ศาสนาเต๋า: แนวคิดและหลักคำสอนที่สำคัญ





เล่าจื้อ ผู้กำเนิดลัทธิเต๋า


ลัทธิเต๋า (เล่าจื้อ)

ประวัติความเป็นมาและต้นกำเนิดของลัทธิเต๋า ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋ามีชื่อเดิมว่า หลีโอว แต่รู้จักกันทั่วไปว่าเล่าจื้อ เล่าจื้อเป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงมากผู้หนึ่ง ความคิดเห็นส่วนใหญ่ของเล่าจื้อปรากฎอยู่ในหนังสือ เต๋าเตอเชง ปรัชญาในหนังสือนี้มีอิทธิพลแก่ความคิดและศิลปวิทยาของจีนเป็นอย่างยิ่ง หนังสือเต๋าเตอเชงนี้ส่วนใหญ่บรรจุข้อเขียนเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในชีวิต เช่นผู้ที่รอบรู้มักจะไม่พูดมาก และผู้ที่พูดมากมักจะไม่รู้

แนวคิดและหลักคำสอน ลัทธิเต๋าเป็นลัทธิที่จะทำความเข้าใจได้ยาก เพราะการเข้าถึงลัทธินี้จะต้องมีสัมผัสพิเศษที่สามารถเข้าถึงภาวะความจริงได้ ผู้นิยมลัทธิเต๋าเองก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่จะเข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิตและโลกโดยการคิดและการใช้เหตุผล หรือโดยการกระทำแต่ความดี การแสวงหาเต๋าหรือทางนี้ อาจทำได้ด้วยการปฏิเสธที่จะรับว่าตนเองเป็นผู้มีวิชาหรือผู้รอบรู้ และให้อยู่อย่างสงบ ใช้ชีวิตง่ายๆ กับธรรมชาติ ความรู้มิใช่เป็นของดี หากแต่ช่วยเสริมสร้างความชั่วให้ตามเวลามากหรือน้อยเท่าที่เรียนมา ดังที่ปรากฎในหนังสือที่แสดงความคิดของเล่าจื้อว่า ผู้ที่มีความสามารถมักจะไม่ถกเถียงกันด้วยเรื่องต่างๆ การทะเลาะถกเถียงกันแสดงถึงการไร้สมรรถภาพ


อิทธิพลของศาสนาเต๋าที่มีต่อสังคมจีน

ศาสนาเต๋า ได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ผู้ถูกกดขี่ แต่คนชนชั้นที่มีการศึกษาดี ไม่มีใครนิยมชมชอบนัก ผลก็คือเต๋าจึงค่อยๆ เสื่อมไป และต่อมาคนส่วนมากยังศรัทธาในลัทธิแบบเชื่อในโชคลางและไสยศาสตร์ยิ่งทำให้พวกนับถือลัทธิของขงจื้อพากันเหยียดหยาม ด้วยเหตุเพราะลัทธิเหยียดหยามลัทธิเต๋านี่เอง คนเลยไม่สนใจวิทยาศาสตร์ ดังนั้นประเทศจีนจึงเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์น้อยเกินไป เพราะไปหลงตำหนิลัทธิเต๋า ขณะที่ในความเป็นจริงลัทธิเต๋านั้นกลับเป็นผู้ค้นพบเรื่องทางวิทยาศาสตร์มาก่อนชนชาติใดๆ ด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น การประดิษฐ์ดินปืน และจากการที่ผู้นิยมลัทธิเต๋ามักมุ่งเน้นค้นหาความจริงเกี่ยวกับชีวิต และมักหนีปัญหาต่างๆ ด้วยการไปชีวิตใกล้ธรรมชาติ ส่งผลให้ค้นพบการบำบัดรักษาโลกด้วยสมุนไพร อันเป็นต้นกำเนิดแห่งวิวัฒนาการด้านความรู้ทางการแพทย์อีกด้วย
ยาสีฟันสมุนไพรพฤกษาเฮิร์บ แนวคิด

1. ศาสนาเต๋าเกิดในประเทศจีน ประมาณ 61 ปี ก่อนพุทธศักราช เริ่มแรกนั้นยังไม่เป็นศาสนา เป็นเพียงปรัชญาเท่านั้น ไม่มีพิธีกรรม ไม่มีข้อปฏิบัติอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่าข้อคิดและคำสอน ต่อมาภายหลังจึงได้พัฒนาขึ้นเป็นศาสนาที่มีองค์ประกอบตามลักษณะของศาสนา ศาสนาเต๋าเป็นอเทวนิยม โดยมีศาสดาของศาสนาคือเล่าจื๊อ

