งานวุ่นวาย จิตฟุ้งซ่าน คำตอบง่ายๆ... ฝึกสมาธิ

ลองสังเกตตัวเองกันบ้างไหมว่า นับตั้งแต่มีเรื่องวุ่นวายรุมเร้าจากทั้งเศรษฐกิจภายนอกประเทศ ในประเทศ หรือการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

จนเป็นปัจจัยส่งเสริมเศรษฐกิจในทางลบ คุณภาพการคิด การทำงานของเราด้อยลงไปหรือไม่ หรือว่าเกิดเป็นความฟุ้งซ่าน “อิน” ไปตามสิ่งรอบด้าน จนไม่สามารถให้ความสำคัญกับงานตรงหน้าได้ ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าก็เป็นเหมือนกัน เพียงแต่แค่วูบๆ แต่เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เห็นได้ว่า ถ้าปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านมากไป ต้องไม่เป็นผลดีต่อเรื่องการทำงานแน่ๆ

โชคดีของเมืองไทยที่มีพระนักคิดและเจริญรอยตามหนทางแห่งองค์พระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยังคงทำหน้าที่เผยแผ่หลักคำสอนและหลักปฏิบัติ ซึ่งหลักพุทธศาสนานี้เป็นหลักที่เข้ากับวิถีชีวิตของคนทั่วไปได้ในหลายๆ เรื่อง ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับ พระครูปลัดวีระนนท์ แห่งวัดป่าเจริญราช จ.ปทุมธานี จึงได้ขอพึ่งพาทางธรรมที่จะมีผลประโยชน์ต่อทางโลกได้ โดยเฉพาะสำหรับชีวิตคนทำงานทุกวันนี้

สมาธิช่วยได้ในหลายเรื่อง

พระ ครูปลัดวีระนนท์ บอกว่า คนเรานั้นสติเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งการที่จะฝึกให้มีสติรู้ตัวอยู่ได้นั้น ก็คือ การต้องฝึกสมาธิ ซึ่งการฝึกสมาธิในแต่ละวันไม่ต้องใช้เวลามาก เพียงแค่ 5-10 นาที แต่ฝึกนั้นเราต้องรู้อยู่เสมอว่า เพื่อให้รู้เห็นความเป็นไป ไม่ใช่เพื่อจะให้รู้ในสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ต้องไปรู้เรื่องอดีตชาติ เรื่องอัศจรรย์ต่างๆ นั่นไม่ใช่หนทางของการฝึกสมาธิ

“การฝึกเพื่ออยากเห็นโน่นเห็นนี่ไม่ใช่เรื่องที่เราสอน แต่ฝึกเพื่อให้มีสติ เพื่อที่จะได้ไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกัน การพูดคุยก็ให้เป็นด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่กระโจนไปตามอารมณ์ ซึ่งคนเราทุกวันนี้พูดขัดกันไม่ได้เลย ไม่อดทน ดังนั้นต้องฝึก ง่ายๆ หายใจเข้าเราก็รู้ว่าท้องเราพอง หายใจออกเราก็รู้ว่าท้องเรายุบ”
แม้ได้รับคำแนะนำเช่นนั้นแล้ว จึงเกิดเป็นปุจฉาขึ้นมาว่า เมื่อรู้หลักเช่นนี้แล้ว อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่ต้องมาปฏิบัติที่วัดก็ได้หรือไม่ ท่านพระครูกรุณาวิสัชนาว่า ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป และได้ยกตัวอย่างการทำต้มยำกุ้ง ทุกคนสามารถหาสูตร รู้ว่าต้องใช้เครื่องปรุงอะไรบ้าง แต่คนที่ทำครั้งแรกก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ออกมารสอร่อยได้เลย ต้องมีคนชี้แนะว่าควรปรุงควรใส่อย่างไร เช่นเดียวกับการทำสมาธิ ก็ต้องให้ผู้รู้ได้ชี้ให้เห็น ต้องมารู้มาฝึกเสียก่อน

ดังนั้น เมื่อทำสมาธิจนมีสติแล้ว จากนั้นการดำเนินชีวิตก็จะง่ายขึ้น ในวัยทำงานก็จะมุ่งทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล

“ยิ่งคนในกลุ่มทำงานนั้น ถ้าได้มาทดลองเองเขาจะรู้ เราไม่ได้บอกว่าเขาต้องเชื่อ แต่เราช่วยทำให้เขาได้ฉุกคิด ให้สติเขา ก็จะมองเห็น เพราะพุทธศาสนาก็มีคำสอนอยู่แล้ว ให้พิสูจน์ ซึ่งเมื่อเราทำสมาธิได้ เราจะรู้ตัวเลยว่าจิตเราจะเย็นลง ยิ่งคนที่จิตดีอยู่แล้วก็อย่าละเลย เพราะต้องรักษาให้คงที่อยู่ตลอดไป

สมาธิฝึกได้ทุกวัย

คนที่เข้าวัดมาหาพระเพื่อการฝึกสมาธินั้น พระครูปลัดวีระนนท์ บอกว่า “อย่าให้ลมหายใจสุดท้ายแล้วค่อยนึกถึงวัด” ดังนั้นถ้าใครได้แวะเวียนไปที่วัดป่าเจริญราช จะได้เห็นว่าคนในวัย 20-40 ปี ต่างพากันมาฝึกสมาธิเป็นจำนวนมาก เพราะการฝึกที่ไม่ได้เคร่งจนเกินไปและไม่ได้ย่อหย่อนจนเกินไป จุดประสงค์นั้นศาสนาเองก็ต้องการให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เอื้ออาทรต่อกัน สองอย่างนี้แทบจะเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม ยิ่งสังคมของคนวัยทำงานยิ่งต้องมี แล้วต่อไปเมื่อคนที่มาฝึกมาปฏิบัติกลับไปจากวัดแล้วไม่ใช่จะเอื้ออาทรต่อคน ทำงานด้วยกัน แต่สามารถเป็นตัวอย่างต่อไปให้กับลูกหลานยุวชนของประเทศเรา เมื่อลูกหลานเห็นตัวอย่างที่ดีตั้งแต่เด็กๆ ก็เป็นการช่วยฝึกไปในตัว เมื่อถึงวัยที่ต้องมารับผิดชอบปฏิบัติสัมมาชีพ ก็จะไม่ใช่บุคคลก้าวร้าว พูดจากันก็เป็นเหตุเป็นผล คนในโลกหากมีชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ว่าชาติไหน ศาสนาไหน สังคมก็รุ่งเรืองได้

ความขัดแย้งแก้ได้

การสั่งสมของปัญหาการเมืองจนนำมาสู่ปัญหาเศรษฐกิจนั้น ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่อดไม่ได้ที่ต้องมีปุจฉาออกไป ว่าหนทางแห่งการเมืองของไทยนั้นจะแก้ได้หรือไม่ พระครูปลัดวีระนนท์ บอกว่า การแก้ปัญหาเรื่องคนทำงานการเมืองนั้นง่ายมาก เริ่มต้นจากผู้ที่จะเข้ามาสมัคร สส. เลย ถ้าปรากฏว่ามีคดีความติดตัวอยู่แม้แต่คดีเดียว ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ คนกลุ่มนี้อย่าปล่อยให้มาสมัครตั้งแต่ต้น ส่วนผู้ที่จะผ่านมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศได้ ขอให้ผ่านการทำงานมาก่อน 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะต้องเข้าใจเรื่องปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ เพราะการให้ศึกษาที่ดีกับลูกหลาน ก็จะเข้าใจถึงการรักษาสิทธิของตัวเอง ไม่ถูกซื้อสิทธิขายเสียง และสุดท้ายคือกระทรวงสาธารณสุข เพราะเมื่อคนเราไม่เดือดร้อนร่างกาย ก็ไม่เสียงบประมาณไปกับเรื่องรักษาพยาบาล ก็อยู่กันได้อย่างมีความสุข
สาธุ...

ด้วยความตั้งใจของพระครูปลัดวีระนนท์ ที่จะสร้างสถานที่ให้เป็นที่ฝึกสมาธิของประชาชนทั่วไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในปัจจุบันนี้จึงได้มีแผนการก่อสร้างอาคารเพื่อรองรับทั้งพระสงฆ์ที่เดินทาง แล้วต้องการที่พักระหว่างทาง หรือประชาชนที่จะเดินทางมาฝึกสมาธิในช่วงเวลาใดก็ได้ จึงกำลังหาทุนสร้างโรงอุโบสถและเพื่อความสง่างาม จะเน้นสถาปัตยกรรมแบบไทย โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้โดยโอนเงินเข้าบัญชี พระครูปลัดวีระนนท์ วีรนนโท เพื่ออุโบสถ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขานิมิตใหม่ บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 354-2-19782-4 หรือติดต่อโดยตรงที่วัดป่าเจริญราช โทร. 02-995-2112

เรื่องที่เกี่ยวข้อง: