เงื่อนปมภาษี-เปิดเสรีการค้า ความท้าทายอีคอมเมิร์ซไทย



ซื้อขายออนไลน์ แม้จะเป็นเรื่อง ที่ใคร ๆ บอกว่าง่ายแค่คลิก แต่แท้จริงแล้ว มีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้อยู่รอดอย่างยั่งยืน เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย ได้จัดสัมมนา "ไทยแลนด์ อีคอมเมิร์ซ ฟอรั่ม" เพื่อชี้โอกาสให้อีคอมเมิร์ซไทย

"ดร.รอม หิรัญพฤกษ์" ที่ปรึกษากระทรวงไอซีที กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตขึ้น ทุกปี จาก 14,156 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2550 เป็น 24,288 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2552 และคาดการณ์ว่าจะพุ่งถึง 36,105 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีนี้ ขณะที่ภาครัฐมีการตั้งเป้าผลักดันมูลค่าการ ซื้อขายอีคอมเมิร์ซให้เพิ่มขึ้นแต่ละปีไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท

กระทรวง ไอซีทีในฐานะภาครัฐมีหน้าที่ส่งเสริมอีคอมเมิร์ซให้เติบโตอย่างยั่งยืน กระทรวงจึงได้ปรับโครงสร้างใหม่ โดยกำลังจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลด้าน อีคอมเมิร์ซ นั่นคือสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) นอกจากนี้ยังเตรียมเสนอแผนแม่บทแห่งชาติด้าน บรอดแบนด์เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการทำอีคอมเมิร์ซ

"ปัจจุบัน มีธุรกิจหลายประเทศที่สามารถทำผ่านระบบออนไลน์ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านบรอดแบนด์ที่ดี จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริม เช่นเดียวกับการสร้างระบบชำระเงินแบบเพย์พาลที่เป็นของไทย และมีธนาคารเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด แม้ปัจจุบันจะมีอีเพย์เมนต์ของไทยที่คล้าย ๆ กับเพย์พาล แต่แบงก์ชาติไม่ได้เข้ามากำกับดูแล ทำให้มีปัญหาเรื่องการฝากเงินเข้าระบบ แบงก์ชาติจึงควรเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอีเพย์เมนต์ โดยอาจจะนำระบบพรีเพดของมือถือให้กลายเป็นตัวกลางในการจ่ายเงิน"

ส่วน ปัญหาเรื่อง "ภาษี" ที่กำลังเป็นยาขมของอีคอมเมิร์ซไทย "รัตนา เพ็ชรวิจิตร" ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร กล่าวยืนยันว่า กรมสรรพากรไม่มีนโยบายที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ แต่ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมากขึ้น รวมถึงเห็นประโยชน์จากการให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ชเข้าสู่ระบบภาษี

เพราะ จริง ๆ แล้ว ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบรายย่อยซึ่งได้รับสิทธิลด หย่อนมากมาย หากไม่ได้มีรายได้ต่อปีเป็นล้าน ๆ บาท ก็ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการให้ยื่นแบบแสดงรายได้ให้มีฐานข้อมูลเพื่อ สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากนโยบายของ รัฐในอนาคต

ผอ.รัตนากล่าวว่า จริง ๆ แล้ว การทำ อีคอมเมิร์ซ ก็เป็นการค้าขายในรูปแบบหนึ่ง จึงใช้หลักเกณฑ์การเสียภาษีเช่นเดียวกับการค้าขายทั่วไป สำหรับผู้ประกอบการที่ทำในนามของบุคคลธรรมดา ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท สิ่งที่ต้องทำ ก็คือหากมีรายรับต่อปีเกิน 30,000 บาท ก็ให้ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ประจำปีกับกรมสรรพากร และเป็นการทำรายงานรับ-จ่ายเงินประจำวัน คือการทำบัญชีแบบง่าย ๆ เพื่อให้รู้ว่าทั้งปีมีรายรับถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีหรือไม่

"การยื่น แบบเพื่อสิทธิประโยชน์จากนโยบายรัฐ ซึ่งจากการหักค่าลดหย่อนสารพัด เบ็ดเสร็จจะต้องเสียภาษี ก็ต่อเมื่อรายได้เกินล้านบาท ฉะนั้น ถ้ารายได้ไม่ถึง ก็แค่ยื่นแบบไว้เฉย ๆ"

ขณะที่ผู้ประกอบการที่เป็น นิติบุคคล คือจดทะเบียนตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด มีหน้าที่จะต้องทำบัญชีและงบการเงิน ซึ่งสรรพากรได้มีมาตรการส่งเสริมสำหรับนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท ถ้ามีกำไรสุทธิไม่ถึง 150,000 บาท จะไม่ต้องเสียภาษี หากมีกำไรเกิน 150,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท จะเสียภาษีแค่ 15%

นอก จากนี้ ยังมีมาตรการส่งเสริมอื่น ๆ อาทิ การซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้ในการทำธุรกิจ จะสามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ 3 รอบบัญชี แต่ถ้าเป็น SME ที่มีทุนจดทะเบียนไม่ถึง 200 ล้านบาท จ้างพนักงานไม่เกิน 200 คน จะสามารถหักค่าเสื่อมได้ทันทีถึง 40% ในรอบบัญชีแรก

"มาตรการส่งเสริมพวกนี้ หรือเรื่องการทำบัญชี การเสียภาษี อยากให้ผู้ประกอบการใส่ใจหาความรู้และลงมาตรวจสอบด้วยตัวเองด้วย อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานบัญชีเพียงฝ่ายเดียว เพราะมีหลายกรณีแล้ว ที่พบว่าผู้ประกอบการถูกเชิดเงินค่าภาษี ที่ฝากให้เจ้าหน้าที่บัญชีเอาไปจ่ายแทน เสียทั้งเงิน แถมโดนสรรพากรเรียกเบี้ยปรับเงินเพิ่มอีก"

ขณะที่ "รณรงค์ พูลพิพัฒน์" ผู้อำนวยการส่วนการค้าบริการอาเซียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในปีหน้า ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซของไทยจะต้องเตรียมรับมือกับการเปิดเสรีการค้าปลีก ผ่านอีคอมเมิร์ซตามเงื่อนไของค์การการค้าโลก แม้ว่าปัจจุบันกลไกของตลาดจะทำให้ผู้ประกอบการไทยเผชิญกับการเข้ามาทำธุรกิจ ของต่างชาติอยู่แล้ว แต่ถือว่ายังไม่รุนแรง เพราะส่วนใหญ่เข้ามาโดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย

ตั้งแต่ปีหน้าจะมีการ เปิดเสรี ซึ่งหมายถึงผู้ประกอบการต่างชาติจะเข้ามาอย่าง ถูกต้องตามกฎหมายและได้รับการคุ้มครอง โดยไม่มีกฎหมายใด ๆ มาเป็นอุปสรรคอีก

"สาขา ธุรกิจที่องค์การการค้าโลกระบุว่า บริการที่สามารถทำผ่านออนไลน์ได้ มีกว่า 200 สาขา และแต่ละสาขายังจำแนกได้อีกมาก ซึ่งผู้ประกอบการไทยยังทำได้ไม่ครอบคลุม ยังไม่เห็นช่องทางก็อีกมาก แต่ต่างชาติเขาทำอยู่แล้ว เมื่อเปิดเสรี จะทำให้บริการข้ามพรมแดนยิ่งเกิดมากขึ้น อาทิ การเปิดหลักสูตรเรียนทางไกลผ่าน อินเทอร์เน็ต แม้ปัจจุบันเริ่มมีมหาวิทยาลัยในต่างประเทศเข้ามาเปิดบ้างแล้ว แต่ยัง ไม่แพร่หลาย เมื่อเปิดเสรีแล้ว รับรองว่าต่างชาติจะเข้ามาใช้สิทธิของการเปิดเสรีอย่างเต็มที่ ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อม"

ประชาชาติธุรกิจ

เปิดผลสำรวจ "ทุจริต" ทั่วโลก 3 ธุรกิจนำโด่ง "โทรคมนาคม" แชมป์ 38% ใช้กลโกง "ตกแต่งบัญชี"



การทุจริตคอร์รัปชั่นที่ตกเป็นข่าวรายวัน สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตของสังคมที่น่าวิตกไม่แพ้วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะไม่เพียงผลสำรวจของ "สวนดุสิตโพล" ที่ได้สอบถามความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศในรอบเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ต่อเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นในการทำธุรกิจจำแนกตามอาชีพ ปรากฏว่าพนักงานบริษัทร้อยละ 51.4 คิดว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาในการทำธุรกิจ

ล่าสุดผล สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารทั่วโลกใน 54 ประเทศ กว่า 3,000 คนของกลุ่มไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PricewaterhouseCoopers หรือ PWC) บริษัทที่ปรึกษาซึ่งมีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับในภูมิภาคต่าง ๆ ยังชี้ชัดว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) สถิติการทุจริตคอร์รัปชั่นเพิ่มขึ้นมากกว่า 50%

"ประสัณห์ เชื้อพานิช" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา PWC ได้เก็บข้อมูลความคิดเห็นผู้บริหารอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปี 2009 ทำให้เห็นวิวัฒนาการด้านการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นชัดเจน

ภาพรวม จากรายงานผลสำรวจพบว่า การทุจริตเกิดขึ้นมากกว่า 50% ในเขตประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น รัสเซีย อินเดีย จีน บราซิล รวมไปถึงยุโรปตะวันออก

ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คิดว่าน่าจะ มีการทุจริตคอร์รัปชั่นจำนวนมาก แต่กลับมีน้อย ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่อาจจะมีรายงานน้อยหรือไม่มีก็ใช่ว่าจะไม่มีการทุจริตเกิดขึ้น บางประเทศอาจไม่ได้รายงานหรืออาจไม่มีการตรวจสอบหรือตรวจสอบแล้ว ไม่เจอก็เป็นไปได้เหมือนกัน

ซึ่งเมื่อจำแนกการทุจริตออกเป็นภาค อุตสาหกรรม จะพบว่า 3 ธุรกิจแรกที่นำโด่งในการสำรวจครั้งนี้ คือ กิจการโทรคมนาคม การสื่อสาร ตามด้วยธุรกิจประกันภัย และสถาบันการเงินตามมาติด ๆ เป็นอันดับ 3

"ทั้ง 3 ธุรกิจที่พบการทุจริตมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในธุรกิจต่าง ๆ เหล่านี้มีรายการที่ต้องทำเยอะมากในแต่ละวัน เฉพาะแค่โทรศัพท์อย่างเดียวก็มีโปรโมชั่น มีแถมมากมาย บางครั้งลูกค้าโทร.ติดบ้างไม่ติดบ้าง สายหลุดบ้าง แล้วบริษัทจะคิดค่าโทร.อย่างไร ในส่วนของบริษัทประกันก็เช่นกัน มีการออกกรมธรรม์เยอะ การทุจริตก็เกิดขึ้นได้มาก ยิ่งสถาบันการเงินยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีข่าวให้เห็นตลอดเวลา"

"ประ สัณห์" บอกว่า ยิ่งธุรกิจใหญ่โอกาสในการทุจริตยิ่งมีมาก พบว่าธุรกิจที่มีพนักงาน 1,000 คนขึ้นไป มีโอกาสเกิดการทุจริตมากถึง 46% ธุรกิจที่มีพนักงาน 201-1,000 คน มีโอกาสเกิดทุจริต 26% ธุรกิจที่มีพนักงาน 200 คนขึ้นไป สถิติจะลดลงเหลือ 15%

ในส่วนองค์กรของรัฐหรือรัฐ วิสาหกิจ จากผลการสำรวจพบว่า มีโอกาสเกิดการทุจริตมากถึง 37% รองลงมาเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ 31% บริษัทเอกชน 28% และอื่น ๆ 21% ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งอาจจะมาจากเจ้าของกิจการกำกับดูแลองค์กรด้วยตัวเอง จึงไม่มีใครโกงบริษัท

เมื่อถามถึงสาเหตุของการทุจริต ส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ใน 3 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงหรือแม้กระทั่งแรงกดดันต่าง ๆ เช่น การตั้งเป้ายอดขาย หรือยอดรายได้ในแต่ละปี ทำให้ผู้บริหารต้องหาวิธีการทำให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งก็เป็นที่มาของการทุจริต ซึ่งจากสถิติสาเหตุนี้มีสูงถึง 68% ซึ่งเรื่องนี้มักเกิดกับฝ่ายบริหารมากที่สุด

ส่วนเรื่องของโอกาสที่ เปิดให้มีการทุจริต ยกตัวอย่างพนักงานแคชเชียร์อยู่กับเงินทุกวัน ซึ่งหากไม่มีการตรวจสอบเป็นประจำ พนักงานอาจจะย่ามใจหยิบเงินไปใช้ก่อนแล้วคิดว่าจะนำมาใช้คืนวันหลัง ซึ่งมีความเป็นไปได้ จากการเก็บข้อมูลพบว่ามี จำนวน 18%

อีกเรื่อง หนึ่งที่สำคัญมาก คือ ทัศนคติที่มองว่าการทุจริตไม่ใช่เรื่องผิด หลายคนจึงพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ยักยอกผลประโยชน์ของบริษัทเข้ากระเป๋าตัว ตรงนี้ตัวเลขอยู่ที่ 14%

หาก วิเคราะห์ถึงยุทธวิธีการโกงว่า ถ้าจะโกงด้วยวิธีการอะไร ที่น่าสนใจคือการตกแต่งบัญชีมีสถิติที่เพิ่มสูงขึ้นมากจาก 10% ในปี 2003 เพิ่มขึ้นมาเป็น 38% ในปี 2009 เพราะหากผู้บริหารทำตัวเลขไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ วิธีการตกแต่งบัญชีจะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด

