ในคราวที่เศรษฐกิจทรุดหนัก ชาวอเมริกันต่างพร้อมใจกันรัดเข็มขัดด้วยการตัดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยออกไป หนึ่งในนั้นได้แก่ การเสริมสวยและศัลยกรรมความงาม แต่หลังจากมีข้อมูลชี้ว่าการผ่าตัดเสริมสวยกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง หลายฝ่ายก็เริ่มมีความหวังว่าอาจเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่กำลังมีทิศทางบวก
Heidi Montag Before And After Breast Surgery
Picture from timesoftheinternet.com
ดร.ฟิล เฮค ประธานสมาคมดังกล่าวระบุว่า "ผู้คนเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าจะไม่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำรอบสองนี่เป็นอีกหนึ่ง ดัชนีที่ชี้ว่าเราจะไม่กลับไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเมื่อ 3 ปีก่อนอีก ที่ผ่านมาใคร ๆ ก็เน้นดูแลครอบครัวเป็นหลัก แต่ตอนนี้ถึงเวลาหันมาดูแลตัวเองบ้างแล้ว"
ชนิดการผ่าตัดเสริมสวยที่มาเป็นอันดับ 1 ยังคงเป็นการเพิ่มขนาดหน้าอก 296,000 คน ตามมาด้วยทำจมูก ยกเปลือกตา ฉีดริมฝีปาก และดึงหน้าท้อง ส่วนการผ่าตัดยกกระชับใบหน้าซึ่งไม่เพิ่มมาตั้งแต่ปี 2550 ก็กลับมาพุ่งขึ้น 9% เมื่อปีกลาย เช่นเดียวกับศัลยกรรมปรับรูปทรงเรือนร่างอย่างยกกระชับหน้าอก ต้นแขน ต้นขาที่เพิ่มขึ้นถ้วนหน้า
นอกจากปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว ระยะเวลาในการพักฟื้นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่พร้อมมาขึ้น เขียง ดร.มัลคอล์ม โรท ผู้อำนวยการฝ่ายศัลยกรรมพลาสติก ศูนย์การแพทย์ไมโมไนด์ส ในกรุงนิวยอร์กชี้ว่า "คนที่ยังมีงานทำไม่อยากลางานแม้เพียงครึ่งวันเพื่อเข้ารับการผ่าตัด เพราะกังวลว่าการขาดงานจะทำให้ตัวเองถูกนายจ้างเพ่งเล็ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีคนพร้อมจะเข้ามาเสียบแทนจำนวนมาก"
ทว่า การผ่าตัดเสริมสวยขนาดเล็กแทบไม่โดนหางเลขจากภาวะเงินทองฝืดเคืองเลย โดยลดลงเพียงเล็กน้อยในช่วงเศรษฐกิจดิ่งเหว และปีที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้นอีก 5% ในจำนวนนั้นการฉีดโบทอกซ์มีความต้องการเข้ามามากที่สุด 5.4 ล้านครั้งใน 1 ปี ตามมาด้วยการฉีดสารเติมเต็ม การลอกหน้าด้วยสารเคมี กำจัดขนด้วยเลเซอร์ และการกรอหน้าด้วยเกล็ดอัญมณี
เหตุที่การผ่าตัดเล็กยังเป็นที่นิยมในทุกภาวะเศรษฐกิจ เป็นเพราะราคาที่ไม่แพงมาก "ผมไม่เคยเห็นใครตัดใจไม่ฉีดโบทอกซ์หรือสารเสริมเต็มเพราะปัญหาทางการเงินมา ก่อนเลย อีกทั้งการเสริมสวยประเภทนี้ไม่เสียเวลาทำนานและไม่ต้องพักฟื้น คนไข้สามารถแวบมาฉีดช่วงพักกลางวันและกลับไปทำงานได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น ความผิดปกติ" ดร.โรทกล่าว