แวบแรกที่เห็นนามสกุล "อัศวโภคิน" นึกว่าเธอคนนี้คงเดินตามรอยบิดา "อนันต์ อัศวโภคิน" แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 7 ปีซ้อน เข้าไปรับไม้ต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ (บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) ที่มีรายได้รวมเมื่อปีที่แล้วเกือบสองหมื่นล้านบาท
เธอคนนี้ชื่อ "อลิสา อัศวโภคิน" หรือคุณแตง ลูกสาวคนกลางของมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของไทย ผู้ขอลิขิตชีวิต
ตัวเองด้วยความสุข !
ความสุขในการ เลือกทางเดินที่พ่อไม่เคยตีกรอบให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวเช่นเธอ
"คุณพ่อไม่เคยตีกรอบให้เลยค่ะ (หัวเราะ) คุณพ่อจะสอนให้เราเลือกเอง คุณพ่อเคยบอกว่า ถ้าให้ท่านตัดสินใจแล้ว ถ้าเราเกิดไม่ชอบ ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ท่านจึงบอกเสมอว่า...สุดท้ายแล้ว ทุกการตัดสินใจของเรา ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง..."
คุณแตงจึงเป็นสาวที่มีความมั่นใจและเคารพในการตัดสินใจของตัวเอง
"ทุกคนจะถามแตงเสมอว่า ทำไมถึงมาทำธุรกิจของตัวเอง ไม่ไปช่วยธุรกิจคุณพ่อ (ยิ้ม) ตรงนี้แตงคิดว่า สิ่งแรกที่สำคัญ คือต้องดูว่าตัวเราชอบอะไร ถ้าชอบแล้ว เรารู้เยอะแค่ไหน
เราทำได้ดีแค่ไหน อย่างงานด้านอสังหาริมทรัพย์นี่ เราไม่เชี่ยวชาญ จึงคิดว่าน่าจะให้คนอื่นเขาทำดีกว่า ส่วนเราก็มาทำอะไรที่ตัวเองชอบ !"
คุณแตงบอกว่า นี่คือหลักการทำงานของคุณพ่อที่สอนเธอไว้
"หลักในการทำงานของคุณพ่อ คือทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำงานนะ คุณพ่อมีความสุขกับการทำงาน ซึ่งถ้าให้แตงไปทำอย่างคุณพ่อ ไปขายบ้าน คงไม่ใช่ คุณพ่อเคยบอกว่า ถ้าจะทำอะไรแล้วทำได้ดี มีความสุข ทุกอย่างก็จะดีเอง ก็คงเหมือนกับสิ่งที่คุณพ่อและแตงทำอยู่ตอนนี้ค่ะ (หัวเราะ)"
สิ่งที่คุณแตงทำคือธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพที่เติมเต็มความสุขให้เธออย่างเหลือ เฟืออย่างโยคะ สตูดิโอ "ลัลลาบาย" ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน ณ ตึกซีอาร์ซี ออลซีซั่นเพลส ถนนวิทยุ ซึ่งก่อนหน้า ลัลลาบายของเธอเคยเป็นที่รู้จักในฐานะสปามีชื่อ ที่ตั้งอยู่ไลฟ์เซ็นเตอร์
"คุณพ่อเป็นคนบอกว่า ดี ๆ ๆ เปิดเลย (หัวเราะ) คุณพ่ออยากให้ลูกมีความสุขค่ะ ชีวิตคนเรา บังคับกันไม่ได้ เหมือนกับตอนเรียน แตงจะปรึกษาคุณพ่อตลอด แต่ท่านก็ให้เราเลือกเอง ซึ่งแตงไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่ตอน ม.1 ทำให้มีอิสระในความคิด มีอิสระในการเลือกวิชาเรียน อิสระในการทำงาน"