สำหรับการยักยอก ทรัพย์สินบริษัทจากสถิติที่เก็บได้ก็สูงเช่นเดียวกัน โดยในปี 2003 ตัวเลขอยู่ที่ 60% และในปี 2009 ขยับมาอยู่ที่ 67% และการติดสินบนปี 2003 มี 14% ปี 2009 พุ่งขึ้นมา เป็น 27%

เหตุผลที่ทำทุจริตส่วนมาก 70% ก็เพื่อรักษามาตรฐานการ ดำรงชีวิตของตัวเอง เพราะผู้บริหารบางคนในช่วงที่เงินเดือนสูง อาจจะไปผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ไว้ แต่พอเศรษฐกิจตก ถูกปรับลดเงินเดือนทำให้ไม่มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์จึงต้องทุจริต

16% เกิดจากเวลามีการทุจริตในองค์กร มีการตั้งข้อกล่าวหา ไม่มีบทลงโทษใด ๆ ทำให้คนที่โกงคิดว่าโกงแล้วไม่เป็นไร ไม่มีใครจับได้

อีก คำตอบหนึ่งที่น่าสนใจที่ได้จากการเซอร์เวย์ในครั้งนี้ คือ โครงสร้างผลตอบแทนของฝ่ายบริหารที่ผันแปรตามผลประกอบการ ทำให้เกิดการตกแต่งบัญชีเพราะถ้าตัวเลขออกมาสวย ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ผู้บริหารก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี

สำหรับประเทศไทย "ประสัณห์" ให้ข้อมูลว่า จากการเก็บข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พบว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (2543-2552) การทุจริตในภาคธุรกิจเอกชนของไทยจะเป็นรูปแบบของการฝ่าฝืนกฎระเบียบเป็นส่วน ใหญ่มีสัดส่วนถึง 73.23%

รองลงมาเป็นการปกปิดข้อเท็จจริง และการสร้างข้อมูลเท็จ 10.31% ตามมาด้วยการสร้างราคา 2.95% การหลีกเลี่ยงภาษีอากร 7.63% และการยักยอกเงินบริษัท 2.95% อื่น ๆ 2.93%

ซึ่ง หากโฟกัสไปที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะพบว่าการทุจริตส่วนใหญ่เป็นการยักยอกทรัพย์ และการใช้ข้อมูลภายใน รวมถึงการให้กู้ยืมกับบุคคลอื่นและนิติบุคคล

นอกเหนือจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้ว PWC ได้ถามผู้บริหารต่อไปว่า การทุจริตมีผลกระทบอย่างไรต่อองค์กรที่ทำงานอยู่ พบว่ามากกว่า 32% เห็นว่าพนักงานสูญเสียขวัญและกำลังใจ เพราะทันทีที่เกิดข่าวการทุจริตในองค์กร พนักงานก็เกรงว่าบริษัทจะไม่มั่นคง กลัวตกงาน

ในแง่ความสัมพันธ์กับคู่ค้าก็จะกระทบเพราะไม่มีใครอยาก ค้าขายกับองค์กรที่มีการทุจริต ลูกค้าก็เริ่มหวั่น ๆ กับคุณภาพ ของสินค้าที่อาจจะไม่ได้มาตรฐาน ทำให้สินค้าขายไม่ได้ ยิ่งเป็นบริษัทในตลาดหุ้น ราคาร่วงทันที เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ "ประสัณห์" บอกว่า ไม่ใช่ความเสียหายที่เป็นตัวเงิน แต่เป็นผลกระทบที่แรงมากจนไม่สามารถประเมินค่าความเสียหายได้ ถึงตรงนี้ผู้บริหารในหลายองค์กรคงอยากรู้ว่า จะทำอย่างไร ถึงจะรู้ว่าในองค์กรของตัวเองมีการทุจริตหรือไม่ PWC แนะวิธี การตรวจสอบทุจริตที่น่าสนใจและได้รับความนิยมจากทั่วโลกไว้ดังนี้

แนว ทางแรก คือ การตรวจสอบภายใน มีผู้นิยมใช้สูงถึง 26% ในปี 2009 แนวทางที่ 2 คือ การบริหารความเสี่ยงอันเกิดจากการทุจริต แนวทางที่ 3 เป็นวิธีการที่ฮิตมากในอเมริกาเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา คือ บัตรสนเท่ห์

"ประ สัณห์" บอกว่า หากอยากแก้ไขปัญหาทุจริตในองค์กรผู้บริหารจะต้องสร้างวัฒนธรรมให้คนในองค์กร เชื่อมั่นว่าไม่มีการทุจริตในองค์กร โดยปฏิบัติตัวเป็นโรลโมเดลให้กับพนักงาน แล้วเขียนแนวทางปฏิบัติที่ดีให้ชัดเจน

ที่สำคัญมากต้องมีบทลงโทษที่ ชัดเจนสำหรับคนที่กระทำการทุจริตในองค์กร ซึ่งบอร์ดขององค์กรจะมีความสำคัญมากในการกำกับดูแล ตรวจสอบว่าจุดไหนที่มีความเสี่ยงในการเกิดทุจริตได้มาก บอร์ดต้องหมั่นสอบถามกรรมการอยู่ตลอดเวลาว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในองค์กร หรือไม่ มีการจัดวางระบบการเฝ้าระวังในจุดที่มีความเสี่ยงในการทุจริต รวมถึงการสร้างเครือข่ายคนในองค์กรให้ช่วยเป็นหูเป็นตาหากมีเหตุการณ์ทุจริต แล้วให้รายงาน ตรงกับกรรมการเพื่อสามารถแก้ไขปัญหาได้เร็ว

อย่างไรก็ ตาม ประธานกรรมการบริหาร PWC ทิ้งท้ายว่า การทุจริตในองค์กรถ้าไม่ตรวจสอบก็ไม่เจอ ถ้าไม่ค้นหาก็ไม่พบ ฉะนั้นวันนี้ผู้บริหารองค์กรต้องกลับไปตรวจสอบองค์กรของตัวเองว่ายังปกติสุขดีอยู่หรือไม่


ประชาชาติธุรกิจ

10ภัยร้ายออนไลน์ที่นักท่องโลกไซเบอร์ต้องผวา




สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีคำเตือนเกี่ยวกับภัยอันตรายในโลกออนไลน์เตือนได้แก่

1.ใบแจ้งราคาสินค้า (ปลอม) ถ้าได้รับข้อความอี-เมลแจ้งให้เปิด และพิมพ์ "ใบแจ้งราคาสินค้า" ที่ได้แนบไฟล์มานั้นมันคือ

2.โทรจัน ที่พบคือหนอนไวรัส มาพร้อมใบรับสินค้า (ของปลอม)

3.อี-เม ลจากผู้จัดส่งสินค้ายอดนิยมแจ้งว่าไม่สามารถส่งมอบของให้ผู้รับได้ พร้อมแนบไฟล์ข้อมูลที่ดูเหมือนเป็นใบแจ้งหนี้ แต่จริงๆ เป็นข้อความสแปมที่จะล่อลวงผู้ใช้ให้ติดตั้งโทรจันลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

4.อี คอมเมิร์ซฟิชชิ่ง อีเบย์ (eBay) ร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ฮิตติดอันดับทั้งทางซื้อขาย และการขโมยข้อมูลของผู้ใช้เพื่อเพิ่มผลประโยชน์ทางการเงิน

5.ข้อมูล ส่วนบุคคล บัตรของขวัญ และโปรโมชั่น (ของปลอม) ผู้ใช้ที่ขอบค้นหาของฟรีหรือโปรโมชั่นพิเศษบนเว็บนั้นเสี่ยงต่อการถูกโจมตี โดย เว็บไซต์จะให้กรอกแบบสำรวจปลอมก่อนถูกที่จะขโมยข้อมูลลับหรือข้อมูลส่วนตัว นั้นไป

6.เว็บไซต์สุดฮิต เป้าหมายหลักของการติดเชื้อคือเชื่อว่าเว็บไซต์นั้นน่าจะปลอดภัยและน่าเชื่อ ถือ เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่มีการเข้าชมสูง ฯลฯ

7.ผลการค้นหาแห ล่งช็อปปิ้งช่วงคริสต์มาส (ที่เป็นอันตราย) ภัยคุกคามซึ่งเป็นผลของการค้นหาคำว่า "Christmas gift shopping" ถูกพบว่านำไปสู่มัลแวร์หลากหลายชนิดที่เป็นอันตรายเช่น มัลแวร์ ฟิชชิ่งไซต์ ยูอาร์แอลอันตราย

8.โฆษณามัลเแวร์ (Malvertisements) มักใช้โฆษณาและข้อเสนอเลียนแบบโฆษณาของจริง เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ โดยอาศัยความเชื่อใจของผู้ซื้อผ่านทางเว็บไซต์ยอดนิยม เช่น Google MySpace เป็นต้น

9.บัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (อี-การ์ด) อาชญากรไซเบอร์มักจะใช้บัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีการ์ดเพื่อล่อลวงเหยื่อให้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายในข้อความสแปม

10.ไซต์ การกุศลจอมปลอมต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหว ไฟป่า น้ำท่วม ล้วนถูกอาชญากรไซเบอร์นำมาใช้ประโยชน์เพื่อหลอกลวงให้รู้สึกอยากทำบุญและ ต้องการบริจาค อีกทั้งยังต้องสูญเสียเงินหรือข้อมูลที่เป็นความลับแถมไปอีกด้วย ภัยลวงนักล่าของถูก อาชญากรไซเบอร์จะใช้ส่วนลด และโปรโมชั่นเพื่อหลอกล่อเหยื่อให้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย

หรือใส่ข้อมูลที่เป็นความลับของตนลงในเว็บไซต์หลอกลวง

ร่วมส่งเรื่องราวเผยแพร่ได้ที่ epeople@matichon.co.th


วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553
เวลา 13:02:56 น. มติชนออนไลน์

คุณป้าซู่ซ่า"ซูซาน บอย์ล" สุดเจ๋ง "กินเนสส์ บุ๊ค"บันทึกชื่อ 3 สถิติรวด เปิดตัวเจ๋งที่สุด


ซูซาน บอยล์

ซูซาน บอยล์ คุณป้ายอดนักร้องชาวสก็อตต์ถูกหนังสือกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด หนังสือรวมรวมสถิติชื่อดังของโลก บันทึกชื่อไว้ในหนังสือเล่มล่าสุดถึง 3 สถิติด้วยกัน โดยเธอได้รับบันทึกว่าเป็นนักร้องหญิงที่ทำสถิติขายอัลบั้ม "ไอ ดรีมด์ อะ ดรีม" (I Dreamd A Dream) เป็นอัลบั้มที่ขายเร็วที่สุดในสหราชอาณาจักร รวมถึงเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่ทำยอดขาดในสัปดาห์แรกประสบความสำเร็จมากที่สุด ในสหราชอาณาจักรอีกด้วย


ซูซาน ยอกนักร้องที่สร้างชื่อด้วยการเข้าร่วมรายการ "บริทิช กอท ทาเลนท์" รายการเรียลริตี้ โชว์ชื่อดังยังได้รับการบันทึกสถิติว่าเป็นนักร้องที่อายุมากที่สุดในการ เปิดตัวอัลบั้มของตัวเองด้วย ซึ่งเธอมีอายุครบ 48 ปีในวันที่อัลบั้มของเธอออกสู่ตลาด ทำลายสถิติของเจน แมคโดนัลด์ ที่มีอายุ 35 ปีเมื่อครั้งออกอัลบั้มในปี 1998


บอยล์ กล่าวหลังจากรู้ข่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีชื่ออยู่ในหนังสือเล่มดังของโลก


"ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนที่เป็นเด็กๆ และไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าตัวเองจะมีชื่ออยู่ในหนังสือกินเนสส์ บุ๊คกับเขาด้วย"


ทั้งนี้ อัลบั้มเปิดตัวของยอดนักร้องทำยอดขายได้ 411,820 แผ่นเพียงแค่สัปดาห์แรกในการเปิดตัวที่สหราชอาณาจักรเท่านั้น ยอดขายดังกล่าวมากกว่าสถิติของ "อาร์กติก มังกี้" (Arctic Monkeys) วงอินดี้ชื่อดังกว่า 50,000 แผ่นเลยทีเดียว


วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 12:21:31 น. มติชนออนไลน์

Moon Cake สื่อรักข้ามประเทศ



โดย สมถวิล ลีลาสุวัฒน์


ใครจะไปเชื่อว่าขนมหวานชิ้นกลม ๆ จะมีอิทธิพล

ต่อความรู้สึก และความผูกพันต่อมนุษย์มากเพียงนี้

แต่นั่นก็เป็นไปแล้ว...

ด้วย สาเหตุหลักที่มาจาก "ความเชื่อ" ของคนจีนโบราณที่บอกต่อ ๆ กันมาว่า "ไหว้แล้วจะดี" และอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า "ไม่ใช่สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองเท่านั้น"

แต่ทั้งหมดที่คิดว่า "ดี" จะเกิดขึ้นกับคนที่เรารักและครอบครัวอันเป็นที่รักของเราด้วย

"ขนมไหว้พระจันทร์" หรือ Moon Cake ที่เราเห็น จึงไม่ใช่เป็นแค่ขนม แต่เป็น "สัญลักษณ์" ของความรัก

ความผูกพันที่บางครั้งก็หาเหตุผลมาอธิบายได้ยาก

รู้ เพียงว่า "เทศกาลไหว้พระจันทร์" เป็นเทศกาลแห่งความสุข และเป็นเทศกาลดี ๆ อีกเทศกาลหนึ่งในรอบปีที่คนไทยเชื้อสายจีนจะต้องดำเนินการปฏิบัติไปตาม ธรรมเนียมประเพณี

เทศกาลที่ว่าจึงเปรียบเสมือน "ตัวแทน" สื่อรักของความกลมเกลียวของคนในครอบครัว

ทุกวันนี้วันไหว้พระจันทร์อาจมีความหมายที่เปลี่ยนไป...