2. ศาสนาเต๋ามีพิธีกรรมที่สำคัญดังนี้ พิธีบริโภคอาหารเจ พิธีปราบผีปีศาจ พิธีไล่ผีร้าย พิธีส่งวิญาณผู้ตาย และพิธีกราบไหว้บูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ จุดหมายปลายทางสูงสุดของชีวิตของศาสนาเต๋า อันเป็นความสุขที่แท้จริงและนิรันดร์ก็คือ เต๋า การที่จะเข้าถึงเต๋า หรือรวมอยู่กับเต๋าเป็นเอกภาพเดียวกันได้ จะต้องบำเพ็ญตนให้ดำเนินไปตามทางของธรรมชาติ ให้มีความ สงบระงับ ครองชีวิตในทางที่กลมกลืนกับธรรมชาติสามารถทำใจให้สงบตามทางของ ธรรมชาติ(เต๋า) ชาวเต๋าเชื่อว่าชีวิตในโลกนี้มีครั้งเดียว จากนั้นไปสู่โลกวิญญาณชั่วนิรันดร

3. ศาสนาเต๋ามีอยู่หลายนิกาย แต่ว่ามีนิกายใหญ่ๆ 2 นิกาย คือนิกายเช็ง-อิ และนิกายชวน-เชน ศาสนาเต๋ามีสัญลักษณ์เป็นรูปเล่าจื้อขี่กระบือ และสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือรูปหยิน-หยาง

4. ฐานะปัจจุบันของศาสนา ปัจจุบันนี้ศาสนิกของศาสนาเต๋ามีประมาณ 183 ล้านคน กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ชาวจีนอาศัยอยู่มาก เช่น ประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ อยู่ในประเทศจีน

5. คัมภีร์ของลัทธิเต๋า คือคัมภีร์เต้าเตกเกง หลักคำสอนที่สำคัญมีดังนี้


5.1 สมบัติอันเป็นรัตนะ (แก้ว) 3 ประการ

สิ่งที่ท่านเล่าจื๊อสอนให้บำเพ็ญให้เกิดให้มีในทุกๆ คน เพื่อความอยู่ดีของสังคม ก็คือ รัตนะ 3 ประการ ดังที่เล่าจื๊อได้กล่าวไว้ว่า "ชาวโลกทั้งปวงกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นนักปราชญ์ ข้าพเจ้าหาได้เป็นดังคำกล่าวของคนทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้ามีสมบัติอันเป็นแก้ว 3 ประการ อยู่ในตัวข้าพเจ้า ที่คนทั้งหลายควรดูแลและรักษากันไว้ให้ดีคือ

1. ความเมตตากรุณา

2. ความกระเหม็ดกระแหม่

3. ความอ่อนน้อมถ่อมตน

เพราะมีความเมตตากรุณา บุคคลก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

เพราะมีความกระเหม็ดกระแหม่ บุคคลก็ร่ำรวยได้

เพราะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน บุคคลก็สามารถมีสติปัญญาเจริญเต็มที่ได้

ถ้าละทิ้งเมตตากรุณา รักษาไว้แต่ความกล้าหาญ

ถ้าละทิ้งความสำรวม รักษาไว้แต่อำนาจ

ถ้าละทิ้งการตามหลัง แต่ชอบรุดออกหน้าเขาก็ตาย"


5.2 ชีวิตจะดีได้ต้องกลมกลืนกับธรรมชาติ

เล่าจื๊อสอนให้คนเราดำเนินชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด คนจะทำดีและทำชั่วไม่ต้องมีกฎหมายบังคับ แต่ปล่อยให้ธรรมชาติให้คุณและลงโทษเอง ให้เอาธรรมะเข้าสู้อธรรม เอาความสัตย์เข้าสู้อสัตย์ เอาความดีเข้าสู่ความชั่ว ดังที่ว่า

"คนที่ดีต่อเรา เราก็ดีต่อ

คนที่ไม่ดีต่อเรา เราก็ดีต่อด้วย

เพราะฉะนั้นทุกคน จึงควรเป็นคนดี

คนที่ซื่อสัตย์ต่อเรา เราก็ซื่อสัตย์ต่อด้วย

คนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา เราก็ซื่อสัตย์ต่อด้วย

เพราะฉะนั้น ทุกคน จึงควรเป็นคนซื่อสัตย์"