...อย่างธุรกิจที่ทำ สปา ทำเพราะแตงชอบนวดมาตั้งแต่อายุ 15 แล้ว รู้หมดว่าคนไหนนวดดี หรือไม่ดี ก็เลยตัดสินใจเปิดที่ตึกคุณพ่อ หลังจากนั้น แตงก็หันมาเปิดสตูดิโอ โยคะ ที่ออลซีซั่นเพลส สาเหตุที่เปิด ก็เพราะอยากให้คนมาออกกำลังกาย อยากให้คนมาฝึกสมาธิ ในราคาไม่แพงอย่างน่าตกใจ ซึ่งแตงคิดว่า แพงไม่แพง จะดูจากลูกค้า ส่วนมาก ถ้าเกี่ยวกับเรื่องออกกำลังกาย ถ้าไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ก็สามารถจ่ายได้ ตอนเปิดใหม่ ๆ แตงให้ลูกค้ามาลองเล่นฟรีสองเดือน ลูกค้ายังแอบแซวเลยว่า จะหลอกอะไรหรือเปล่า (ยิ้ม) หรือตอนนี้ ใครมาเรียนกับเราครั้งแรกเล่นฟรีเลย แตงถือว่า ค่อนข้างแฟร์กับลูกค้านะ เนื่องจากเราไม่ได้คาดหวังที่จะให้เขาเป็นลูกค้าระยะสั้น แต่เรามองเขาเป็นลูกค้าระยะยาวของเรา ถ้าของไม่ดีจริง คุณก็ไม่ต้องมาซื้อ มั่นใจในคุณภาพค่ะ
ที่เธอมั่นใจเป็นเพราะคุณแตงสนใจเรื่องโยคะอย่างจริงจังมาตั้งแต่ตอนเรียนหนังสืออยู่ที่ นิวยอร์ก
"ตอนกำลังเรียนปริญญาโท แตงเริ่มเรียนโยคะครั้งแรก ที่ไปเรียนเพราะเราเป็นคนชอบนั่งสมาธิ นั่งแล้วดี หนึ่ง คือไม่เครียด อารมณ์ดี นั่งแล้วทำให้เรารีแลกซ์ ซึ่งแตงได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่อค่ะ ไปวัดมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนแรก นั่งแล้วเราอยากแต่จะซุกซน เราอยากจะวิ่งเล่น พอไปเล่นโยคะ ก็เห็นว่าคล้ายกับนั่งสมาธิ แต่สามารถตีลังกา ฉีกแข้งฉีกขาได้ ซึ่งโยคะต้องอาศัยสมาธิ ไม่มีสมาธิ ก็เล่นไม่ได้ ถ้ามีเวลา จะนั่งสมาธิประมาณ 15-30 นาที ในช่วงก่อนนอน หรือตื่นตอนเช้า เวลาคุยกัน ก็นั่งได้นะคะ เอาใจมาไว้ที่พุง แตงเป็นคนสมาธิสั้น ก็เลยชอบนั่งสมาธิ เพราะเป็นคนเครียดง่าย"
...บางคนเกิดมาใจเย็น แต่แตงเป็นคนขี้ตกใจ ตื่นเต้นง่าย พอทำสมาธิ ทำให้สงบสติอารมณ์ได้ ไปอยู่นิวยอร์กนี่ ทุกอย่างแข่งขันสูง นิวยอร์กก็จะวุ่นวาย ขึ้นซับเวย์ ก็ต้องแย่งกันขึ้น พอ
กลับมาเมืองไทย เห็นอะไรแล้วรู้สึกว่า ทำไมคนทำอะไรช้ามาก เราก็ค่อย ๆ ปรับ ต้องนั่งสมาธิ เพื่อให้ใจเย็นลง ตอนอยู่ที่โน่น
วันๆ เรียนเสร็จก็ไปออกกำลังกาย ถือศีล 8 นั่งสมาธิ เนื่องจากเป็นคนเครียดง่าย แล้วพอได้ไปเรียนโยคะ ก็เลยได้ทั้งสมาธิและออกกำลังกาย โยคะได้ทั้งสองอย่างค่ะ เลยชอบมาก ๆ"
ชอบจนกระทั่งเธอตัดสินใจไป เรียนหลักสูตรเป็นครูสอนโยคะคอร์สเรียนเต็มเวลา 200 ชั่วโมงกับครูฝรั่งเศส ที่ได้มาตรฐานจากโยคะอะไลแอนซ์ โดยการเรียนในแต่ละวันต้องทำกิจวัตรหลายอย่าง ทั้งตื่นนอนตีห้า สวดมนต์ นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ตามด้วยทำโยคะ 3 ชั่วโมง ช่วงบ่ายเรียนสรีรวิทยา คอร์สที่เธอเรียน แบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์แรก เรียน Anatomy สัปดาห์ที่สอง เรียนเรื่องอายุรเวท สัปดาห์ที่สาม เรียน NLP Neuro-Linguistic Program เป็นศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ในหลายมิติ เช่น การพัฒนาศักยภาพเชิงพฤติกรรม การคิดเชิงกลยุทธ์ การเข้าใจความคิด และกระบวนการรับรู้ที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรม ซึ่งแตงบอกว่า
เป็นศาสตร์ที่นำมาใช้บำบัดอาการโรคและอาการเสพติดบางอย่างได้
