สามารถส่งผลสะเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยชาติและผลักดันวิถีทาง แห่งความคืบหน้าของประวิติศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้งถึงปานฉะนี้!
เหมาเจ๋อตงยกย่อง ลัทธิมาร์กซเป็นอย่างสูง เขาชอบเรียกตัวเองเป็น ศิษย์ของมาร์กซ เขาพูดอย่างมีอารมณ์ว่า ใช้เวลา 6 ปี อ่านหนังสือของขงจื้อ 8 ปี เสียไปในหนังสือของลัทธิทุนนิยม ต่อมาจึงได้พบกับลัทธิมาร์กซ คลับ คล้ายคลับคลาจะหมายถึงว่า รู้สึกเสียดายที่เจอช้าไป สักหน่อย ทฤษฎีของลัทธิมาร์กซทำให้ เหมาเจ๋อตงประหนึ่งเจอทางโล่งทะลุปรุโปร่ง เห็นความสว่างไสวในฉับพลันเสริมจิตใจต่อสู้ของเขาให้ฮึกเหิมยิ่งขึ้น
เหมาเจ๋อตงเมื่อมีความเชื่อแน่วแน่ในลัทธิ คอมมิวนิสต์แล้ว ก็ไม่เคยโลเลเลยตลอดชีวิต แม้ว่าในกระบวนการพัฒนาของการปฏิวัติ จะประสบมรสุมหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่าอีกร้อยแปดพันเก้า แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่ ไม่สั่นคลอนเปลี่ยนสีแปรธาตุด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดที่แน่วแน่คนหนึ่ง!
บทบาททางการเมือง การปกครองและกลยุทธ์ต่างๆ
พรสวรรค์ในการจัดตั้ง
ปี 1919 เป็นปีที่ไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์จีน เดือนมกราคมของปีนี้ “การประชุมสันติภาพปารีส”ซึ่งเป็นการ ประชุมแบ่งทรัพย์สินโจรหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลงแล้วได้เปิดการ ประชุมขึ้น ประเทศจีนได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ในฐานะประเทศชนะสงคราม แต่ประเทศลัทธิจักรวรรดินิยมอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี ได้ดำเนินแผนการร้ายที่จะเฉือนตัดแบ่งโลกใหม่ตามอำเภอใจของพวกเขา ถึงกับลดฐานะประเทศจีนให้เป็นประเทศเมืองขึ้นเปิดการอภิปรายในหัวข้อที่ เรียกว่า “ปัญหาให้ญี่ปุ่นเป็นผู้รับช่วงสิทธิพิเศษ ของเยอรมนีในซานตง” เมื่อข่าวนี้แพร่เข้ามาถึงประเทศจีน ประชาชนทั่วประเทศเปล่งเสียงร้องกึกก้องด้วยความเดือดดาล มรสุมครั้งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นในเมืองเป่ยผิง
ใน ระหว่างนั้น เหมาเจ๋อตงที่พกเอาความคิดใหม่ๆ มามากมายจากเป่ยผิงแดนวัฒนธรรมอันลือชื่อของจีนกลับมาอยู่ฉางซา ก็ไปมาหาสู่กับพวกเพื่อนๆ ในอดีตเป็นประจำมิได้ขาด ครั้งหนึ่งเมื่อพบกับเพื่อนสนิทโจวซื่อจาว เขาก็ปรารภว่า “นักเรียนนักศึกษาในเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้กำลังปวดร้าวและเคืองแค้นจากข่าวที่การต่างประเทศของจีนประสบความ ล้มเหลว กำลังบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น หูหนานก็ควรจะทำด้วย” ไม่นานเขาก็เรียกเปิดการประชุมของซินหมินเซี่ยฮุ่ยที่ที่ พักของ เหอซุเหิง ใน โรงเรียนประถมฉู่อิ๋ ในที่ประชุมเหมาเจ๋อตงได้ รายงานแนะนำสถานการณ์โลกหลังสงครามยุโรป การรบพุ่งกันพัลวันของขุนศึกเหนือใต้ในจีน ความพ่ายแพ้ของการต่างประเทศจีนใน “การประชุมปารีส” ความกังวลใจของประชาชนทั่วประเทศ ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ประชาชนทั่วประเทศกำลังตื่นตัวจากผลสะเทือนของกระแส ความคิดใหม่ทั้งทำการวิเคราะห์และอธิบายอย่างละเอียดให้รับรู้โดยทั่วกัน พร้อมกับเรียกร้องให้สมาชิกทุกคนตระเตรียมการต่อสู้อย่างเต็มที่
วันที่ 4 เดือนพฤษภาคม เนื่องจากรัฐบาลขุนศึกยอมจำนนต่อความกดดันของพวกลัทธิจักรวรรดินิยม ตระเตรียมการลงนามในสนธิสัญญา “สันติภาพ” ที่ขายชาติ ประชาชนทั่วประเทศสุดจะอดทนต่อไปได้ การเคลื่อนไหวรักชาติที่คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมอย่างเป็น ประวัติการณ์ระเบิดขึ้นในบัดดล! นั่นก็คือ วันที่ประวัติศาสตร์จีนได้บันทึกไว้เป้น “การ เคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม”!
ความ หมายทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ “การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม” อยู่ที่มันมีท่วงท่าที่การปฎิวัติซินไฮ่ไม่เคยมี กล่าวคือ คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและสัทธิศักดินานิยมอย่างถึงที่สุดไม่ยอมประนี ประนอม ส่วนที่นำหน้าในชนชั้นกรรมกรก็เริ่มรับรู้ฐานะทางประวัติศาสตร์และภาระ หน้าที่ทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นตน ค่อยๆ เปลี่ยนจากชนชั้นไร้จิตสำนึกในตัวเองเป็นชนชั้นมีจิตสำนึกของตัวเอง และใช้ท่วงท่าที่เป็นอิสระก้าวขึ้นสู่เวทีการเมือง ทำให้การปฏิวัติของประเทศจีนคืบหน้าไปสู่ขั้นตอนใหม่ ซึ่ง เป็นเครื่องบ่งชี้การเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติวัทธิประชาธิปไตยใหม่ ในขณะเดียวกัน “การเคลื่อนไหววัฒนธรรมใหม่ 4 พฤษภาคม” อันไม่ประนีประนอม ยังเป็นการเคลื่อนไหวปลดปล่อยความคิดอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง หลังจาก “การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม” แล้ว การเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ – เลนินก็ได้กลายเป็นกระแสหลักของเวลานั้น
เหมาเจ๋อตงได้นำเอาความสามารถในการโฆษณาปลุกระดม ที่โดดเด่นเฉพาะตัวของเขาวิ่งเต้นตระเวนเอาความคิดรักชาติแทรกซึมลงไปในวง การสื่อสารวงการศึกษาและวงการอื่นๆ ทั่วนครฉางซา ใน ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกวงการก็ให้การสนองตอบ ด้วยความเร่าร้อน การประลองกำลังระหว่างขุนศึกจาง จิ้งหยาวกับผู้นำนักเรียนนักศึกษาเด็กท้องนาร่างผอมบางในครั้งแรก จางจิ้งหยาวพ่ายแพ้หมดรูป เพื่อที่จะขยายผลสะเทือนให้กว้างใหญ่ออกไป และต้านทานการกดดัน เหมาเจ๋อตงตัดสินใจจัดตั้งองค์กรการนำอย่างเป็นเอกภาพของนักเรียนนักศึกษา ทั่วมณฑล เขากระจายสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ยออกไป ตามโรงเรียนต่างๆ แยกย้ายกันไปดำเนินงานปลุกระดมและจัดตั้ง ไม่นาน “สหพันธ์นักเรียนนัก ศึกษาหูหนาน” ก็จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ประธานของสมาคมที่ได้รับเลือกชื่อ เผิงหวง เป็นสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ย รับการนำจากเหมาเจ๋อตงโดยตรงหลังจากสหพันธ์นักเรียนนักศึกษาหูหนานก่อตั้ง ขึ้นแล้ว ก็มีมติให้หยุดเรียนทั่วมณฑล เข้าร่วมการเคลื่อนไหวรักชาติของประชาชนทั่วประเทศ
จากนั้นเพื่อช่วงชิงให้ได้รับความเห็นใจและสนับ สนุนจากประชาชนทั่วประเทศ เหมาเจ๋อตงยังจัดตั้งคณผู้แทนนักเรียนนักศึกษาแยกกันไปเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เหิงหยาง เฉินโจว จางเต๋อ เป็นต้น โฆษณาความชั่วช้าของจางจิ้งหยาวและจุดประสงค์ในการโค่นจาง ใน ขณะนั้น หูหนานและมณฑลใกล้เคียง การต่อสู้เพื่อโค่นจางจิ้งหยาวก็ปะทุขึ้นเป็นไฟล่ามทุ่ง ผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากมานานถึง 10 เดือน การเคลื่อนไหวขับจางจิ้งหยาวภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงก็สำเร็จ
ความปรีชาทางการเมืองและความสามารถในการจัดตั้งที่เหนือผู้อื่น ของเหมาเจ๋อตง ได้แสดงออกประจักษ์ชัดเป็นครั้งแรกในการต่อสู้คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและ คัดค้านลัทธิศักดินานิยมคราวนี้
กลยุทธ์เขียนเสือให้วัวกลัว
เป็นกลยุทธ์ที่ทำกร่างสร้างพลัง หรือแกล้งทำเป็นเข้มแข็งตรงกับคำพังเพยไทย เขียนเสือให้วัวกลัว เหมาเจ๋อตงใช้กลยุทธ์นี้ขณะที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู หมายเลข 1 ของมณฑลหูหนาน หรือกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกของชีวิตเขาในการออกศึกก็ว่าได้ ขณะนั้นสถานการณ์กำลังสับสนอลหม่านจากการทำศึกกลางเมือง ระหว่างขุนศึกก๊กต่างๆ ขุนศึกภาคเหนือ ซึ่งกุมอำนาจรัฐบาลถูกกลุ่มต่างๆรุมทึ้งจนต้องแตกทัพถอยร่นลงมาทางใต้ ซึ่งถูกไล่ขยี้หนีมาถึงเมืองฉางชาและพักพลอยู่นอกเมืองใกล้กับวิทยาลัย พวกทหารได้ฉกชิงปล้นอาหารจองประชาชนด้วยความหิวโหยอาจไม่ หยุดอยู่แค่นอกเมืองเท่านั้นอาจบุกเข้ามาในเมืองสร้างความวุ่นวายเดือดร้อน ผู้คนที่อยู่ในเมืองต่างหวาดวิตกว่าพวกทหารกองพลที่ 8
เรื่องนี้เหมาเจ๋อตง ซึ่งเป็นนักศึกษาหนุ่มแน่น จึงรีบเรียกประชุมกองร้อยนักศึกษาในสังกัด เพื่อหาทางแก้ไข โดยบอกว่าต้องออกไปรบกับพวกทหารเพื่อไมให้พวกมันเข้ามาก่อความเดือดร้อนแก่ ชาวเมือง เพื่อนนักศึกษาบางคนรีบคัดค้าดทันทีโดยทักท้วงว่า กองร้อยนักศึกษามีแต่ปืนไม้ที่ใช้หัดทหารเท่านั้น ไม่มีปืนจริงสักกระบอกจะคิดไปสู้รบกับทหารรัฐบาลขุนศึกที่มีอาวุธพียบลพร้อม อย่างนั้นไม่เป็นการเสียสติไปหรือ เหมาเจ๋อตงหรี่ตา มองหน้าเพื่อนๆ ขี้สงสัยโดยไม่กล่าวว่ากระไร พลางหยิบกระดาษพู่กันมาวาดรูปเสือตัวหนึ่งและวัวอีกตัวหนึ่ง
โดยแบ่งกลุ่มเพื่อนเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งแสร้งว่าเป็นทหารคอยส่งเสียงโห่ร้อง กลุ่มหนึ่งคอยยิงปืนขึ้นฟ้า ขู่ขวัญ กลุ่มหนึ่งก็ไปขอกำลังเสริมจากตำรวจเพื่อคอยคุมเชิง ทหารได้ยินก็ต่างกลัวคิดว่ากองกำลังมากมาย จึงยอมจำนน
บทบาทด้านการยอมรับศรัทธาจากผู้ตามและ สังคม
ในวัยเด็ก
ปีหนึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วง ชาวนาเอาข่าวที่ตีจากรวงตากแดดไว้ที่ลานบ้าน ทันใดนั้น เมฆดำก็ลอยมาทุกคนต่างรีบเก็บข้าวหนีฝน แต่เด็กชายเหมาเจ๋อตงแทนที่จะรีบไปเก็บข้าวที่ลานบ้านของตน กลับวิ่งไปช่วยชาวนาอีกบ้านหนึ่งเก็บข้าวก่อน ผลก็คือ ข้าวของบ้านตนเปียกชุ่ม บิดาเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เหมาเจ๋อตง กลับตอบว่า “คนอื่นเขาแย่กว่าเรา ซ้ำยังต้องเสียภาษีด้วย เสียหายไปแม้สักเล็กน้อยเขาก็แย่ สำหรับข้าวของเรา ก็ช่างมันเถอะครับ”
ครั้งหนึ่งบิดาของเหมาเจ๋อตงซื้อหมูจากชาวบ้านมาตัวหนึ่งจ่ายเงินไปตามราคาในขณะนั้น เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านไปไม่กี่วัน บิดาให้เขาไปรับหมูตัวนั้นมา แต่พอเขาไปถึงบ้านนั้น แม่เฒ่าผู้หนึ่งเสื้อผ้ามอมแมมขาดกระรุ่งกระริ่งออกมารับหน้า ถอนหายใจรำพันกับเขาว่า “ดูเถอะ คงจะเป็นบุญของบ้าน หนู ที่ได้กำไรไปสบายๆ” เหมาเจ๋อตงสงสัย ก็ถามต้นสายปลายเหตุว่าเพราะอะไร แม่เฒ่าเล่าว่า “ตอนที่เราขายหมูให้พ่อหนู ราคามันต่ำกว่านี้ เวลานี้ราคาหมูสูงกว่าที่ตกลงกันไว้มาก” เหมาเจ๋อตงสงสาร บอกกับแม่เฒ่าว่า “ผมไม่เอาหมูกลับแล้ว ยายเอาเงินของพ่อผมคืนมา ยายก็เอาหมูไปขายให้ได้ราคาที่ต้องการก็แล้วกัน”