แต่ สิ่งหนึ่งที่ดำรงอยู่นั่นคือ ความเป็นครอบครัวที่ทุกคนที่ห่างหายกันไปนานจะได้มาพบปะพร้อมหน้า และร่วมฉลองกินขนมแสนอร่อย พร้อมจิบน้ำชาร้อน ๆ ภายใต้บรรยากาศของความรักความสามัคคีที่เกิดขึ้นจากหน่วยเล็กที่สุดในสังคม

"พระจันทร์" ในค่ำคืนของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันที่ 22 กันยายน 2553 ว่ากันว่าจะเป็นพระจันทร์ที่มีดวงโตกลมที่สุดในรอบปี และเห็นความสุกสว่างถ้วนหน้า

ตำนานจีนเชื่อว่า ในค่ำคืนนั้นเราอาจเห็นเงาของ "นางฟ้า

ผู้งดงาม" และ "แสนใจดี" มาปรากฏอยู่ในพระจันทร์ พร้อมทักทายมนุษย์บนโลกด้วยรอยยิ้ม

สำหรับ เทศกาลไหว้พระจันทร์ สิ่งที่เป็นไฮไลต์จึงอยู่ที่ "ขนมไหว้พระจันทร์" ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้าดวงจันทร์ ซึ่งคนจีนจะเรียกขนมนี้ว่า "เอี้ยปิ่ง" อันหมายถึงความพรั่งพร้อม ความสมหวัง และความสมบูรณ์

จากอดีต ถึงปัจจุบัน นอกจาก "ขนมไหว้พระจันทร์" จะเป็นเครื่องเซ่นไหว้แล้ว คนรุ่นใหม่ในยุคไซเบอร์ได้แปรเปลี่ยนให้ขนมชิ้นกลม ๆ กลายมาเป็น "ของขวัญดี ๆ" ที่ญาติมิตรและคนรู้จักนิยมยินดีซื้อเป็นของฝากเมื่อถึงเทศกาลไหว้ประจำปี

ที่น่าสังเกตบริษัทห้างร้าน องค์กรรัฐและเอกชนทั่วไป

ต่างนิยมใช้เทศกาลไหว้พระจันทร์มาประยุกต์สู่การสร้างมิตรไมตรี หรือการทำซีอาร์เอ็มต่อลูกค้า (การสร้างความผูกพัน)

ที่ สำคัญในประเทศไทย "ศิลปะ" การทำขนมไหว้พระจันทร์ที่ถูกเผยแพร่โดยชาวจีนที่อพยพเข้ามาบนผืนแผ่นดินไทยก ว่า 100 ปีแล้วนั้น เริ่มสร้างความหลากหลาย ทั้งปรับรูปแบบหน้าตาของขนมจากชิ้นใหญ่ ๆ ให้ดูมีขนาดกะทัดรัดมากขึ้น

รวม ถึง "รสชาติ" จากเดิมขนมไหว้พระจันทร์ของชาวจีน จะมีแค่ไม่กี่ไส้ อาทิ เมล็ดลูกบัว ถั่วแดง และลูกนัตจีน 5 ชนิด (โหงวยิ้ง) แต่ปัจจุบันได้มีการปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นคนไทยมากขึ้น และรสชาติที่มาอันดับ 1 เลย คือ "ไส้ทุเรียน"

แน่นอน "เครื่องปรุง" ที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่น้ำปลา พริกไทย แต่เป็น "ไข่แดงเค็ม" และ "เมล็ดแตงโม" ที่เคี้ยวแล้วกรุบกรับให้รสชาติที่เข้ากันได้ดี

ในฐานะที่ "ขนมไหว้พระจันทร์" เป็นตัวแทนของสิ่งดี ๆ ในเทศกาลดี ๆ

การ แบ่งปันกินขนมมงคลก็ถือเป็นสิ่งดี ๆ อีกเช่นกัน เพราะแสดงถึงความรัก ความกลมเกลียว อันสะท้อนให้เห็นถึงความหวังอันงดงามของผู้คนที่มีต่อชีวิต ขนมไหว้พระจันทร์จึงมีความหมายว่า "ขนมแห่งความกลมเกลียว"

ตามตำนาน นั้นขนมไหว้พระจันทร์ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ถัง และนิยมมากยิ่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง ขนมไหว้พระจันทร์ไม่เพียงแต่เป็นขนมที่สืบทอดกันมาโดยถือเป็นผลิตผลของผลไม้ 4 ฤดูกาลเท่านั้น แต่รสชาติยังแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น ขนมไหว้พระจันทร์แบบแต้จิ๋ว

แบบกวางตุ้ง แบบยูนนาน แบบหนิงโป ฯลฯ

ประเพณี ไหว้พระจันทร์นั้น นอกจากประเทศไทยแล้วประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่มีชนชาวจีนไปตั้งถิ่นฐานก็จะปฏิบัติคล้ายกัน คือ ตั้งโต๊ะจัดของสักการะบูชาพระจันทร์ เพื่อขอพรให้กับครอบครัวและให้กับชีวิตของตนเอง โดยมีส้มโอเป็นผลไม้หลักในจำนวนผลไม้ 5 ชนิด รวมถึงขนมโก๋ (ขนมหวานที่ทำจากแป้งสีขาวให้รสชาติหวาน ๆ) ที่พิมพ์ลายเป็นบ้านเจดีย์ หรือรูปทรงกลม ๆ พิมพ์ลายด้านบนเป็นภาษาจีน พร้อมกระดาษรูปเซียน 8 องค์

โดยใช้ต้นอ้อยประดับเป็นซุ้มประตู แขวนด้วยโคมไฟลวดลายสวยงามตระการตา แล้วตั้งโต๊ะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามธรรมเนียม

จากปรากฏการณ์ของเทศกาลไหว้พระจันทร์ มาปีนี้เกิดมิติใหม่ เกิดเวอร์ชั่นใหม่ เพราะมูนเค้กได้กลายเป็น "สื่อรัก" ที่ไร้พรมแดนไปแล้ว

โดย บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ได้ร่วมลงนามเซ็น เอ็มโอยู บันทึกข้อตกลงร่วมดำเนินธุรกิจด้วยกันผ่าน "ขนมไหว้พระจันทร์" ที่มีมูลค่าการตลาดรวมต่อปีสูงถึง 500 ล้านบาท

อานุสรา จิตต์มิตรภาพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปณท บอกว่า ความร่วมมือนี้นับเป็นอีกก้าวของความร่วมมือระหว่างไปรษณีย์ทั้งสอง หลังจากทดลองวางขายสินค้าที่ระลึกของไปรษณีย์ไทยผ่านเว็บไซต์ ShopThruPost ของไปรษณีย์ฮ่องกงมาเมื่อปีที่แล้ว

ซึ่งการทำตลาดร่วมกันครั้งนี้ "ขนมไหว้พระจันทร์" จากเมืองไทยจะเข้าไปอยู่ในรายการสินค้าช่วงเทศกาลของบริการสั่งซื้อ ของขวัญ (gift fulfillment service) ที่ไปรษณีย์จีนและฮ่องกง ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2547 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งจากตลาดในประเทศจีนและฮ่องกง รวมทั้งมาเก๊า ตลอดจนชาวจีนในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

"สำหรับประเทศไทย เราถือว่าเป็นการต่อยอดบริการอร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์ ซึ่งเมนูขนมไหว้พระจันทร์ในช่วงเทศกาลเราได้เลือกมาจากภัตตาคารเชียงการีล่า ที่เป็นต้นตำรับ โดยคนไทยสามารถสั่งซื้อได้ทั้งขนมไหว้พระจันทร์ในประเทศและจากฮ่องกง ขณะที่คนจีนในพื้นที่ที่เครือข่ายไปรษณีย์ฮ่องกงไปถึงก็จะมีโอกาสได้ลิ้มรส ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนรสอร่อยจากเชียงการีล่าเช่นกัน"

อัลเลน ม็อก (Allen Mok) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์การตลาดและขาย ไปรษณีย์ฮ่องกง (Hongkong Post) เสริมว่า เขารอวันนี้มานานแล้ว เพราะชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า ต่างชื่นชอบ "ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียน" มาก จะหาได้ก็ที่ประเทศไทยเท่านั้น

ภาย ในปีนี้ไปรษณีย์ทั้ง 2 ประเทศประกาศว่าจะขยายความร่วมมือในการทำตลาดสินค้าอื่น ๆ อีก โดยใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและผู้ บริโภคทั่วโลก ตลอดจนบริการไดเร็กต์เมล์ข้ามแดน (cross border direct mail) ระหว่างไทย-ฮ่องกง และจีน ซึ่งจะเป็นช่องทางใหม่ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ แต่ละประเทศอย่างได้ผล

และนี่คือปรากฏการณ์ของขนมที่เป็น "สื่อรัก" และ "สื่อการตลาด" ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเป็นตัวกำหนดโดยแท้


วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4245 ประชาชาติธุรกิจ

เปิดคัมภีร์เศรษฐี 3 หญิงแกร่งแห่งยุค "เจ๊เล้ง-เจ๊ง้อ-เจ๊จง"


เมื่อพูดถึงเรื่อง ความสำเร็จทางธุรกิจของผู้หญิงแกร่ง น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก 3 เจ๊ ประกอบด้วย เจ๊เล้ง-อารยา อภิสิทธิ์อมรกุล เจ๊ง้อ-ณชนก แซ่อึ้ง และเจ๊จง-จงใจ กิจแสวง


เจ๊เล้ง ผู้จัดการบริษัท เอ แอนด์ เจ บิวตี้โปรดักส์ จำกัด หรือเจ้าของ "เจ๊เล้ง" แหล่งรวมสินค้าจากทั่วโลก เจ๊ง้อ ประธานกรรมการ บริษัท ครัวเจ๊ง้อ จำกัด ที่มีถึง 10 สาขา และเจ๊จง เจ้าของธุรกิจหมูทอด ซึ่งขายได้วันละ 300 กิโลกรัม!! โดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจได้เชิญ 3 เจ๊มาร่วมเสวนาในหัวข้อ "ซาซือเจ๊" ล้วง(ไม่ลับ)วิธี...จ่อเซงลี้ฮ่อ เพื่อเป็นสื่อกลางในการนำพาผู้มีประสบการณ์มาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวให้กับ ผู้บริหารธุรกิจขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง ได้ก้าวข้ามอุปสรรคพร้อมทั้งเชิดชู "บทบาทของผู้หญิง"


ทั้ง 3 คนผ่านอุปสรรคขวากหนามมามากมายกว่าจะประสบความสำเร็จอย่างในทุกวันนี้ อย่าง"เจ๊ง้อ"เองก็เคยพลาดพลั้ง ถึงขนาดเชื่อว่าตัวเองไม่มีดวง ทำธุรกิจก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำมาแล้วหลายอาชีพ เช่น ช่างตัดผม ช่างตัดเสื้อ "คงเพราะไม่ใช่จังหวะของเรา" เจ๊ง้อ กล่าว ส่วนเคล็ดลับความสำเร็จคือการทำให้แตกต่าง โดยใช้ความชอบในการทำอาหารมาประยุกตร์ให้พิเศษกว่าที่อื่น แม้จะขายในราคาสูงแต่เจ๊ง้อรับรองคุณภาพคับจาน


ด้านเจ๊เล้ง ซึ่งสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก เลิกเรียนหนังสือตอนมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้วออกมาช่วยงานที่บ้าน เริ่มจากการขายท็อฟฟี่และอดออม เพียงแค่อายุ 16 ปีก็มีเงินถึง 5 แสน ในช่วงเกือบจะ 30 ปีก็สามารถตั้งบริษัทให้พี่ชายได้ โดยต่อยอดจากการใช้ธุรกิจใหญ่มาเสริมธุรกิจเล็ก ความรู้ที่ได้ก็มาจากการขยันอ่านหนังสือ ประกอบกับบ้านอยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง เพื่อนบ้านที่ค้าของเก่าก็นำหนังสือแฟชั่นต่างประเทศมาให้อ่านบ่อยๆ จนเกิดความคิดว่าถ้ามีโอกาสต้องนำของแบบนี้มาขายในเมืองไทยให้ได้ เริ่มจากการนำของที่ตลาดคลองเตยมาขาย ต่อมาขยับขยายให้แอร์โฮสเตจและสจ๊วตหิ้วเข้ามา ก่อนตัดสินใจเซ็นสัญญาส่งสินค้าทางเรือ


ขณะที่เจ๊จง เริ่มจากการขายของแบบซุปเปอร์ โดยซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ามาขายในราคาถูกกว่า แต่ก็เลิกไปช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และเริ่มทำอาหารตามสั่ง ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็นบุฟเฟ่ต์ข้าวแกง จนวันหนึ่งซื้อข้าวหมูทอดมาให้ลูกทาน จึงเกิดไอเดียทำหมูทอดสูตรเด็ดขาย จุดเด่นตรงที่สามารถตักข้าวและเติมผักไม่อั้น


หลายคนคงสงสัยว่าทำไมธุรกิจของทั้ง 3 ท่าน จึงประสบความสำเร็จมากมาย เพราะฮวงจุ้ยหรือทำเลของร้านหรือไม่ เจ๊จง ปฏิเสธทันที เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องฮวงจุ้ย แต่ยอมรับว่าปฏิบัติตามคำแนะนำของลูกค้า ซึ่งเชื่อว่าส่วนใหญ่เจ้าประจำชอบที่ราคาของหมูทอดที่ราคาถูก และการพูดคุยเป็นกันเองเหมือนพี่เหมือนน้อง ขณะที่เจ๊ง้อ เชื่อเรื่องการเลือกสถานที่เพื่อให้การค้าเจริญรุ่งเรือง









ดังนั้น หากจะตั้งสาขาเพิ่มก็จะเรียกเซียนแสเจ้าประจำมาดูที่ทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้นการทำร้านอาหารต้องมีที่จอดรถให้ลูกค้า สำหรับเจ๊เล้ง ผู้ไม่เคยดูหมอดู ใช้วิธีสวดมนต์และคิดแต่เรื่องดีๆ ทำธุรกิจพอดี เป็น"เจ้านายแบบขี้ข้า" ไม่ว่าจะร่ำรวยขนาดไหนก็ไม่ใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือย






สำหรับสูตรเด็ดเคล็ดลับของแต่ละคน อย่างแรกที่เหมือนกันคือความขยันและความคิดที่จะเริ่มทำสิ่งแปลกใหม่นำหน้า คนอื่นอยู่เสมอ นอกจากนี้ "เจ๊เล้ง" แนะนำให้นักลงทุนมือใหม่ว่า ถ้ามีเงินอย่าใช้จนหมด ให้ใช้กำไรในการลงทุนอย่ากู้ยืมหนี้สิน ถ้าได้ทุนคืนสิ่งนั้นคือเงินล่วงหน้าอย่าเอาไปใช้ก่อน







ส่วนตัวการบริหารงานเน้นที่การตลาดและบริหารบุคคลให้ดูแลกันเอง สำหรับครัวเจ๊ง้อ เนื่องจากเป็นร้านอาหารก็ต้องรักษาคุณภาพให้ดีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะรสชาติอาหารที่"เจ๊ง้อ"มักจะคอยมาตรวจดูฝีมือของกุ๊กในแต่ละสาขา เสมอๆ อย่างแรกเราต้องทำเป็นก่อน และต้องคอยปรับเปลี่ยนเมนูเอาใจไม่ให้ลูกค้าเบื่อ





ส่วน"เจ๊จง" ยอมรับว่าขายหมูทอดเป็นหลักเหมือนรับบทพระเอกแต่ก็ต้องมีพระรอง ภายในร้านจึงมีอาหารเพิ่มเติมผัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้ลูกค้าอย่างฟรีๆ เรียกว่า"ให้ใจ"กับลูกค้าเป็นอันดับแรก


ทั้ง 3 เจ๊ ได้ทิ้งท้าย"เคล็ดรวย"เอาไว้ให้เห็นถึงความพยายาม ขยัน และอดออม ตอกย้ำความสำเร็จโดยที่ไม่ต้องพึ่งดวง!!


วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 18:46:07 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

มีไปทำไม? ว.วชิรเมธี



คลิ้กที่ภาพเพื่อขยาย

เจงกิสข่าน มหาบุรุษผู้เปลี่ยนโลก



พระองค์คือจอมราชาแห่งตาร์ตาร์ พระนามว่า "เจงกิสข่าน" ผู้ชาญชัย นิทานแคนเทอร์บิวรี โดย จีออฟเฟรย์ ชอเซอร์

โดย นันทยา ชุ้นสกุล



เจงกิสข่านคือกษัตริย์พระนามกล้า
เกียรติลือชาเกรียงไกรในยุคท่าน
ไม่มีถิ่นแว่นแคว้นใดจะพบพาน
ราชาผู้ปรีชาชาญดั่งท้าวไท…
มีกองทัพเกรียงไกรยิ่งใหญ่นัก
พลพรรคแข็งขันกันถ้วนหน้า
พระองค์คือจอมราชาแห่งตาร์ตาร์

พระนามว่าเจงกิสข่านผู้ชาญชัย นิทานแคนเทอร์บิวรี โดย จีออฟเฟรย์ ชอเซอร์



“เตมูจิน” เด็กชายคนหนึ่งที่ชะตาลิขิตให้กลายเป็นผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เขาคือคนที่ญาติฝ่ายบิดาตั้งใจทอดทิ้งไว้กลางทุ่งหญ้าสเตปป์อันกว้างใหญ่ ต้องเผชิญกับชะตาชีวิตที่โหดร้ายเพียงลำพัง ความทุกข์ทรมานจากความหิวโหย การถูกตามล่าเข่นฆ่า การถูกเหยียดหยามและถูกใช้เป็นทาส หล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่ง ทะเยอทะยานและเหี้ยมโหด ชะตาพลิกผัน เขากลับกลายเป็นจอมทัพผู้นำชนเผ่าเร่ร่อนชาวมองโกลที่เดินทางพิชิตทั่วทั้ง เอเชียและยุโรป นาม “เจงกิสข่าน”


“คงเป็นการโง่ที่ไม่ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของยุโรป
แต่ก็เป็นการโง่พอกันหากลืมความยิ่งใหญ่ของเอเชีย”
ยวาหระลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย

นั่นแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเอเชียได้เป็นอย่างดี และเจงกิสข่านก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนั้น
อาณาจักรของเจงกิสข่านเป็นจักรวรรดิของชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ โลก แม้เจงกิสข่านจะเกิดขึ้นจากอดีตของชนเผ่าโบราณ แต่ก็มีอิทธิพลต่อการค้า การติดต่อสื่อสาร และรัฐขนาดใหญ่ที่เป็นกลางทางศาสนาของโลกสมัยใหม่มากกว่าผู้ใด


เจงกิสข่านเป็นคนสมัยใหม่อย่างแท้จริงในการทำสงครามแบบเคลื่อนที่และแบบมืออาชีพ รวมถึงการทุ่มเทให้แก่การค้าทั่วโลกและการควบคุมกฎหมายทางโลกที่เป็นสากล


นานนับศตวรรษหลังการตายของเจงกิสข่าน ชาติพันธุ์มองโกลถูกทำให้เสื่อมเสียด้วยคำกล่าวร้ายต่างๆ นานา ภาพจำของเจงกิสข่านกลายเป็นจอมทัพป่าเถื่อนบุกทำลายบ้านเมืองอันศิวิไลซ์ของ ชาวยุโรป


แม้ก่อนหน้านี้นักวิชาการมองโกลจะถูกรัฐบาลรัสเซียกีดกันไม่ให้ศึกษาเรื่องราว ของเจงกิสข่านเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็ยังมีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ทางวิชาการเพื่อตามรอยพงศาวดารลับของมองโกล ที่ว่ากันว่าเขียนโดยบุคคลในครอบครัวของท่านข่านเอง นำมาซึ่งการเดินทางเข้าสู่ดินแดนเกิดของท่านข่านทางตอนเหนือของจีนของนัก วิชาการกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือ แจ๊ก เวเธอร์ฟอร์ด ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยา ผู้เขียนหนังสือ “เจงกิสข่าน มหาบุรุษผู้เปลี่ยนโลก” ใช้เวลาถึง 6 ปีในงานภาคสนามตระเวนไปทั่วมองโกเลีย รัสเซีย และจีน เพื่อติดตามสถานที่เกิด เติบโต และเส้นทางการก้าวขึ้นสู่อำนาจของเจงกิสข่าน โดยมีพงศาวดารลับของมองโกล ที่เพิ่งมีการแปลและถอดความหลังจากที่หายสาบสูญไปกว่าเจ็ดศตวรรษเป็นคัมภีร์ นำทาง


“เจงกิสข่าน มหาบุรุษผู้เปลี่ยนโลก” นำมาแปลเป็นภาษาไทยโดย เรืองชัย รักศรีอักษร ร้อยเรียงเรื่องราวอันน่าทึ่งในทุกแง่มุมของท่านข่านให้เราได้รับรู้ ทั้งคำสอนจากพ่อถึงลูก กลยุทธ์การรบที่เด็ดขาดน่าพรั่นพรึง และหลักการปกครองที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างให้มองโกลเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่และน่า เกรงขาม ครอบครองพื้นที่กว่าครึ่งโลกมาแล้ว อัดแน่นด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเจงกิสข่านและจักรวรรดิมอง โกลที่ยิ่งใหญ่ในหลายๆ ด้านที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน


“อเล็กซานเดอร์และซีซาร์แทบไม่มีความหมายเลยเมื่ออยู่เบื้องหน้าเจงกิสข่าน”


อีกหนึ่งนิยามที่บิดาแห่งเอกราชของอินเดียกล่าวถึงเจงกิสข่าน หลักฐานที่ยืนยันว่าเจงกิสข่านมิได้ทำสงครามเพียงเพื่อขยายอำนาจเท่านั้น แต่เป็นผู้วางรากฐานให้กับโลกยุคปัจจุบัน





วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 18:00:14 น. มติชนออนไลน์

มหกรรมการปรุงอาหารจากอัณฑะชิงแชมป์โลกครั้งที่ 7



โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

มติชนออนไลน์


เมื่อครั้งที่ผู้เขียนศึกษาค้นคว้าเรื่องกฎหมายลักษณะพยานของกฎหมายโรมันเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ได้พบหลักกฎหมายโรมันว่า "Testis unus, testis nullus" แปลว่า "พยานหนึ่งคนเทียบเท่ากับไม่มีพยานเลย" ซึ่งหมายความว่าการที่มีพยานในการพิจารณาของศาลเพียงปากเดียวนั้นจะไม่ได้ รับการพิจารณา

ผู้เขียนจึงระลึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีท่านผู้ใหญ่ที่ผู้เขียนเคารพยกย่องท่านว่า เป็นผู้ชี้แนะ (mentor) เคยบอกผู้เขียนว่าเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วว่า การให้การเป็นพยานในศาลของโรมันสมัยก่อนนั้นพยานต้องสาบานตนต่อศาลโดยจับ อัณฑะของตนเองแบบว่าให้สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้ชายเป็นพยานใน ความจริงที่จะให้การต่อศาล


ยาสีฟันสมุนไพรพฤกษาเฮิร์บ





ซึ่งพิธีกรรมนี้ได้เปลี่ยนไปเมื่อฝรั่งได้ยอมรับเอาศาสนาคริสต์มาเป็นสรณะ จึงเปลี่ยนจากการสาบานต่ออัณฑะของตนเองมาเป็นการสาบานต่อพระคัมภีร์ไบเบิล แทน

ผู้เขียนยังแอบหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวทำนองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเนื่องจาก ท่านผู้ใหญ่ที่เคารพเท่านั้นท่านไม่เคยพูดเล่นหัวแบบสองแง่สองง่ามกับใครเลย เพราะท่านมีลักษณะของครูที่แท้จริง แต่ผู้เขียนได้นำเรื่องนี้ไปคุยเล่นสนุกกับเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริงจังอะไรเลย


จนกระทั่งผู้เขียนต้องไปเจอหลักฐานอ้างอิงเข้าเป็นภาษาละตินในตำรากฎหมายเลย จึงตระหนักว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะคุยกันเพื่อหัวเราะกันเล่นๆ เสียแล้ว เพราะถือเป็นหลักทั่วไปของกฎหมายลักษณะพยานเลยทีเดียว เนื่องจากคำว่า testis นี่เป็นได้ทั้งพยานและเป็นอัณฑะด้วยควบคู่กันไปเลย

หากศึกษากันลงไปถึงรากของคำศัพท์เลยก็ดูจะช่วยความจำดีนะ ท่านผู้อ่านที่เคารพ

อีทีนี้เกิดมีเรื่องสนุกเรื่องลูกอัณฑะกันขึ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมานี้คือมีมหกรรมการปรุงอาหารจากอัณฑะชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 7 ที่เมืองออสเรม (ozrem) ประเทศเซอร์เบีย


ท่านผู้อ่านคงพอจะรู้จักจำประเทศเซอร์เบียนี้ได้ซึ่งเดิมเซอร์เบียนี้เป็นส่วน หนึ่งของประเทศยูโกสลาเวียที่ตั้งอยู่ในคาบสมุทรบอลข่าน มีเมืองหลวงชื่อเบลเกรดที่ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของเซอร์เบีย


ประเทศยูโกสลาเวียนี่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์และได้ล่มสลายในเวลาไล่เลี่ยกับประเทศสหภาพโซเวียต


สำหรับยูโกสลาเวียนั้นแตกออกเป็น 7 ประเทศ ได้แก่ สโลวีเนีย โครเอเชีย มาซิโดเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา มอนเตรเนโกร โคโซโว และเซอร์เบีย


โดยมีเซอร์เบียเป็นส่วนที่ไปเที่ยวรบกับสโลวีเนีย โครเอเชีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา โคโซโว เนื่องจากไม่ยอมให้ดินแดนเหล่านี้แยกตัวออกไป ซึ่งพวกคนเซอร์เบียได้พยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกบอสเนียและโคโซโวอย่างโหด เหี้ยมทารุณจนองค์การนาโตต้องเข้ามาแทรกแซงเรื่องจึงยุติลงได้


และประเทศเซอร์เบียก็มีชื่อเหม็นไปทั้งโลกว่าเป็นประเทศที่สุดโหด ป่าเถื่อนหรือเขมรแดงแห่งยุโรปเลยทีเดียว


อี ทีนี้ประเทศเซอร์เบียก็อยากได้เงิน อยากรวยเหมือนประเทศอื่นๆ เหมือนกันถึงแม้จะเคียดแค้นคนทั้งโลกที่รุมประณามเซอร์เบียจนประเทศ เซอร์เบียเป็นชื่อเหม็นมากก็ตาม


ซึ่งวิธีหาเงินเข้าประเทศที่นิยมกันทั่วโลกก็คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งมัก ถูกเรียกว่า "อุตสาหกรรมขายของเก่ากิน" เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นหากทำถูกต้องก็เป็นเงินมหาศาลเลยที เดียว จนมีหลายประเทศในโลกนี้อยู่ได้ก็เพราะการท่องเที่ยวนี่แหละครับทำเป็นเล่นไป