"แตงคิดว่า ถ้าทำอะไร ต้องทำให้มีมาตรฐาน ลูกค้าจะได้รู้ว่า เราไม่ได้มั่วนิ่ม (หัวเราะ) แตงเห็นมาเยอะค่ะ โยคะหลายแห่ง ครูสอนดี แต่สถานที่ไม่สะอาด แต่บางแห่งสถานที่สะอาดมาก แต่ครูไม่มีประสบการณ์มากพอ ของเรา สถานที่ต้องสะอาด ครูทุกคนต้องมีประสบการณ์ 10 ปีขึ้นไป และแตงก็จะมีครูจากต่างประเทศมาสอน อย่างครูแนน มาจากเทกซัส สอนไทยเทราปูติก โยคะ ที่เอาศาสตร์โยคะมาผสมกับท่านวดของไทย เหมาะกับคนออฟฟิศ หรือคนที่ต้องแบกของหนัก ๆ ตลอดเวลา เพราะพอเราเล่นโยคะ เราจะได้ยืดเส้นพวกนี้ผ่อนคลายและบำบัดโรคได้ด้วยค่ะ"
...แตงโชคดี ที่อยู่ในวงการโยคะ มีเพื่อนที่เป็นครูโยคะเยอะ เขาก็จะแนะนำกันมา พูดคุย ดูวิธีการสอน แล้วดูว่าเข้ากับที่นี่ไหม ของเราเน้นเรื่องความปลอดภัย เพราะหลาย ๆ ที่จะเคยได้ยินว่า ไปเล่นแล้วกลับบ้านปวดหลัง แต่ที่นี่ ครูเราจะเน้นเรื่องสรีระของร่างกาย การวางท่า ก็เอาตรงนี้มาเป็นจุดเด่น
แต่ขาดไม่ได้ เห็นจะเป็นสิ่งที่เธอใส่เข้าไปในธุรกิจ นั่นคือ...ใจรักมาก่อน ธุรกิจมาทีหลัง ! ซึ่งแม้ตัวเลขรายได้จึงไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดหวัง แต่ทว่าผลตอบรับกลับดีเกินคาด
"แตงอยากให้คนมาออกกำลังกาย อยากให้คนมาฝึกสมาธิ ซึ่งเท่าที่เปิดมา ผลตอบรับดีมาก จนตกใจว่าทำไมขายดีขนาดนี้ (หัวเราะ) ในแง่ของรายได้ก็ถือว่าอยู่ได้เลย แต่ยังไม่คิดขยายสาขาหรอกค่ะ แตงเป็นพวกทุกอย่างต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นเปอร์เฟ็กชั่นนิสต์นะ (ยิ้ม)"
...หลักในการทำธุรกิจของเรา คือเน้นสบายใจ ลูกค้าสบายใจ พนักงานสบายใจ และเราสบายใจค่ะ
"คุณพ่อจะสอนให้เรามีเมตตา สิ่งที่เราต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจในการทำงาน คืออดทน เข้าใจ เราต้องมีระเบียบ แต่ไม่กดดันพนักงาน ทำให้บรรยากาศสนุกสนาน ทุกคนที่จะมาอยู่กับเรา ถ้าใจไม่รัก เราก็ไม่รับ เพราะไม่มีประโยชน์ หากเขาตื่นเช้ามาทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ เราบอกพนักงานว่า ถ้ารู้สึกอย่างนั้น ให้ลาออก เราจะพูดกับเขาตรง ๆ เลยค่ะ"
ลัลลาบายโยคะของคุณแตงมี พนักงานรวมครูสอนแล้ว 10 คน แต่ถ้ารวมลัลลาบายสปาอีก ทั้งหมดก็ 20 คน ถือว่าเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่เธอพอใจ
"วิธีคิดของแตงไม่เหมือนคุณพ่อ คุณพ่ออาจจะ Think Big แต่แตง Think Small go Big เพราะสมัยเมื่อ 20 ปีก่อนที่คุณพ่อเริ่มทำธุรกิจ ก็มีพนักงาน 10-20 คนเหมือนกัน (หัวเราะ)"
...ตอนนี้ถือว่ามีความสุขมากที่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ ทำให้คนมีร่างกายแข็งแรง จิตใจแข็งแรง เป็นงานที่เราชอบ เพราะทำให้คนมีความสุข เราก็มีความสุข แต่กับธุรกิจที่บ้าน ไม่ใช่เราจะไม่เข้าไปนะ ทุกอย่าง แล้วแต่โอกาส ความเหมาะสม และช่วงเวลา ซึ่งตอนนี้ สิ่งที่ฝันต่อไป อยากไปเรียนโยคะเพิ่มเติม และอยากทำรีสอร์ตสุขภาพเล็ก ๆ ที่ทะเล หรือไม่ก็ภูเขาที่ไหนสักแห่ง
คุณแตงบอกกับเราด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและเต็มไปด้วยความสุข
ความสุขที่เธอต้องขอบคุณคุณพ่ออนันต์ อัศวโภคิน ที่ทำให้เธอได้ทำอะไรในสิ่งที่เธอรักและมีความสุข
"คุณพ่อบอกเสมอ ถ้าเราจิตใจดี คิดดี ก็จะมีสิ่งดี ๆ เข้ามาเอง" :D (หน้าพิเศษ D-Life)
prachachat.net