เรื่องราวที่เหมาเจ๋อตงใส่ใจ และช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ในวัยเด็กยังมีอีกมากมาย เช่น เขาเอาเงินในบ้านไปช่วยเหลือเด็กคนอื่นให้ได้เรียนหนังสือ เอาอาหารกลางวันของตนให้เพื่อนที่อดอยากกินเกือบจะตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ อยู่ด้วยกัน เคยถอดเสื้อนวมให้กับคนแปลกหน้าที่นอนหนาวสั่นอยู่ข้างทาง เป็นต้น ถ้าหากว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติของลูก ชาวนาคนนี้แล้ว ความรู้สึกสำนึกต่อชะตากรรมอันระทมทุกข์ของมวลประชาชนที่อดอยากยากจนอย่าง ลึกซึ้ง ก็เป็นพลังขับดันอย่างหนึ่งแห่งการต่อสู้ของเขาในเวลาต่อมา ในฐานะลูกชาวนา เหมาเจ๋อตงคุ้นเคยกับนิสัยใจคอ ความเคยชิน ความรักชอบของชาวนาอย่างสุดซึ้ง คุ้นเคยกับภาษา อารมณ์และแบบวิธีคิดของชาวนาเป็นอย่างดี คุ้นเคยความทุกข์ยาก ภายในส่วนลึกเขารักประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสามารถใกล้ชิดประชาชนเสาซาน หลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับประชาชน ในที่สุดก็ได้รับความเชื่อถือศรัทธาและความรักใคร่สนับสนุนจากประชาชน
ช่วงที่เป็นผู้นำกองทัพแดง
ขณะ ที่เหมาเจ๋อตงกล้าหาญทำสงครามกับทหารรัฐบาลที่มีมากกว่ากันหลายขุม และต้องเผชิญกับขุนศึกที่เก่งกาจจบการศึกษาจบการคึกษาจากโรงเรียนายทหารชี้ นนำทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เหมาเจ๋อตงกลับไม่ละเลยที่จะงัดกลยุทธ์ตำรับโบราณออกมาใช้ให้จั๋งหนับ หยิบมาใช้เมื่อไร เป็นได้เรื่องทุกครั้ง เพราะเหมาไม่ได้ใช้อย่างทื่อๆตามตำรา แต่รู้จักปรับปรุงพลิกแพลงแต่งเติมเปลี่ยนตำราตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป
ขณะนั้น เมื่อเขากุมอำนาจการชี้นำกองทัพแดงได้เด็ดขาดหลังจากการประชุมครั้งสำคัญที่ ตำบลจุนยี่ ระหว่างการเดินทัพทางไกล ขณะนั้น จอมพลเจี่ยงสั่งการด่วนให้ระดมกองทัพรัฐบาลทางภาคใต้ทั้งฟากตะวันออกและ ตะวันตกรวม 5 มณฑล กระจายกำลังกันโอบล้อมรุกคืบเข้าสู่ตำบลจุ่นยี่อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพแดงและเป็น ศูนย์รวมของบรรดาแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางเหตุการณ์สับสนอลม่านนี้เอง เหมาเจ๋อตง ผงาดขึ้นเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในการสั่งการวางแผนรับศึกมหาโหดครั้งนี้
เหมา เจ๋อตงสั่งการให้เคลื่อนทัพขึ้นเหนืออย่างรวดเร็วเพื่อสลัดให้พ้นจากการตาม ล่าของเหล่าทหารรัฐบาลที่โอบล้อมเข้ามาเหมือนแหยักษ์ การ จะยกพลขึ้นเหรือต้องข้ามแม่น้ำฉางเจียง ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นประเทศจีนออกเป็นเหนือกับใต้ การลองภูมิระหว่างจอมพลเจี่ยง กับเหมา เจ๋อตงครั้งแรก เกิดขึ้นในครั้งนี้
จอมพลเจี่ยงขึ้นชื่อเป็นขุนศึกอัจฉริยะคนหนึ่ง ซึ่งมีแผนการรบเหมือนเทวดา บอกให้ งานนนี้จอมพลเจ้าปัญญาต้องการเผด็จศึกคอมมิวนิสต์ให้ได้ในคราวเดียว จึงทุ่มเทพลมหาศาลนับแสนคนวางกำลังตรึงแม่น้ำฉางเจียงทางฝั่งเหนืออย่างไม่ ให้ปลาสักตัวขึ้นฝั่งมาได้เลย ขนาดปลาตัวกระจ้อยร่อยยังไม่อาจพ้นเงื้อมมือไปได้ เหมาเจ๋อตงจะนำทหารแดงนับหมื่นข้ามแม่น้ำได้อย่างไร
เหมาเจ๋อตง แทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารใดๆเลย เขาต้องพิสูจน์ให้ทหารแดงเชื่อมั่นในตัวเขาให้ได้ในโอกาสแรกที่ตนเองกุม อำนาจการบัญชาการด้านยุทธการ จอมทัพเหมาสั่งให้ทหารแดงจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีกำลังพลไม่มากนักบุกเข้าทะลวงค่ายศัตรูที่ถู่เฉิงกับเมืองชิสุ่ย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบยตะเข็บมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) กับมณฑลกุ้ยโจว โถมกำลังเข้าตีอย่างเอาเป็นเอาตายให้เห็นว่า