ประเทศ เซอร์เบียนั้นไม่ค่อยมีสถานที่น่าเที่ยวเลยเนื่องจากเป็นประเทศที่ไม่มี ทางออกทางทะเล ทำให้ต้องหาเรื่องโปรโมตงานอะไรสักอย่างขึ้นมาให้เป็นระดับโลกเพื่อล่อนัก ท่องเที่ยวทั่วโลกให้ไปเที่ยวเพื่อใช้เงินในเซอร์เบียให้ได้ อันเป็นที่มาของมหกรรมการปรุงอาหารจากอัณฑะชิงแชมป์โลกครั้งที่ 7 แบบว่าจัดมาแล้ว 6 ปี ก็เริ่มจะติดแล้วล่ะ

งานนี้จัดที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อออสเรม (Ozrem) มีประชากรอยู่แค่ 343 คนเท่านั้น แต่มีชื่อในเซอร์เบียเรื่องการปรุงอาหารจากลูกอัณฑะของสัตว์นานาชนิด ถึงขนาดว่ามีการพิมพ์ตำราปรุงอาหารจากเมืองนี้


(ตำราทำกับข้าวฉบับนี้ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาไทย)


สำหรับอาหารที่ปรุงจากอัณฑะนี่นะครับที่เซอร์เบียเขาเรียกว่า "ไตขาว" ก็คงเหมือนกับที่เราเรียกสัญลักษณ์ของความเป็นชายว่า "กึ๋น" กระมัง ชาวเซิร์บเชื่อว่าพวกผู้ชายกินไตขาวนี่แล้วจะฟิตมีเรี่ยวแรงในเรื่องอย่าง ว่าดี เหมือนคนไทยบางคนที่ชอบกิน "ตัวเดียว อันเดียว" ด้วยเหตุผลเหมือนกันนั่นแหละ


ที่งานมหกรรมชิงแชมป์โลกการปรุงอาหารจากอัณฑะครั้งที่ 7 ที่มีเชฟที่เชี่ยวชาญเฉพาะการปรุงอัณฑะเป็นอาหารจากทั่วโลกมาประชันฝีมือกัน เพิ่งปิดฉากลงเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมานี้ มีอัณฑะหลากชนิดมาประชันในการปรุงอาหารกัน อาทิอัณฑะของวัวตัวผู้ (ที่ยังไม่ถูกตอนเรียกว่า bull) อัณฑะของหมูตัวผู้ (ที่ยังไม่ถูกตอนเรียกว่า boar) อัณฑะของม้า, แกะ, ลา, อูฐ, นกกระจอกเทศ และจิงโจ้ด้วย


ท่านผู้อ่านที่เคารพกรุณาอย่าเพิ่งเหมาเอาว่าผู้เขียนเพี้ยนนะเนื่องจากฝรั่งนี่ เขาละเอียด เขามีชื่อเฉพาะสำหรับสัตว์ที่ถูกตอนและไม่ตอน อย่างวัวที่ถูกตอนคือเอาอัณฑะออกแล้วเรียกว่า ox ส่วนหมูที่ถูกตอนแล้วเรียกว่า hog นอกจากนี้ ฝรั่งเขายังมีชื่อเฉพาะเรียกสัตว์ตัวผู้ตัวเมียและลูกสัตว์ที่ต่างหากกันเลย เช่น แกะตัวผู้คือ sheep แกะตัวเมียคือ ewe ลูกแกะคือ lamb


ม้าตัวผู้คือ stallion ม้าตัวเมียคือ mare ลูกม้าคือ colt ปืนพกแบบลูกโม่ที่พวกเคาบอยในสมัยก่อนใช้ดวลกันก็คือปืนลูกม้านี่แหละครับ


วัวนี่ก็สนุก วัวสาวเรียกว่า heifer วัวตัวเมียที่มีลูกแล้วเรียกว่า cow ส่วนลูกวัวคือ calf เอาไว้แค่นี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นการบรรยายวิชาสัตวบาลเบื้องต้นไป


การปรุงอัณฑะเป็นอาหารที่นี่ก็เป็นแบบยุโรปตะวันออกซึ่งคนไทยเราไม่ค่อยคุ้น ลิ้นเท่าไรนัก เช่น goulash, moussaka อ้อ ! มีพิซซ่าด้วยโดยพิซซ่าก็มีหน้านานาชนิดแหละ เฮ้อ ! คนที่กินพิซซ่าในงานนี้ต้องเป็นคนไม่ค่อยมีจินตนาการเท่าไรนะเพราะหากคิดมาก ก็จะกินไม่ลง


งาน ที่เมืองออสเรมนี่มีคำขวัญว่า "Serbia has balls" ท่านผู้อ่านโปรดแปลเอาเองก็แล้วกันเพราะแปลได้ 2 แง่ 2 ง่ามแต่ก็สรุปว่าปลอบใจตัวเองทั้งสองความหมายแหละ






วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:00:00 น. มติชนออนไลน์

Fw : ลักษณะต้องห้ามในลายเซ็น เซ็นอย่างไรไม่ทำร้ายตัวเอง !!!

หมายเหตุ : เป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ ไม่มีที่มาที่ไป (โปรดใช้วิจารณญาณ)



1.เซ็นตัดตัวเอง ห้ามเซ็นตัดตัวเองในตำแหน่งที่ 1 จะมีความหมายไม่ดีต่อ สุขภาพ ร่างกาย เป็นการตัดหรือทิ่มแทงตัวเอง หรือเซ็นตัดทุกตำแหน่ง ต้องแก้ไข เป็นเรื่องที่ซีเรียสมากสำหรับลายเซ็น เดี่ยวจะขยายความเรื่องลายเซ็นกับ สุ ขภาพ ตัวอย่างลายเซ็นตัดตัวเอง


2.เซ็นเป็นเส้นแทง เส้นแทงมีความหมายถึงการทำร้ายตำแหน่งของตัวเอง ตัวอย่างเส้นแทงที่พบบ่อยคือ เกิดจากรูปแบบตัวอักษร ส. ศ. เกิดจากวิธีการเขียน ธ. ร.


เส้นที่เกิดจากการลากตวัดมือ
3.เซ็นพยัญชนะเกินกรอบ ไม่มีอักษรส่วนเกินอกนอกเส้นกรอบ เดี๋ยวจะอธิบายเรื่องกรอบของพยัญชนะ แต่หลักการคืออย่าเขียนออกนอกกรอบและเขียนเกินตัวอักษร


4.เซ็นพันกัน อย่าเซ็นพันกัน ลายเซ็นที่มีลักษณะที่พันกันยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้าย เปรียบเสมือนชีวิตที่พบกับความยุ่งยาก ไม่สามารถสะสางปัญหาได้ และจะมีอุปสรรคในชีวิต ขาดระบบระเบียบ ขาดการจัดการ ระบบความคิดไม่ดี ส่วนมากลายเซ็นแบบนี้จะเป็นโรคประสาท


5.เซ็นสระยาวเกินไป อย่าลากสระยาวเกินความจำเป็น การลากสระอุ สระอู ยาวเกินไปจะบ่งบอกถึงว่า ลายเซ็นส่วนใหญ่อยู่ในโซนตํ่า สิ่งเหล่านี้จะบอกถึงเรื่องอดีตเก่า ๆ ที่ผ่านมา


6.เซ็นตัวอักษรขาด อย่าลากตัวอักษรขาด หมายความว่า เซ็นพยัญชนะเดียวแต่ยกปากกาขึ้น ทำให้ตัวพยัญชนะขาดออกจากกัน เช่น คำว่า "ปกรณ์" แบบนี้ จะทำให้พยัญชนะนำของตัวอักษรสำคัญขาด อันนี้เสียหายมาก เป็นอันตรายทีเดียว หรือย่างเช่น ทศธรรม ถ้าเขียนอย่างนี้ ความไม่สมบูรณืของตัวอักษรตัวพยัญชนะประธานก็คือความไม่สมบูรณ์ของตัวคุณเอง



7.เซ็นสระที่อยู่หน้าเป็นกำแพง อย่าเซ็นสระเป็นกำแพงกั้นตัวเอง อย่างที่อธิบายไปแล้วในวิธีการเซ็นสระ ซึ่งบางคนอาจจะเห็นว่ายุ่งยากก็สามารถตัดออกจากลายเซ็นได้ โดยไม่เสียหายอะไร



8.เซ็น กลับหลัง อย่าเซ็นกลับหลัง เช่น เซ็น ส. แทนที่จะเป็น ส. ก็เซ็นเป็น s การทำแบบนี้ทำให้ระบบต่าง ๆ ในความคิดผิดปกติ พยัญชนะขาดพลังและขาดทิศทางที่ถูกต้อง




วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 23:27:59 น. มติชนออนไลน์

แถลง!! ฟิล์ม รับเคยมีสัมพันธ์กับแอนนี่ แต่ลูกขอรอผล DNA


นักร้องหนุ่ม ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ออกมาแถลงข่าว ที่บริษัท อาร์๋ เอส จำกัด มหาชน กรณีที่มีข่าวว่าทำนักแสดงสาว แอนนี่ บรู๊ค ตั้งท้องแล้ว โดยบรรยากาศแถลงข่าวเต็มไปด้วยสื่อมวลชนจากทุกแขนงมาเฝ้ารอคำตอบ

ทั้ง ฟิล์ม แถลงว่าเจ้าตัวยอมรับว่าเคยมีความสัมพันธ์แบบชู้สาวกับนักแสดงสาว แต่ปฎิเสธไม่เคยคบกันในฐานะแฟน ส่วนเด็ก นักร้องดังขอรอผลพิสูจน์ ดีเอ็นเอ ถ้าเป็นลูกของตน ยินดีที่จะส่งเสียเลี้ยงดู

"ก่อนหน้านี้เขาโทร.มาบอกว่า เขาท้องกับผม ครั้งแรกที่ได้ยินผมยอมรับว่าตกใจมาก ก็ได้ปรึกษากับทางครอบครัว ตรงนี้คำว่า ใช่ ไม่ใช่ เอาไว้ทีหลัง แต่ผมกับครอบครัวให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมถึงให้การช่วยเหลือ หากไม่แน่ใจว่าเป็นลูกหรือไม่ ฟิล์มกล่าวว่า เขาไม่รู้จะพูดอย่างไร กลัวเป็นการทำร้ายจิตใจฝ่ายหญิง เมื่อรู้ว่าเขาคลอดแล้ว ครอบครัวของผมก็ยังส่งเสียเงินทองให้ตลอดเป็นระยะเวลา 3- 4 เดือน

"ผมไม่อยากพูดมาก เห็นใจฝ่ายหญิงมากๆ เพราะทางเขาก็ลำบาก ที่ผ่านมาพอรู้ว่าเขาตั้งครรภ์ก็จะเป็นทางแม่และผู้จัดการเข้าไปดูแลครับ ผมอยากจะอธิบายแต่รอให้เหตุการณ์มันผ่านไปสักพักก่อน อย่างแรกต้องขอโทษแฟนๆ ทุกๆ ท่านเรื่องที่มันเกิดขึ้น ผมก็รู้สึกผิด แต่ตอนนี้ผมก็ทำให้ดีที่สุด เรากำลังรอผลต่างๆ อยู่...ส่วนทางเฮียฮ้อก็ให้คำปรึกษาและก็คอยให้กำลังใจครับ"



นักร้องชื่อดังยังบอกด้วยว่าในเรื่องของการช่วยเหลือนั้นตนไม่อยากที่จะลงไป ในรายละเอียดว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนจะบอกว่าไม่อยากจะพูดอะไรมากเพราะกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจของฝ่าย หญิงและตนก็พร้อมที่จะพิสูจน์ และหากผลการพิสูจน์ออกมาเป็นอย่างไรตนก็พร้อมที่จะยอมรับและต้องดูกันอีกที ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

"ผมตั้งใจจะไปตรวจดีเอ็นเอเร็วๆ นี้ ถ้าผลออกมาเป็นลูกผม ผมยินดี ถ้าผมทำจริง ผมยินดีรับ ที่ผมออกมาแถลงข่าววันนี้ผมมีแต่ความจริงใจมาอธิบายให้ฟัง ซึ่งตรงนี้มีผลกระทบต่อแฟนเพลง ผมต้องขอโทษด้วย แล้วผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน ส่วนอาร์เอสก็ให้กำลังใจและให้คำปรึกษาตลอด ตอนนี้ยังไม่มีผลกระทบต่องาน






ที่มา www.news.sanook.com

ชีคอาหรับซื้อ"แฟลตหลังหรู"แพงที่สุดของโลกกว่า 8,730 ล้านบาท ไม่กลัวประวัติสยองเหตุฆาตกรรม


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายคริสเตียน และนายนิค แคนดี้ สองพี่น้องนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชาวอังกฤษ ได้ชายแฟลตหลังหรูที่เชื่อว่าจะแพงที่สุดของโลก ราคากว่า 190 ล้านปอนด์(หรือราว 8,730 ล้านบาท) ซึ่งเป็นแฟลตหลังหรูระดับเพนส์เฮ้าส์ ในเมืองโมนาโค บริเวณริมฝั่งชายฝั่งทะเลริเวียร่าของฝรั่งเศส โดยผู้ซื้อเชื่อว่า จะเป็นชีคอาหรับ ซึ่งเป็นนักลงทุนตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม ชีคอาหรับได้ซื้อแฟลตแห่งนี้ทั้งที่มันมีชื่อเสียงค่อนข้างน่ากกลัว เพราะเคยเกิดคดีเพลิงไหม้ปริศนาในบ้านซึ่งได้คร่านายเท็ด มาเฮอร์ มหาเศรษฐีเจ้าของบ้าน และนางพยาบาล และสันนิษฐานกันว่า เหตุดังกล่าวเป็นเหตุฆาตกรรมของคนร้ายที่ต้องการเล่นงานมหาเศรษฐีผู้นี้ซึ่งร่วมมือกับเอฟบีไอในแผนปฎิบัติการปราบปรามขบวนการฟอกเงิน