หรือสอนให้เอาความอ่อนโยนสู้ความแข็งกร้าว (Gentles overcome strengths) ดังที่ว่า

"เมื่อคนเราเกิดนั้น เขาอ่อนและไม่แข็งแรง

แต่เมื่อตาย เขาแข็งและกระด้าง

เมื่อสัตว์และพืชยังมีชีวิต ก็อ่อนและดัดได้

แต่เมื่อตาย ก็เปราะและแห้ง

เพราะฉะนั้น ความแข็งและความกระด้าง จึงเป็นพวกพ้องของความตาย

ความอ่อนและความสุภาพ จึงเป็นพวกพ้องของความเป็น

ด้วยเหตุนี้ เมื่อกองทัพแข็งกร้าว จึงแพ้ในสงคราม

เมื่อต้นไม้แข็ง จึงถูกโค่นลง"

"สิ่งที่ใหญ่และแข็งแรง จะอยู่ข้างล่าง

สิ่งที่สุภาพและอ่อนโยน จะอยู่ข้างบน..."



5.3 ลักษณะคนดีและชีวิตที่มีสุขสูงสุด

เล่าจื๊อสอนว่า "คนดีที่สุดมีลักษณะเหมือนน้ำ น้ำทำประโยชน์ให้แก่ทุกสิ่ง และไม่พยายามแก่งแย่งแข่งดีกับสิ่งใดๆ เลย น้ำขังอยู่ในที่ต่ำที่สุด ซึ่งเป็นที่ใกล้เต๋า..." (สิ่งทั้งหลายเจริญเติบโตขึ้นมาด้วยน้ำ แต่น้ำไม่พยายามจะเลื่อนตัวเองให้ไปอยู่ระดับสูง น้ำกลับพอใจอยู่ในที่ต่ำที่ทุกสิ่งทุกอย่างพยายามหลีกเลี่ยง นี่แหละคือลักษณะหรือธรรมชาติของ "เต๋า" )

ชีวิตที่เป็นไปง่ายๆ ไม่มีการแก่งแย่งแข่งเด่น แข่งดี ปล่อยให้เป็นไปตามวิวัฒนาการของธรรมชาติไม่มีการดิ้นรนเพื่อแสวงหาตำแหน่ง หน้าที่ ให้เกิดอำนาจแก่ตน ทำประโยชน์ให้ ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนคือ ชีวิตที่มีสุขสูงสุด ตามทรรศนะของเล่าจื๊อ



5.4 ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ 3 ประการ

สิ่งที่เล่าจื๊อสอนให้บุคคลเห็นและต้องถือเป็นหลักสำคัญของศาสนาเต๋าคือ ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ 3 ประการ ดังนี้

1. สาระหรือรากฐานเดิม (ซิง) ข้อนี้มุ่งถึงสวรรค์ เรียกว่า วู-ซิง เทียนชุน หรือเทียน-เปาชุน โดยบุคลาธิษฐานเป็นมหาเทพสถิตอยู่ในอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ มี พระวรกายเป็นหยก ทรงเปล่งรัศมีดุจแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ให้คนเห็นความจริงในโลก

2. พลัง (จิ) คือ พลังแห่งสติปัญญาความสามารถ เรียกว่า วูซี-เทียนชุน หรือ หลิงเปาชุน โดยบุคลาธิษฐานเป็นมหาเทพ สถิตอยู่ในอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ ทรงแบ่งเวลาออกเป็นวัน คืน ฤดู ทรงเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติคู่แห่งโลก คือ หยางและหยิน (ในโลกนี้ล้วนมีคู่ เช่น มืด สว่าง, พระอาทิตย์ พระจันทร์, หญิง ชาย เป็นต้น)

3. วิญญาณ เรียกว่า ฟานซิง-เทียนชุน หรือเชนเปาชุน โดยบุคลาธิษฐานเป็นจอมแห่งวิญญาณทั้งหลาย สถิตอยู่ในอาณาจักรอันเป็นอมตะของอมรทั้งปวง และเป็นผู้ทรงความบริสุทธิ์ยิ่ง เป็นมหาเทพเท่ากับตัวเล่าจื๊อผู้เป็นวิญญาณบริสุทธิ์อวตารลงมาสั่งสอนมนุษย์ ถ้าจะเปรียบก็เท่ากับปรมาตมันหรือพระพรหมในศาสนาพราหมณ์