มีความปราถนาแรงกล้าที่จะยึดเมืองเล็กๆทั้งสองแห่งนั้นไว้ให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้ฝ่ายรัฐบาลเข้าใจว่าทหารแดงกำลังรบอย่างจนตรอกและยอมตายเพื่อ อุดมการณ์ไม่คิดหนีสู้ไม่ถอย ฝ่ายจอมพลเจี่ยงไล่ล่า ทหารป่าตกหลุมพรางเข้าใจผิดว่า ทหารแดงคิดสู้ตายด้วยการตีเมืองทั้งสองแห่งนั้นอย่างดุเดือดจริงๆ จึงระดมพลยกกองทัพส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปช่วยทหารรัฐบาลที่อยู่เมืองถู่เฉิงกับ เมืองชิสุ่ย จังหวะสำคัญนั้นเอง เหมาเจ๋อตง ฉกฉวยนาทีทองนำกองทัพแดงส่วนใหญ่ชะแว้บผ่านการสกัดกั้นของทหารรัฐบาล ลุยข้ามน้ำชิสุ่ยหรือแม่น้ำแดงอันเป็นแควแยกของมหานทีแม่น้ำฉางเจียงไปได้ อย่างสะดวก ด้วยกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล ถึงแม้กองทัพแดงต้องสูญเสียไพร่พบส่วนหนึ่งไปในการบุกโจมตีเมืองเล็กๆสอง แห่ง แต่คำนวณและคุ้มค่าชีวิตมาก เมื่อกองทัพแดงส่วนใหญ่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปได้อย่างหวุดหวิดชนิดหายใจ คว่ำ ทหารแดงที่หลุดข้ามฝั่งแม่น้ำได้ จึงเลื่อมใส ศรัทธาในตัวของเหมาเจ๋อตงมากและยอมมอบกายถวายชีวิตให้แก่เหมาเจ๋อตงตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นมา ทหารหัวเห็ดเหล่านั้นกลายเป็นกองทัพพิทักษ์เหมาในกาลต่อมา ซึ่งช่วยค้ำจุนบัลลังก์ให้เหมาเจ๋อตงกลายเป็นประธานเหมาผู้ยิ่งยง ตลอดอายุขัยที่เหลือนานกว่า 40 ปี การเสียสละอีกครั้งของทหารเดงหน่วยนี้ ทำให้ทหารแดงส่วนใหญ่ที่ข้ามฟากไปแล้ว สามารถเดินรุดหน้าไปได้รวดเร็วจนทหารรัฐบาลตามไม่ทัน เพราะต้องพะวงกับทหารแดงหน่วยที่ข้ามกลับมาสกัดกั้นแบบยอมพลีชีพ
การวิเคราะห์
ผู้นำที่แท้คือผู้ที่ให้โดยไม่หวัง สิ่งใดตอบแทน แน่นอนที่สุดหาก เรามองว่า เป้าหมายของการแข่งขันก็คือชัยชนะ ผู้เข้าร่วมแข่งขันทุก คนต่างก็ล้วนแต่ต้องการชัยชนะด้วยกันทั้งนั้น แต่ สำหรับผู้นำที่แท้จริงแล้ว ชัยชนะที่เขาต้องการที่ จะได้มานั้น เขามองมันในฐานะที่เป็นรางวัลสำหรับทุกคน มิ ใช่เพียงเพื่อตัวเขาเท่านั้น ผู้นำที่แท้ต้องการจะเห็นคนทุกคนที่ก้าวเดินไปพร้อมกับเขา มีความสุข ได้รับชัยชนะ ถึงแม้ว่าสายตาของเขาจะจับจ้องอยู่ที่ชัยชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะเพื่อคนทุกคน เขาจะเป็นบุคคลที่คิดถึงตัวเองเป็นคนสุดท้ายเสมอ และ สิ่งที่สำคุญที่สุด ที่ผู้นำ พึงมีคือ ความมีคุณธรรม จริยธรรมและศีลธรรมอันดี ผู้นำที่ได้รับการยอมรับนับถือ มีอำนาจบารมีได้ เพราะความมีคุณธรรมจริยธรรม เป็นที่เลื่องลือ
การที่ผู้นำจำเป็นต้องเป็น “ผู้ให้” นั้น เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นว่าผู้นำที่แท้จะต้องไม่เห็นแก่ ตัว จะต้องไม่มองประโยชน์เฉพาะส่วนของตน หากผู้ใด ยึดประโยชน์ส่วนของตนเป็นที่ตั้งย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคนผู้ นั้นย่อมมิใช่ผู้นำที่แท้จริง ผู้นำจำเป็นจะต้อง เสียสละ (sacrifice) ภาวะผู้นำกับเรื่องการเสียสละ เป็นสิ่งที่ถือว่าคู่กัน ไม่มีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ใดๆ จะเกิดขึ้นได้ หากปราศจากซึ่งการทุ่มเทและการเสียสละ Ralph Emerson นักปรัชญาชาวอเมริกันได้กล่าวถึงสมดุลของการให้และการรับไว้ว่า “ในขณะที่เราให้หรือเสียอะไรบางอย่างไป เราก็มักจะได้อะไรบางอย่างมา และในขณะที่เราได้บางสิ่งบางอย่างมา เราก็มักจะต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปเสมอ” และด้วย อมตะวาจานี้เราจึงพบว่า ผู้ที่ให้มักจะเป็นผู้ที่ได้รับอะไรๆ อยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มิได้คาดหวังอะไรเป็นสิ่งตอบแทน เข้าทำนองที่ว่า “ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ” ซึ่ง ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขาได้รับนี้ก็คือศรัทธาอันเป็นผลเนื่องมาจากความสามารถ ที่จะ “ซื้อใจ” ผู้ตามได้ นั่นเอง