รายงานระบุว่า สองพี่น้องชาวอังกฤษ ได้ซื้อแฟลตดังกล่าวจากนางซาฟรา ซี่งได้รับมรดกจากสามีเป็นจำนวน 3 พันล้านปอนด์ เมื่อปี 2000 ด้วยราคาเพียง 10 ล้านปอนด์ ก่อนจะใช้เงินราว 23 ล้านปอนด์ ปรับโฉมใหม่ ให้กลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ชวนดึงดูดที่สุดของโลก โดยแฟลตดังกล่าว ประกอบด้วยมาตรฐานของบ้านพักหรูระดับมหาเศรษฐี มีสองห้องนั่งเล่น สามารรถเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของเทือกเขาคาร์ มาริน่า และใกล้ร้านอาหารท้องถิ่น และคาสิโนมีชื่อเสียงของโลก มีลิฟท์ มีสามห้องนอน และห้องแต่งตัวหลายห้อง,มีห้องสมุดและที่ทำงานขนาดสูง,มีอคอวเรี่ยม มีตู้เสื้อผ้าหมุนได้ ภาพวาดงานศิลป์ ทีวีจอใหญ่ ที่สามารถเลื่อนสไลด์ได้

พื้นที่ ภายนอกมีทางขึ้นวนโค้ง เรียงรายด้วยต้นไม้และพฤกษา นอกจากนี้ ยังมีสปา โรงยิม ห้องดูหนัง ห้องประชุมสื่อ และห้องเล่นพูล อีกทั้งมีระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิดตามห้องต่าง ๆ ห้องนิรภัยส่วนตัว และที่จอดรถใต้ดิน






วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 11:12:33 น. มติชนออนไลน์


ป่วนทั่ว"ปารีส" สายลึกลับโทรขู่วางระเบิด"หอไอเฟล"


สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันที่ 14 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงปารีส หรือประมาณ02.00 น. วันที่ 15 ก.ย. ตามเวลาประเทศไทย ตำรวจปารีสได้อพยพประชาชนและนักท่องเที่ยว กว่า 25,000 คน ออกจากหอไอเฟล ตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียง รวมไปถึงที่สถานีรถไฟใต้ดิน แซงต์-มิตเชล ใกล้กับมหาวิหาร “โนต-เตรอ-ดาม” อีกด้วยหลังจากถูกมือดีโทรศัพท์ขู่วางระเบิดขึ้น


ตำรวจได้กั้นพื้นที่โดยรอบ หอไอเฟล ซึ่งเป็นหอสูง 324 เมตร และเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส และเข้าทำการตรวจต้นโดยละเอียด แต่ไม่เจอวัตถุต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ในขณะที่เกิดเหตุขึ้นนั้น ชาวปารีส และนักท่องเที่ยวต่างก็ออกมามุงดูสถานการณ์ไม่หยุด และการจราจรตามท้องถนนโดยรอบก็ดำเนินไปตามปกติ แม้ว่าบริเวณใกล้กับหอไอเฟลนั้นจะมีรถตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังอยู่มากมายก็ตาม


อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้เปิดพื้นที่บริเวณด้านล่างหอไอเฟล ให้กับนักท่องเที่ยวอีกครั้งแล้ว หลังจากไม่พบวัตถุต้องสงสัยแต่อย่างใด


สถานีโทรทัศน์ บีเอฟเอ็ม และสื่ออีกหลายแขนงในฝรั่งเศส ได้รายงานว่า จากการตรวจค้นนับหลายชั่วโมงนั้นไม่พบวัตถุต้องสงสัยแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามตำรวจยังไม่ได้มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในขณะนี้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กรุงปารีสถูกขู่วางระเบิดอยู่บ่อยครั้ง โดยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 1995 นั้น เกิดเหตุผู้ก่อการร้ายอัลจีเรียวางระเบิดสถานีรถไฟแซงต์-มิตเชล ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 8 ศพ และบาดเจ็บ 150 ราย

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 07:22:47 น. มติชนออนไลน์

ทูตซาอุฯผวาขอลี้ภัยในสหรัฐหวั่นถูกลงโทษหากกลับปท.ฐานเป็นเกย์ ขู่แฉสมาชิกราชวงศ์

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ว่า นายอาลี อาห์เหม็ด อัสเซรี เลขานุการเอกสถานทูตซาอุดิอาระเบีย ประจำกรุงลอส แองเจลิส ประเทศสหรัฐ ได้เรียกร้องขอลี้ภัยในสหรัฐ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกลงโทษ หากต้องเดินทางกลับประเทศ โดยเขาระบุว่า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลซาอุฯได้เลิกต่ออายุพาสปอร์ตทูตของเขา และให้เขาสิ้นสุดการทำงาน หลังจากพบว่าเขาเป็นเกย์ และยังเป็นเพื่อนกับผู้หญิงชาวยิว

"ชีวิตของผมตกอยู่ในห้วงอันตรายใหญ่หลวงหากผมกลับซาอุดิอาระเบีย พวกเขาจะฆ่าผมอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ"นายอาลีเปิดเผยในจดหมายอีเมล์ที่ส่ง ให้แก่สถานีโทรทัศน์"เอ็นบีซี"ของสหรัฐ

นอกจากนี้ ทูตซาอุฯผู้นี้ ยังได้วิจารณ์ประเทศของเขาว่าล้าหลัง รวมทั้งวิจารณ์บทบาทของอิหม่ามหัวรุนแรงที่ทำลายหลักขันติธรรมของศาสนาอิส ลาม พร้อมกันนี้ เขายังขู่จะแฉข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐ ด้วย

ทั้งนี้ นายอาลี นับเป็นทูตซาอุฯรายล่าสุดที่ขอลี้ภัยในสหรัฐ โดยรายก่อนหน้านี้ คือ นายโมฮัมเหม็ด อัล ไคเลวี ตัวแทนซาอุฯประจำสหประชาชาติ ซึ่งได้วิจารณ์ประวัติสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลซาอุฯอย่างเปิดเผย รวมทั้งกล่าวว่าประเทศของเขาสนับสนุนการก่อการร้ายด้วย

วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 14:50:32 น. มติชนออนไลน์

ความรู้ที่ท่านอาจจะยังไม่รู้ ว. วชิรเมธี

ภาษิต คติพจน์ของอังกฤษ(3)

*

Still water runs deep.
น้ำนิ่งไหลลึก
*

Death and tax are inevitable.
ความตายเป็นภาษีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
*

Let a thief to eatch a thief.
จงใช้โจรให้จับโจร
*

A penny saved is a penny earned.
ประหยัดได้หนึ่งเพนนี เท่ากับหาได้หนึ่งเพนนี
*

Better an ugly face than an ugly mind.
หน้าตาน่าเกลียด ดีกว่าจิตใจโสมม
*

United we stand ; devided we die.
รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย
*

All work and no play make Jack a dull boy.
มีแต่งาน ไม่มีเล้น ทำให้เด็กโง่
*

When the candles are out , all women are fair.
ทุกนางงามสรรพ เมื่อดับเทียน
*

Charms strike the sight , but merit wins the soul.
เสน่ห์สะดุดตา แต่ความดีชนะใจ
*

No rose without a thorn.
ไม่มีกุหลาบใดปราศจากหนาม
*

Big words sedom go with good deeds.
คำโวมิใคร่จะร่วมไปกับการกระทำดี
*

He who done not go forward stays behind.
บุคคลผู้ไม่ก้าวไปข้างหน้าย่อมอยู่ข้างหลัง
*

No one is too old to learn.
ไม่มีใครแก่เกินเรียน
*

There's no place like home.
ไม่มีที่ใดเหมือนบ้าน
*

Hunger is the best sauce.
ความหิวเป็นซอสที่ดีที่สุด
*

Fine feathers make fine birds.
ขนงามทำให้นกสวย
*

A tree is known by its fruit.
ต้นไม้รู้จักโตได้ ด้วยลูกของมัน
*

It's a poor mouse that has only one hole.
หนูที่น่าสงสารเท่านั้น ที่มีรูเพียงรูเดียว
*

Enough is better that too mush.
พอดี ดีกว่า มากเกินไป
*

The more one has , the more one wants.
ยิ่งมีมากเท่าใด ยิ่งต้องการมากเท่านั้น
*

All is not gold that glitters.
มิใช่ทองอย่างเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงวูบวาบ
*

An old dog does not bark for nothing.
หมาแก่ไม่เห่าก็ไร้ประโยชน์
*

New brooms sweep clean.
ไม้กวาดใหม่ กวาดสะอาด
*

Everything must have a beginning.
ทุกสิ่งย่อมมีการเริ่มต้น
*

Great things have small beginning.
สิ่งใหญ่นั้น ย่อมมาจากการเริ่มต้นที่ดี
*

Much talk , little work.
พูดมาก ทำงานได้น้อย
*

Cap in hand never did any harm.
ความสุภาพอ่อนน้อม ไม่เคยทำให้เสียหายอะไรเลย
*

No smoke without fire.
ไม่มีควัน โดยปราศจากไฟ
*

Speak is silver , silent is good.
พูดเป็นเงิน เงียบเป็นทอง
*

Good name is bettter that riches.
มีชื่อเสียงดี ดีกว่ามีทรัพย์

ภาษิต คติพจน์ของอังกฤษ(2)

*

A fool and his money are soon parted.
คนโง่และเงินอยู่รวมกันไม่ได้นาน
*

Good to forgive ; best to forget.
การอภัยนั้นดี แต่ลืมเสียนั้นดีที่สุด
*

Forgive others often , but yourself never.
จงให้อภัยคนอื่นเสมอ แต่อย่าให้อภัยตนเอง
*

A friend in need is a friend indeed.
มิตรในยามต้องการคือมิตรแท้
*

God helps those who help themselves.
พระเจ้าช่วยคนที่ช่วยตนเอง
*

The fox changes his skin but not his habits.
สนัขจิ้งจอกเปลี่ยนสีได้ แต่เปลี่ยนนิสัยไม่ได้
*

Everyone speaks of happiness , but few know it.
ใครๆก็พูดถึงความสุข แต่น้อยคนที่รู้ว่าความสุขคืออะไร
*

Two heads are better than one.
สองหัวดีกว่าหัวเดียว
*

Honesty is the best policy.
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นแนวทางที่ดีที่สุด
*

Hope is the poor man bread.
ความหวังคือขนมปังของคนจน
*

Lost time is never found again.
เวลาที่เสียไปย่อมหาไม่ได้อีก
*

One cannot know everything.
คนเราจะรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างหาได้ไม่
*

Like mother , like daughter.
ดูนางให้ดูแม่
*

The lion is not so fierce as they paint him.
สิ่งโตย่อมไม่ดุร้าย ดังที่คนป้ายสีให้มัน
*

Our first and last love is self-love.
ความรักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายคือรักตนเอง
*

Behind bad luck comes good luck.
โชคดีย่อมตามหลังโชคร้าย
*

The nearer the bone the sweeter the meat.
ยิ่งใกล้กระดูกเนื้อยิ่งหวาน
*

Money is a good servant , but a bad master.
เงินเป็นผู้รับใช้ที่ดี แต่เป็นนายที่เลว
*

When money spaeks the truth is silent.
เมื่อเงินพูด ความจริงก็เงียบ
*

Music is the universal language of mankind.
ดนตรีคือภาษาสากล ของมนุษยชาติ
*

Newspaper are the wood mirror.
หนังสือพิมพ์เป็นกระจกเงาของโลก
*

No man can be a patriot on an emty stomach.
ไม่มีใครเป็นผู้รักชาติได้ ในยามที่ท้องว่าง
*

The will of the people is the best law.
ความต้องการของประชาชนเป็นกฎหมายที่ดีที่สุด
*

The pen is mightier than the sword.
ปากกามีอำนาจมากกว่าดาบ
*

He who loves pleasure shall be a poor man.
ผู้ที่รักความสำราญ จะต้องเป็นคนยากจน
*

It is better to be safe than sorry.
ปลอดภัยย่อมดีกว่าเสียใจ
*

God hates those who praise themselves.
พระเจ้าทรงเกลียดชังคนที่ยกย่องตนเอง
*

Prevention is better than cure.
กันดีกว่าแก้

ปรัชญาสากล ว่าด้วย "สังคม-การเมือง" (4)

หน้า 1 - 2 - 3 - 4

คนที่มักจะชนะเสมอเวลาโต้เถียง หาเพื่อนยาก
วิลเลี่ยม เฟียตเธอร์

สัญชาตญาณที่ดีไม่ต้องการการโต้เถียง มันจะหาคำตอบได้เอง
วอเรนนากิวส์

ศิลปะ คือสิ่งที่มนุษย์เอามาบวกเพิ่มขึ้น ให้แก่ธรรมชาติ
ฟรังซิส เบคอน

กิจการของโสเภณี คือศิลปะแขนงหนึ่งด้วย
ชาร์ลส์ เบาดูแลร์

ศิลปะ คือการประหยัดความรู้สึก มันเป็นอารมณ์ที่ถูกตกแต่งมาแล้วเป็นอย่างดี
เฮอร์เบิร์ต รีด

ที่ยากที่สุด คือการเป็นนักการเมืองที่ดี พร้อมๆกับเป็นนักบุญ
ฟรังซิส เบคอน

ศิลปะทุกอย่าง คือการกบฎต่อโชคชะตาของมนุษย์
อันเดร มอลรุกซ์

เซ็นต์ปอลพูดว่า ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นอิสระ
พระคัมภีร์ใหม่