5.5 ปรัชญาในการดำเนินชีวิต 4 ประการ ชีวิตจะดีได้จะต้องดำเนินแนวทางดังนี้

1. จื้อไจ คือ รู้จักตัวของตัวเองให้ถูกต้อง

2. จื้อเซง คือ ชนะตัวเองให้ได้

3. จื้อจก คือ มีความรู้จักพอด้วยตนเอง

4. จี่อีเต๋า คือ มีเต๋าเป็นอุดมคติ



หลักความเชื่อและจุดหมายสูงสุด

ปรัชญาเต๋าเชื่อว่าเต๋าเป็นธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นพลังแห่งความดีงามสูงสุดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นแต่ละคนควรมุ่งเข้าถึงเต๋าและใครที่สามารถเข้าถึงเต๋าก็จะเป็นอมตะบุคคล หรืออาจเรียกได้หลายอย่างเช่น สัตยบุคคลบ้าง ฤาษี เทพเจ้า ผู้วิเศษ โดยอมตบุคคลแบ่งเป็น 2 แบบ คืออมตบุคคลป่า และอมตบุคคลบ้าน คือ ฤาษีที่หลีกหนีจากสังคมอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร หาความวิเวกมีเต๋าเป็นจุดหมาย จวงจื๊อได้กล่าวถึงฤาษีประเภทนี้ไว้ว่า

ณ ภูเขาโกเซียซัวอันไกลลิบมีมนุษย์ทิพย์อยู่คนหนึ่งมีผิวขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ กิริยามารยาทอ่อนโยนสงบเสงี่ยมดุจดรุณีสาว มีลมและน้ำค้างเป็นอาหาร ใช้ปุยเมฆบ้าง มังกรบ้าง เป็นพาหนะเที่ยวไปทั่วมหาสมุทรทั้ง 4 และเนื่องจากมีสมาธิแก่กล้าจึงสามารถบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ในที่ที่ท่านผ่านไป... อันตรายทั้งหลายไม่สามารถกล้ำกลายทำร้ายท่านได้ แม้น้ำท่วมโลกก็ไม่อาจท่วมท่าน ไฟที่ร้อนแรงที่สุดสามารถเผาก้อนหินหรือเหล็กให้ละลายได้ก็ไม่อาจทำอันตราย ท่านได้ หรืออากาศจะเย็นเป็นหิมะทำลายสิ่งทั้งหลาย ก็ไม่อาจทำให้ท่านหนาวตาย...

สรุปแล้วไม่มีอะไรสามารถทำให้ท่านเดือดร้อนหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้ ส่วนฤาษีบ้านยังตั้งอาศรมอยู่ใกล้เมืองยังเกี่ยวข้องกับสังคม แต่ก็ไม่ถูกอารมณ์โลกครอบงำ เพราะรู้แจ้งแทงตลอดในเต๋า จึงไม่หวั่นไหวในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ สัตยบุคคลเวลาหลับก็ไม่ฝันเวลาตื่นก็ไม่วิตกกังวล ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ยินดีในการเกิดไม่ยินร้ายต่อการตาย เห็นความเกิดและความตายเป็นเรื่องธรรมดา

ส่วนความเชื่อของศาสนาเต๋าแบบเต๋าเจียว ก็เป็นไปในทางอภินิหารและความลี้ลับ อย่างเช่นจาง เต๋า หลิง ผู้นำศาสนาเต๋าในคริสต์ศตวรรษที่ 2 ก็ได้ไปตั้งสำนักที่ภูเขา โฮ หมิง ซาน มณฑลเสฉวน กล่าวกันว่า จาง เต๋า หลิง ได้พบกับเล่าจื๊อซึ่งกลายเป็นอมตะที่นั่น เล่าจื๊อได้สอน จาง เต๋า หลิงว่า มีภูตผีปีศาจร้ายมากมายอยู่ทั่วไป คอยนำโรคและความตายตลอดทั้งความหายนะต่างๆ มาให้มนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงควรรู้วิธีที่จะเอาชนะวิญญาณร้ายเหล่านั้น เพื่อจะได้มีชีวิตยืนยาว ไม่เจ็บป่วยและถ้าเก่งกล้าคาถาอาคมมากก็อาจนำภูตผีปีศาจร้ายมาใช้งาน เช่น ให้ออกรบแทนทหารได้ นอกจากนี้เล่าจื๊อยังได้มอบดาบกายสิทธิ์ 2 เล่มให้จาง เต๋า หลิง ด้วย

สำหรับจุดมุ่งหมายสูงสุดของทั้ง 2 นิกายก็เพื่อเข้าถึงเต๋าเหมือนกันจะต่างก็แต่แบบ เต๋า เจีย มุ่งเข้าถึง เต๋า จิตจะมีแต่ความสงบสุขเพราะรู้เท่าทันความจริง ส่วนแบบเต๋า เจียวมุ่งเข้าหาเต๋า เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ทำเสน่ห์เล่ห์กล ดูโชคชะตา รักษาโรค คงกะพันชาตรี และเหาะเหินเดินอากาศ


บทความที่เกี่ยวข้อง