จากการศึกษาประวัติส่วนตัวแนวความคิดและบทบาทและผลงานต่างๆอันเป็นรากฐานแก่ประเทศจีน โดยเฉพาะบทบาททางด้านการเป็นผู้นำทางการเมืองของ เหมา เจ๋อตง โดยเปรียบเทียบกับทฤษฎีทางด้านผู้นำต่างๆ จะเห็นได้ว่าเหมา เจ๋อตง ถือว่าเป็นสุดยอดผู้นำทางการเมืองท่านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงต่างๆของประเทศจีนสู้การเป็นจีนยุคใหม่ที่เหมา เจ๋อตง ได้มีบทบาทในหลายๆด้าน ซึ่งทำให้ท่านเหมา เจ๋อตง ได้รับการยอมรับจนได้เป็นประธานนาธิบดีของประเทศจีน จนได้นานนามว่า “ ฮ่องเต้นักปฏิวิติ” โดยเฉพาะในยุคท่เรียกว่า “ การปฏิวัติวัฒนธรรม ” โดยที่ตำแหน่ง “ฮ่องเต้” นี้เป็นที่ยกย่องว่าสูงสุดและใหญ่ยิ่งที่สุดของกษัตริย์จีนตามที่เคยมีมาใน อดีต ด้วยเพราะในความปรีชาสามารถของท่าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใด คงเป็นเพราะพรสวรรค์ในตัวท่าน ที่ท่านเกิดมาเพื่อ ปลดปล่อยความลำบาก ยากเข็ญให้กับประชาชนชาวจีน ในฐานะผู้สถาปนาจีนใหม่ขึ้นมาภายใต้ระบอบสังคมนิยมและสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ ขึ้นมา
สามารถสรุปผลการวิเคราะห์ได้ดังนี้ เหมา เจ๋อตง มีภาวะความเป็นผู้นำ และเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปของประเทศจีน โดยสามารถอธิบายและบ่งบอกความเป็นสุดยอดผู้นำของ เหมา เจ๋อตง ได้อย่างชัดเจน จากผลการวิเคราะห์ดังนี้
ความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปของเหมา เจ๋อตง
เหมา เจ๋อตง มีความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปอย่างชัดเจน ผู้ศึกษาขอสรุปความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิง ปฏิรูปของ เหมา เจ๋อตง ได้ดังต่อไปนี้
ความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคม ถือได้ว่าเป็นผู้นำที่มีจริยธรรม รูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจน คือ เหมาเจ๋อตง เป็นผุ้นำชุมชนได้ดีและเป็นผู้จัดตั้งพรรคที่ดียิ่ง
บุคลิกภาพที่น่านับถือ (Charisma) เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และบุคลิกภาพที่ดี
การยอมรับ ความแตกต่างของบุคคล (Individualized consideration) เห็นได้จากความผิดแผกในตัวของเหมาเจ๋อตงและเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากสังคม
การกระตุ้น ให้ใช้สติปัญญา (Intellectual stimulation) เหมาเจ๋อตงมีการกระตุ้นสติปัญญาอยู่เสมอ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือเพื่อเป็นการศึกษาแนวคิดและยุทธวิธีต่างๆ และที่สำคัญในเรื่องของประวัติศาสตร์ต่างๆมากมาย
ความเอาใจใส่ผู้อื่น ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้พูด หรือรับปากใครไว้ และต้องทำให้ได้
มีความกล้าในการตัดสินใจ เป็นสิ่ง ที่จำเป็นมากความเด็ดขาดเป็นสิ่งสำคัญที่สังคมจีนในขณะนั้นต้องการ แต่การกล้าตัดสินใจที่ดีนั้น ต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตน แม้ว่าบางครั้งต้องสูญเสียในความสุขส่วนตัวและครอบครัวของตนก็ตาม