ถึงปากจะพูดว่าเป็นอิสระ แต่ถ้าผู้พูดลากโซ่ตรวนออกมา พะรุงพะรัง
จะเป็นอิสระได้อย่างไรกัน
ยอร์จ เฮอร์เบิร์ต

อิสรภาพ คือสิทธิที่จะดำเนินชีวิตได้ตามใจปรารถนา
เอพิคเตตุส

มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นอิสระ แม้ขณะเกิดมา มารดาจะถูกล่ามโซ่ตรวนอยู่ก็ตาม
ชิลเลอร์

คนที่มีจิตใจซื่อสัตย์ จะเป็นผู้ที่มีอิสระมากที่สุด
จอห์น ฟอร์ด

ผู้ที่สูญเสียอิสระภาพ คือผู้ที่สูญเสียทุกอย่าง
จอห์น ลิดเกท

ผู้ที่ต้องการอิสระภาพ ต้องปลูกอิสระภาพ คือผู้ต้องการับ ต้องเป็นผู้ให้ก่อน
โทมัส เพน


อิสระภาพหลัก 4 อย่างของโลก คือ
อิสระภาพจากการพูดและแสดงความคิดเห็น
อิสระภาพจากการนับถือศาสนา
อิสระภาพในการมีปัจจัย4 ดำรงค์ชีวิตไม่ฝืดเคือง
อิสระภาพที่จะไม่ถูกข่มขู่ ให้ตกอยู่ในความหวาดกลัว
แฟรงกลิน รูสเวลต์

ถ้าเพื่อนมนุษย์ในสังคมยังไม่ได้รับอิสระภาพ พวกเราทุกคนต้องรับผิดชอบ
ลิเลียน เฮลแมน

มนุษย์เป็นอิสระ ถ้าจิตใจอยากเป็นอิสระ
วอลแตร์

อิสระภาพ เป็นเกียรติสูงสุดของมนุษย์
จอห์น บาร์เบอร์

ที่ใดมีพระเจ้า ที่นั่นมีอิสระภาพ
พระคัมภีร์ใหม่

ภาษิต คติพจน์ของอังกฤษ(1)

*

Self-conquest is the greats of victory.
การชนะใจตนเอง คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
*

So much to do ,so little done.
งานยิ่งทำมากเท่าใด ก็ยิ่งเสร็จน้อยเท่านั้น
*

Heaven ne'er helps the men who will not act.
สวรรค์ไม่เคยช่วยบุคคลผู้ซึ่งไม่ทำงาน
*

Never give advice unless asked.
อย่าให้คำแนะนำจนกว่าจะถูกขอร้อง
*

Nevre give advice in a crowd
อย่าให้คำแนะนำท่ามกลางฝูงชน
*

Grey hair is a of age, not of wisdom.
ผมหงอกเป็นสัญญาลักษณ์ของอายุ ไม่ใช่ปัญญา
*

Well begun is half done.
เริ่มต้นดีเหมือนงานนั้นเสร็จไปครึ่งหนึ่ง
*

A bird in the hand is worth two in the bush.
นกตัวเดียวในมือมีค่าเท่ากับนกสองตัวในพุ่มไม้
*

Birds of a faether will flock together.
นกที่มีขนอย่างเดียวกัน ย่อมจะอยู่รวมกัน
*

Blood is thicker than water.
เลือดข้นกว่าน้ำ
*

Better is half a loaf than no bread.
ขมนปังครึ่งก้อนดีกว่าไม่มีเลย
*

While I breathe , I hope.
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ฉันก็ยังมีหวัง
*

When tha cat's away the mice will play.
เมื่อแมวไม่อยู่หนูก็ยังคนอง
*

Spare the rod and spoil the child.
ทิ้งไม้เรียวจะทำให้เด็กเสีย
*

It is a wise father that know his own child.
พ่อที่ฉลาดเท่านั้นจึงจะรู้จักบุตรของตนดี
*

The less men think, the more they talk.
คนที่คิดน้อยมักพูดมาก
*

A bad officer is more danggerous than hundred bandits.
เจ้าหน้าที่ชั่วคนเดียว เป็นอันตรายมากกว่าโจร 100 คน
*

Disappointment is the nurse of wisdom.
ความผิดหวังเป็นสิ่งค้ำชูสติปัญญา
*

No one can disgrace us but ourselves.
ไม่มีใครทำให้เราเสียเกียรติได้ นอกจากตัวเอง
*

Do good , receive good ; Do evil, receive evil.
ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
*

Early to bed and early to rise.
นอนหัวค่ำตื่นแต่เช้า
*

Makes a man healthy , weathy and wise.
สุขภาพดี มีทรัพย์ และฉลาด
*

Thou shouldst eat to live ; not live to eat.
ควรกินเพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน
*

Man is his own worst enemy.
ตนเองนั่นแหละเป็นศัตรูที่สำคัญที่สุด ของตนเอง
*

All is fair in love and war.
ทุกสิ่งย่อมยุติในความรักและสงคราม

ปรัชญาสากล ว่าด้วย "สังคม-การเมือง" (3)

หน้า 1 - 2 - 3 - 4

การไม่มีศาสนาไม่ใช่ของใหม่ แต่วัฒนธรรมของการไม่มีศาสนา เป็นของใหม่
แอนเดร มอลรุกซ์

เมื่อคนอายุมากขึ้น การพิจารณาเรื่องราวต่างๆก็รอบคอบขึ้นเพราะประสบการณ์สอนให้คนระมัดระวัง
แซมมวล จอห์นสัน

สิ่งที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวง คือการพยายามเห็นด้วย มากกว่าที่ท่านสามารถจะเห็นด้วย
วอลเตอร์ เบนเกฮอด

คนที่ไม่เห็นด้วยเสมอๆ เท่ากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
คิน ฮับบาร์ด

การชอบระบบผสมปนเปกันไปหมด เป็นอันตรายต่อศิลปะ และปรัชญา
จอร์จ สันตะยาน่า

คนที่ให้ท่านหนึ่งเหรียญในขณะที่ยังมีชีวิต ดีกว่าคนที่ให้ท่านร้อยเหรียญ
ในขณะที่กำลังจะตาย
พระนะบีโมฮัมหมัด.

ผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในโลก คือผู้ที่ยืนอยู่คนเดียวในโลก
เฮ็นริด อิบเซ็น

ความทะเยอทะยาน คือที่พึ่งสุดท้ายของคนผิดหวัง
ออสคาร์ ไวล์ด

คนบางคนที่ไม่อยากแสดงความสนุกสนานร่าเริง เพราะอยากจะอวดตัวว่าเป็นคนขยัน
วอลเตอร์ บากีฮอด

วิชาสืบสายวิทยา เป็นวิชาศึกษาบรรพบุรุษชาติพันธุ์ของมนุษย์ แต่นักวิชาการมักจะไม่นิยมศึกษาบรรพบุรุษของตนเอง
แฮมโบรส เบียร์ส

จินตนาการดูว่า ดวงอาทิตย์จ้า ท้องฟ้าสีคราม พื้นดินสีเขียวของเหล่านี้จากสองพันปี ก็เหมือนปัจจุบัน
น่าตลกไหมที่มนุษย์ตายไปมากแล้ว...วัตถุยังคงอยู่
วิลเลี่ยม ฮาซลิตต์

มนุษย์ไม่ใช่เทวดา และไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน โชคร้ายคือ คนที่ควรจะประพฤติตัวแบบเทวดากลับประพฤติตัวแบบสัตว์เดรัจฉาน
ปาสกาล

ชายคนหนึ่งถามศาสดาว่า "จงให้คำสอนแก่ข้าเถิด" ศาสดากล่าวว่า "จงอย่าโกรธ" ชายคนนั้นกล่าวซ้ำด้วยคำถามเดิมซ้ำอีกหลายครั้งและศาสดาก็ตอบซ้ำว่า "จงอย่าโกรธ"
ศาสดาของศาสนาอิสลาม

บางคนอยากเป็นสัตว์ เพราะอ้างว่าไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องร้องครางเพราะฐานะทางสังคม ไม่ต้องร้องไห้ในความมืดเพราะบาป ไม่ต้องถกปัญหาเรื่องหน้าที่ของตนต่อพระเจ้า
วอลต์ วิทแมน


เราเชื่อในทางวิทยาศาสตร์ ว่ามนุษย์มาจากสัตว์เดรัจฉาน แต่เราไม่ยอมรับว่าสัตว์เป็นลูกหลานของเรา
คริสเตียน มอร์เกนสเดิร์น

ไม่มีอะไรในชีวิตน่าประทับใจกว่า ความกระตือรือร้นที่ไม่จำเป็นซึ่งเราแสวงหาอยู่เสมอด้วยตัวเอง
เบนจามิน ดิสราเอลลี่


คติพจน์ หรือภาษิต มักจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ไม่ขาดก็เกิน
คาร์ลส์ เคราซ์

บางครั้ง การขออภัย เป็นเรื่องหยาบช้า
แอมโบร์ซ เบียร์ส

คนโง่เท่านั้นที่ไม่ตัดสินคนด้วยกิริยาและรูปร่าง
ออสคาร์ ไวลด์

ปรัชญาสากล ว่าด้วย "สังคม-การเมือง" (2)

หน้า 1 - 2 - 3 - 4

ผู้ที่หยิ่งยะโส จะทำงานไม่สำเร็จ ผู้ที่โลภ จะทำงานพลาด
เล่าจื้อ

คนเก่ง คือทำก่อนพูด และเมื่อทำสำเร็จแล้วก็พูดอธิบาย ในสิ่งที่ตนได้ทำอย่างสุภาพและถ่อมตน
ขงจื้อ

การทำงานทำให้เกิดโชค มากกว่าการระวังตัวมากเกินไป
วอร์เว็นนาร์กส์

เวลาในโลกนี้น้อยเกินไป ไม่พอที่จะให้คนคิดรอบคอบทุกครั้งก่อนทำ
วอร์เว็นนาร์กส์

คนที่คิดมากเกินไป ไม่ต้องทำอะไรเลย
ออสคาร์ ไวลด์

การงานที่สำเร็จ มันจะปิดรายการของมันเอง
อีริค ฮอฟเฟอร์

มนุษย์เรามักไม่ดีพอดี พอเวลาพักผ่อนก็พักมากไป จนเหมือนน้ำที่ขังจนเน่าเวลาเคลื่อนไหวก็เคลื่อนไปเหมือนคนบ้าคลั่ง
อีฟิคิวรัส

กิจกรรมคือ ถนนไปสู่ความรู้
เบอร์นาร์ด ชอว์

ชายคนแรกของโลกโชคดีที่สุด เพราะเมื่อเขาพูดว่าดีจริงมันก็ดีจริงๆ ชนิดที่ไม่เคยมีใครกล่าวมาก่อน
มาร์ก ทะเวน

ความสมบูรณ์ คือความสามารถที่จะปรับปรุงตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี
ซอมเมอร์เซ็ท มอห์ม

คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดในโลก คือคนที่ดีใจเมื่อไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากใคร
เฮ็นรี่ เดวิด ทะโร

เมื่อโชคชะตาเล่นตลก คนฉลาดจะต่อสู้เพื่อความสุขโดยพร้อมจะแล่นใบชีวิตโต้กับคลื่นอุปสรรค์อย่างทรนง
รุสโซ

คำแนะนำโดยที่ไม่ได้เรียกร้อง คือการละเมิดสิทธิเฉพาะตน
เฮ็นรี่ ฮาสกิน

คำแนะนำ คือการสารภาพบาปของผู้นำ
อังเดร เมารัว

ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับตำแหน่งทางการเมือง ด้วยมือข้าพเจ้าแต่จะไม่รับเข้าไปไว้ใน ตับ หรือปอด มันเกินไป
มอนเตน

ข้าพเจ้าชอบกินแอปเปิล แต่ไม้ได้หมายความว่า แอปเปิลจะเป็นผลไม้ที่ดีที่สุด
จอห์น เชิลเดน

คนที่มัวแต่กลัวว่าผู้อื่นจะหลอก ไม่มีทางที่จะเป็นคนใจกว้างได้
เจน ออสเตน

ผู้ที่โฆษณาตัวเอง จะไม่มีใครเชื่อ ผู้ที่ไม่แสวงหาความรู้ ความรู้ก็จะลดน้อยลง ผู้ที่เอาความรู้ไปให้คนเห็นแก่ตัว เท่ากับว่าฆ่าตัวตาย
ทัลมุด

คำแนะนำมีมากมายเหมือนยาที่ล้นตลาด มีแต่คนขาย หาคนซื้อยาก
โจซบิลลิ่ง

ปรัชญาสากล ว่าด้วย "สังคม-การเมือง" (1)

หน้า 1 - 2 - 3 - 4

ความรวยรับใช้คนฉลาด แต่ความรวยนั้นเองที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาของคนโง่
เปียร ชารอน

ความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว ไม่ทำให้ใครเป็นสุขได้หรอก
โทมัส ฟุลเลอร์

ถ้าอยากเป็นคนรวยก็ออกไปดูขอทานอนาถาที่หน้าบ้านสิแล้วจะรู้ว่าท่านร่ำรวยเพียงใด
ฮาร์รี่ คิลเลอร์

คนร่ำรวย คือคนที่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่
บาบิโลเนี่ยน-ทัลมุด

การเป็นคนร่ำรวย ไม่ได้เป็นจุดจบของความทุกข์ยาก แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงความกังวลใจอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
อีปิคคิวร์ส

ความบ้าคลั่งที่แท้จริง คือมีชีวิตอยู่อย่างยากจนแสนเข็ญ และตายในขณะที่กำลังร่ำรวย
โรเบิร์ต เบอร์ตัน

ตำรวจคือทหารที่ทำงานคนเดียวทหารคือตำรวจที่ทำงานเป็นกองร้อย
เฮอร์เบิร์ต สะเปนเซอร์

ตำรวจ เป็นเหมือนแขกยามที่เบ่ง และขี้เกียจ
เท็นนีซัน

พรรคการเมือง คือการรวมความคิด
เบนจามิน ดิสราเอลลี่

ข้าพเจ้าเชื่อว่า ถ้าไม่มีพรรคการเมือง ประชาธิปไตยก็ไปไม่รอด
เบนจามิน ดิสราเอลลี่

อย่าตกแต่งที่ดินของคนรวยด้วยหยาดเหงื่อ บนคิ้วของคนยากจน
จอห์น ครินซี่ อะดัมส์

รัฐบาลที่ไม่กล้าปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้น คือพวกหน้าไหว้หลังหลอก
เบนจามิน ดิสราเอลลี่

คนหัวก้าวหน้าไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวไปข้างหน้าตลอดเวลาแต่ต้องรู้ว่าจะเคลื่อนไปทางไหนดี
วู้ดโรว์ วินสัน

ม้ามืดที่อยู่แต่ในคอกไม่มีความหมาย ถึงเก่งไม่ลงมือทำก็ไม่มีว้นจะสำเร็จ
แท็ดเดอรีย์


ธรรมชาติของมนุษย์ ต้องคิดแบบฉลาด แต่ชอบทำอะไรบ้าๆตามแฟชั่นทางการเมืองและสังคม
อะนาโนเลฟรังเซ่

ทำไมทุกสิ่งในโลกจึงพิลึกกึกกือ ทั้งของไร้ประโยชน์ และต้องข้ามไปซึ่งพวกเขาและพวกเราก็วิ่งหาของบ้าๆบอๆ ไปด้วยกันจนกว่าจะตาย นั่นแหละมนุษย์
ยอร์ช สันตะยานา

ความสำเร็จในโลกไม่ใช่อุบัติเหตุ ต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยความตั้งใจจริง
ลาโรเซ่ ฟูคอล์ด

การตายของความพยายาม คือการของความเบื่อหน่าย นั่นแหละ คำจำกัดความของคำว่าท้อแท้
แอมโบรส เบียร์ส

ความคุ้นเคย ทำให้เพิ่มความเป็นมิตร
แฟรงค์ สวินเนอร์ตัน

ปรัชญาสากล ว่าด้วย."ความจริง"(2)

ความจริงไม่ต้องระบายสีใดๆ ความจริงมีรายละเอียดน้อยกว่าความเท็จ

เจมส์ แม็บเบ้

ความจริงอยู่ที่ไหน ก็มีคุณสมบัติเดียวกัน เหมือนกันหมด

โรเบิร์ต ฮัชชิ่ง

ไม่มีอะไรจริงกว่า ความจริง

จอห์น ลีลี่

เวลามีค่า แต่ความจริงมีค่ากว่า

ดิสราเอลลี่

คนโง่มักชอบพูดในแบบลักษณะทีท่าอวดตัวว่าฉลาด

มอนเตนล่อน

คนโง่บางคนสามารถให้คำแนะนำ คนฉลาดได้ดี

จอห์น เวย์

คนโง่จะประดิษฐ์แฟชั่น ให้คนฉลาดเดินตาม

โทมัส ฟุลเลอร์

คนโง่ที่ไม่รู้ภาษาลาติน ยังไม่โง่มากนัก

อาชี เทร็นช

คนโง่ คือคนที่โชคดี

บาร์นาบี้ กูล

ทุกคนเคยโง่มาแล้วทั้งนั้น

อัลเฟลด เฮ็นเดอร์สัน

ถ้าท่านเล่นกับคนโง่อยู่ที่บ้าน เขาก็จะเล่นกับท่านที่ตลาด

ยอร์ เฮอรเบิร์ต


คนฉลาด คือคนที่ศึกษาบางอย่างจากคนทุกคนที่เขาได้พบ

ทาลมัด


ความฉลาด คือต้นไม้ที่งอกในหัวใจ และแผ่กิ่งก้านขึ้นบนลิ้น

เฟรดเดอริด ไดเอช

ก่อนอื่นความฉลาด จะสั่งสอนความถูกต้อง

จูวีนาล


ความฉลาด เกี่ยวข้องกับวิญญาณ เหมือนสุขภาพ เกี่ยวข้องกับร่างกาย

ลา โร เซ่

ความฉลาด คือความดีอันสมบรูณ์ในจิตใจมนุษย์

เช เน ก้า

หลักใหญ่ของความฉลาด คือ ต้องสามารถแยกระหว่างความชั่วกับความดี

มอนเต


ความฉลาด คือ ส่วนสำคัญของควาสุข

โซ โฟ เคลส

คนฉลาดรู้ว่าต้องการอะไร แต่คนรวยไม่รู้

อะริสติปปุส

ปรัชญาสากล ว่าด้วย."ความจริง"(1)

ความจริงแท้ มักไม่มีคนเห็น

เชโนฟาเนส

ไม่มีคนเห็นความจริงทั้งหมด เห็นได้เพียงบางส่วน

เฮ็นรี่ บีชเชอร์

ความจริงอาจจะถูกติเตียน แต่ไม่เคยถูกทำให้น่าละอาย

โทมัส เฮอร์แมน

ความจริงอย่างเดียวกัน แต่คนฉลาดเรียกหลายชื่อแตกต่างกันออกไป

ริกเวด้า

ความจริงแท้ มักไม่ค่อยรื่นเริงนัก

เจมส์ ฮูเนเกอร์

ความเท็จ ต้องมีเสื้อคลุม แต่ความจริงเปลือยเปล่า

โทมัส ฟุลเลอร์

ในที่สุดแล้ว ความจริงก็เป็นผู้ชนะ

จอห์น ไวคลิฟ

ความจริงอยู่เหนือความเท็จ เหมือนน้ำมันอยู่เหนือน้ำ

เชอร์วันเดส

คนที่พูดความจริงตาย แต่ความจริงไม่เคยตาย

โจเซฟเกอร์ลด์

ไม่มีอะไรอยู่ได้นานเท่าความจริง

วอ เว็น นาร์กส์

ความจริงเป็นสิ่งมีเกียรติ และมีคุณภาพถาวร

พลาโต้


คนต้องตาย สมัยของคนต้องผ่านไป แต่ความจริงอยู่เสมอ

โจซาห์ ควินซี


ความจริงแปลกกว่านิยายมากนัก

ออกุสดุส เจสชอป

จากความจริง เรามักไม่รู้อะไร เพราะความจริงมักจะอยู่ลึกๆ

เดโมคริตุส


ความจริงไม่เคยแก่เฒ่า หมุ่นแน่นอยู่เสมอ

โทมัส ฟุลเลอร์

ความจริงทำให้เกิดแสงสว่างแก่โลก

เช็คสเปียร์

จงซื้อความจริง แต่อย่าขายมันไป

พระคัมภีร์เก่า


ต้องให้เสรีภาพแก่ลิ้น เมื่อท่านถามความจริง

พับลิเลียส

วิธีการพูดให้คนรู้สึกตลกของข้าพเจ้า คือการพูดความจริง

เบอร์นาร์ด ชอร์

คำคมขงเบ้ง


ศาลเจ้าจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) ที่มณฑลเสฉวน
จูกัดเหลียง (อังกฤษ: Zhuge Liang; จีนตัวเต็ม: 諸葛亮; จีนตัวย่อ: 诸葛亮; พินอิน: Zhūge Liàng) หรือ ขงเบ้ง
ที่มาภาพ: th.wikipedia.org

  • เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต
  • ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว
  • อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม
  • อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
  • ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
  • เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
  • นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
  • ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
  • จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3
  • ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
  • มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ
  • คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว
  • ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี
  • ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
  • เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ
  • ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น
  • เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต
  • ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
  • เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
  • การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
  • ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
  • อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
  • เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร
  • เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
  • คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
  • ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
  • อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
  • ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี
  • ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ
  • ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า
  • เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้
  • คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม
  • ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
  • ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน
  • ความรู้ คือ อำนาจ
  • นั่งภูดูเสือ กัดกัน
  • เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท
  • ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้
  • ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
  • น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น
  • ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่


บทความที่เกี่ยวข้อง:



.

โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้

โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (atopic dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ไม่ใช่โรคติดต่อ มักเริ่มพบในวัยเด็ก โดยพบประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวได้ถึงร้อยละ 70 เช่น ประวัติว่าพ่อแม่เป็นหืดหอบ ลมพิษ หรือน้ำมูกไหลเพราะแพ้อากาศ โรคนี้แบ่งลักษณะตามช่วงอายุได้เป็น 3 ช่วง

ช่วงวัยทารก
เริ่มมีอาการคันและผื่นขึ้นตั้งแต่อายุประมาณ 6-8 สัปดาห์ อาการคันอาจเป็นมากจนเด็กอายุถึง 2 ขวบ พบเป็นผื่นที่แก้มทั้ง 2 ข้าง หรือตามด้านนอกของแขน ขา ลำตัว ผื่นคันอาจเห่อขึ้นเมื่อเด็กฉีดวัคซีน เมื่อเด็กมีอาการผื่นคันอยู่แล้วจึงต้องระมัดระวังในการฉีดวัคซีน หรือควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน

ช่วงวัยเด็ก
ผื่นผิวหนังในช่วงวัยเด็กมักเป็นตามข้อแขนข้อพับและขา ผื่นจะแดง คลำดูได้หนากว่าปกติ อาการคันอาจเป็นรุนแรงมาก จึงทำให้เด็กหงุดหงิดรำคาญ

ช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่
พบ ว่าโรคผิวหนังภูมิแพ้ในวัยทารกและวัยเด็กอาจหายไปเองใน 2-3 ปี แต่กลับมากำเริบอีกครั้งในวัยรุ่น อาจมีอาการคันอย่างมาก อาการคันมักกำเริบตอนกลางคืน ผื่นคันมักเป็นตามข้อพับ แขน ขา ใบหน้า หัวไหล่ และด้านบน


แนวทางการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังภูมิแพ้

o ไม่ควรใช้สบู่มากเพราะผิวหนังในโรคนี้แห้งมากอยู่แล้ว ถ้าจะใช้ให้ใช้สบู่อ่อนหรือสบู่ที่มีไขมันสูง ชำระล้างบริเวณที่สกปรกเท่านั้น ไม่ควรขัดฟอกแรงๆ ไม่ควรนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ ใช้ขันตักอาบหรืออาบน้ำฝักบัวจะดีกว่า ไม่ควรอาบน้ำร้อนจัด การเช็ดตัวให้ใช้วิธีซับ ไม่ควรเช็ดหรือถูแรงๆ ไม่ควรใส่เสื้อผ้าขนสัตว์ที่หนา ควรใส่เสื้อผ้าฝ้ายทอโปร่งๆ ให้พยายามระงับสติอารมณ์ไว้ อย่าเครียดอย่าเกาบริเวณที่คัน ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น สุนัขและแมว ไม่มีสุนัขพันธุ์ใดที่ไม่กระตุ้นโรคภูมิแพ้
ความเข้าใจที่ว่าโรคภูมิ แพ้เกิดจากขนสุนัขนั้นผิด ที่จริงสารก่อภูมิแพ้ในสุนัขนั้นคือโปรตีนที่อยู่ในเศษขี้ไคล น้ำลาย และฉี่ ซึ่งสุนัขทุกตัวมีโปรตีนเหล่านี้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัขจริงๆ อาจต้องปรึกษาแพทย์ และไม่ควรให้สุนัขเข้าห้องนอน ควรอาบน้ำให้สุนัขทุกสัปดาห์ ไม่ควรใช้พรมปูพื้นเพราะทำความสะอาดยาก

o เก็บตุ๊กตายัดนุ่นและตุ๊กตาที่มีขนปุยออกไปให้หมด รวมถึงหมอนที่ยัดด้วยขนนก ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นละออง สารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันไอเสีย สเปรย์ น้ำมัน เพราะสารเหล่านี้กระตุ้นให้ผื่นผิวหนังกำเริบได้

o ระวังไม่ให้เป็นหวัดหรือโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เพราะการอักเสบติดเชื้อเหล่านี้ทำให้ความต้านทานของผิวหนังต่ำลงและผิวหนัง อักเสบกำเริบง่ายขึ้น พยายามไม่เข้าใกล้คนที่เป็นเริม เพราะผู้ป่วยที่มีผิวหนังอักเสบจากโรคผิวหนังภูมิแพ้อยู่แล้วอาจได้รับเชื้อไวรัสเริม และเกิดการติดเชื้อเริมลุกลามได้มาผิดปกติ

o พยายามควบคุมและระงับสติอารมณ์ไว้ อย่ามีความเครียดมากเกินไป พบได้บ่อยว่าผื่นผิวหนังกำเริบเมื่อผู้ป่วยเครียด พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กก็ต้องไม่เครียดและวุ่นวายมากเกินควร พยายามอย่าเกาบริเวณที่คัน เพราะการเกาผิวหนังทำให้ผิวหนังถลอก และเกิดการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียตามมาได้

o ผู้ป่วยโรคนี้และผู้ปกครองต้องเข้าใจว่าแม้ว่าโรคนี้จะก่อให้เกิดความน่ารำคาญเพียงใดก็ตาม โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต จึงควรยอมรับสภาพความเป็นจริงที่จะมีชีวิตอยู่กับโรคนี้ให้ได้ พยายามมองในแง่ดีว่าโรคนี้ในที่สุดมักจะดีขึ้นเมื่อมีอายุสูงขึ้น

o ถ้าอาการคันและผื่นผิวหนังอักเสบกำเริบมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังซึ่งอาจให้ยาบางชนิดมากินและทาเพื่อลดอาการคัน ทำให้เกาน้อยลง ผื่นผิวหนังอักเสบจะดีขึ้น

doctor.or.th