วิเคราะห์บทบาทผู้นำทางการเมืองของ เหมาเจ๋อตง
จากการวิเคราะห์ชีวประวัติเหมา เจ๋อตง จะเห็นได้ว่าไม่ว่าการใช้ชีวิตส่วนตัว หรือการบริหารประเทศเหมาเจ๋อตง จะเป็นคนที่รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์วิเคราะห์เหตุการณ์ด้วยเหตุและผลมาโดย ตลอด โดย สติ ปัญญา ความอดทน มุ่งมั่น วิสัยทัศน์และความตั้งใจจริง รวมทั้งความคิดอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน ตามแบบฉบับของเขาที่ได้ดำเนินชีวิตและการบริหารประเทศจีน รวมแล้วนานกว่า 82 ปี
จะ เห็นได้ว่าการบริหารประเทศของเหมาเจ๋อตงมีการวิเคราะห์และหาเหตุผลอยู่เสมอ มา ถึงแม้ว่าท่านจะถึงแก่กรรมไปแล้วก็ตาม ท่านได้ทิ้งสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งแก่ประชนชาวจีน เพื่อไม่ให้สิ่งที่ท่านทำมาทั้งชีวิตไม่ให้เสียเปล่า โดยทิ้งไว้ให้กับยอดขุนศึกของท่านได้นำมาแก้ไขปัญหาได้อีก ขอยกตัวอย่าง กรณีแก๊ง 4 คน คือ เรื่องแก๊งสี่คนคือการชิงรักหักสวาท หักเหลี่ยมอำนาจกันระหว่างคนมีเหลี่ยมกับคนไม่มีเหลี่ยม เป็นเกมหักเหลี่ยมด้วยเล่ห์กลการเมืองที่ลึกซึ้งผิดกับยุคก่อนๆ ที่ว่ากันซึ่งหน้า ประธานเหมาเจ๋อตงจึงได้ใช้เป็น ที่คิดอ่านวางแผนกำจัดแก๊งสี่คน คืนความสงบสุขสู่ประเทศจีน แผนกำจัดแก๊งสี่คนก็คือแผนการเดียวกันกับแผนการที่จูกัดเหลียงขงเบ้งกำหนด ขึ้นเพื่อกำจัดอุยเอี๋ยน นายพลผู้เป็นทหารเสือและทหารเอกของกองทัพเสฉวน ที่ร่วมทัพบุกแคว้นเว่ยกับขงเบ้งในครั้งสุดท้าย
เหตุการณ์นี้ ได้ประจักษ์ต่อ ประชาชนจีนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ประธานเหมาได้มอบเป็นของขวัญให้แก่ประชาชนจีน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งที่ท่านทุ่มเทมาทั้งชีวิต ต้องไม่สูญเปล่า เพราะด้วยความปรีชาและความสามารถทางการเมืองของท่านเหมาเจ๋อตง นั่นเอง
วิเคราะห์ บทบาทผู้นำทางการเมือง ของ เหมาเจ๋อตง ได้ดังนี้
มีการคิดวางแผนที่เป็นระบบเป็นขั้นตอน ด้วยพื้นฐานของเหตุและผล
มีการใช้กลยุทธ์แบบพลิกแพลงเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ การเมืองขณะนั้นได้ดี
มีการวิสัยทัศน์กว้างไกล เล็งเห็นปัญหาที่แท้จริง
มีสติ ปัญญา ความอดทน มุ่นมั่นและความตั้งใจจริง
มีความเมตตา กรุณา ต่อประชาชนชาวจีนอย่างลึกซึ้ง
มีความเพียรพยายามที่จะนำชาวจีนไปสู่จีนใหม่ได้อย่างสำเร็จ
มีความแม่นยำในการตัดสินใจทางการเมือง
อุทิศชีวิตส่วนตน เพื่อการปฏิวิติวัฒนธรรมจีนให้ถึงที่สุด
จากการศึกษา จะเห็นว่าเหมาเจ๋อตง มีคุณลักษณะภาวะผู้นำมาแต่กำเนิด โดยมีความเฉลียวฉลาดเป็นพื้นฐาน และมีการพัฒนาต่อมาในช่วงวัยเรียน ได้มีโอกาสได้ศึกษาตำรับตำราต่างๆในเรื่องประวัติศาสตร์และกลยุทธ์ที่ชัดเจน จะเห็นได้จากการมีความสามารถในการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์และการปฏิวัติ วัฒนธรรมจีนใหม่ เป็นผู้นำของกลุ่ม จนกระทั่งเติบโตในลำดับต่อมาภายหลังจากการเป็นผู้นำกองกำลังต่างๆ จนได้เป็นผู้นำของทุกกองพล ความเป็นสุดยอดผู้นำนั้นออกมาโดยการพัฒนาตนเอง การใช้การบริหารเชิงกลยุทธ์เฉพาะตัว โดยมีการปรับเปลี่ยนแผนเพิ่มเติม เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในขณะนั้น อีกทั้งยังสามารถพัฒนาตนเองและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี จาก ทฤษฎีภาวะผู้นำ ตามสถานการณ์ที่สำคัญ โดยมีพื้นฐานที่การตัดสินใจของผู้นำกับการปฏิบัติงานของกลุ่มผู้ตาม ซึ่งการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนี้ ส่งผลสำเร็จแก่เหมาเจ๋อตงมาก และก่อให้เกิดการยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างยิ่ง ทฤษฎี นี้ได้วิเคราะห์จาก แบบจำลองปทัสฐานการมีส่วนร่วมของวรูมและเย็ททัน โดยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแบบต่างๆตามภาพ
การตัดสินใจ นั้นมีตัวแปรต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของเหมาเจ๋อตงทั้งสิ้น เหมาเจ๋อตุง เป็นสุดยอดผู้นำทีมี่การตัดสินใจที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ที่สามารถจูงใจประชาชนจีนทั้งประเทศให้มีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจของเขา ภายใต้ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในจีน อันได้แก่ ตัวแปรเหตุ ตัว แปรสอดแทรก ตัวแปรตาม และตัวแปรจากสถานการณ์ ผู้ ศึกษาจึงขอสรุปตัวแบบภาวะผู้นำของ เหมาเจ๋อตง ได้ดังนี้
การเป็นผู้นำที่สามารถแก้ไขปัญหาและทำการตัดสินใจด้วย ตนเอง โดยอาศัยข้อมูลต่างๆที่เขามีอยู่ในขณะนั้นจากการมีส่วนร่วมของผู้ตาม
การเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์หาเหตุผล จากข้อมูลที่จำเป็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วจึงตัดสินใจแก้ไขปัญหา ภายใต้ความร่วมมือของผู้ตาม
เป็นผู้นำที่มีการ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น และเชื่อมั่นสูง
เป็นผู้นำที่สามารถนำสมาชิกไปในทิศทางของเป้าหมายที่ ต้องการ
เป็นผู้นำที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและกลุ่ม
เป็นผู้นำที่มีคุณลักษณะการเป็นผู้นำที่ดี
ความมีประสิทธิผลของภาวะผู้นำ ของเหมาเจ๋อตง
1. ผู้นำที่มีประสิทธิผล (Effective Managers) คือ ผู้นำที่สามารถทำให้ผู้ตามมีผลงานดีและมีความพึงพอใจ ซึ่งเหมาเจ๋อตุงสามารถทำ ให้เกิดกองทัพแดง และแผ่อิทธิพลได้สำเร็จ
2. ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ (Successful Managers) คือ ผู้นำที่ได้รับการสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยบุคลิกและลักษณะความเป็นผู้นำของ เหมาที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้นแล้ว
การศึกษาและนำไปใช้ประโยชน์
สามารถนำผลการศึกษามาใช้ประโยชน์ในการเป็นผู้นำที่ดีได้ ดังนี้
1) ผู้นำต้องมีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา รู้จักคิดอย่างมีระบบ อีกทั้งต้องมีการวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ มีความใฝ่สูง หวังสูง หวังความเป็นเลิศ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ รู้จักเรียนรู้ความผิดพลาดจากประสบการณ์ รวมถึงความไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว
2) ผู้นำต้องมีความสามารถในการสื่อสาร มีการให้ความสำคัญกับมิตรภาพ มีความรู้เรื่องกลยุทธ์ต่างๆในการบริหารและต้องสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
3) ผู้นำต้องเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม รู้จักยอมรับ ศรัทธา ต่อตนเองและผู้อื่น
4) ผู้นำที่มีการตัดสินใจที่แน่วแน่ และมุ่งมั่น ไม่ลังเลต่อสิ่งที่ตัดสินใจไปและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
5) เป็นผู้นำที่สามารถจูงใจสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ตามตามสถานการณ์ได้สำเร็จ