ก็ผมไม่ ใช่พระอิฐพระปูนนี่คร้าบ...



"ผมโทร.มาบอกว่า สามทุ่มสิบห้าคนขับรถจะไปรับคุณ แล้วก็ตรงไปที่หมายด้วยกัน"

"ฉันคิด 1,000 ยูโรต่อคืน"

"ก็ผมให้คุณไปแล้ว 1,000 ยูโรนี่นา และถ้าคุณค้างคืนเขาจะตกรางวัลให้เพิ่ม โอ้! ผมเกือบลืมบอกไป เขาไม่ใช้ถุงยางนะ"

"ฉันไม่นอนด้วย หรอกถ้าไม่ใช้ถุงยาง ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาปลอดภัยชัวร์"

"ไม่เอาน่าที่รัก รู้ไหมนั่นน่ะใคร แบร์ลุสโคนี เชียวนะ!"

ใช่แล้ว บุคคลคนนั้นคือ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี มหาเศรษฐีเจ้าของทีมฟุตบอลดังอย่างเอซี มิลาน และนายกรัฐมนตรีคนดังของอิตาลี

บท สนทนาข้างต้นเป็นการโทรศัพท์ติดต่อกันระหว่าง จิอันเปาโล ตารันตินี นักธุรกิจที่เป็นนายหน้ากับ แพทริเซีย ดัดดาริโอ สาวเอสคอร์ตชื่อดัง หุ่นสะท้านหัวใจแห่งวงการใต้สะดือของอิตาลี เขากำลังนัดแนะก่อนที่เขาจะพาสาวงามรายนี้ไปพบกับผู้นำประเทศ และแน่นอน เรื่องนี้กำลังกลายเป็นที่โจษจันฮือฮาไม่เพียงแต่ในกลุ่มชาวมะกะโรนี แต่กลายเป็นจุดสนใจจากคนทั้งโลก เพราะอาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีผู้นำคนไหนในปฐพีนี้อีกแล้ว ที่จะมีชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ประตูดินเทียบเท่ากับขุนแผนแดนมะกะโรนี อย่างแบร์ลุสโคนี

แบร์ลุสโคนี ผู้นำอิตาลี วัย 72 ปี ตกเป็นข่าวฉาวมาร่วมเดือนหลังจากถูกแฉเป็นระยะๆ ถึงพฤติกรรมการจ้างคุณโสขึ้นเตียงของเขา เมื่อได้หว่านเงินจ้างคุณตัวระดับไฮโซให้มาเริงสวาทกันในงานปาร์ตี้ โดยที่แม่เสือสาวใหญ่อย่าง แพทริเซีย ดัดดาริโอ คุณโสชั้นสูงคนนี้เองที่เป็นรายล่าสุด นำเสียงสนทนาระหว่างเธอและท่านผู้นำก่อนจะขึ้นเตียงมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ที่เทปลับไม่ได้ลับเฉพาะอีกต่อไป

"เดี๋ยว ผมจะไปอาบน้ำนะจ๊ะ คุณอาบเสร็จเมื่อไรก็ขึ้นไปรอบนเตียงใหญ่โน่นได้เล้ย..." เสียงนี้คือเสียงจากท่านแบร์ลุสโคนี จึงไม่แปลกใจที่เรื่องนี้จะมีสีสันน่าติดตามยิ่งกว่าละคร เพราะแต่ละคำที่หลุดออกมาจากปากผู้นำอิตาลีนั้นถือว่าอยู่ในระดับ "เจน สนาม"

และแม้เรื่องราวดังกล่าวจะถูกเผย แพร่ต่อสาธารณชน พ่อขุนแผนแดนมะกะโรนีก็กลับไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรนัก หนำซ้ำยังหัวเราะร่า เล่นลิ้นสองแง่สามง่ามให้ชาวโลกหูผึ่งกันเข้าไปอีก

"ก็มีสาวสวยรายรอบอยู่เต็มไปหมดนี่นา และผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนี่ครับ ช่วยเข้าใจกันหน่อย และก็หวังว่าคนของทางหนังสือพิมพ์ลารีพับลิกาจะเข้าใจเหมือนกันด้วย" แบร์ลุสโคนี แถลงต่อผู้สื่อข่าวเป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ถือเป็นการยอม รับกลายๆ ครั้งแรกว่าขึ้นเตียงกับสาวแพทริเซีย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่นานท่านผู้นำเพิ่งจะปฏิเสธหัวชนฝาไปด้วย ซ้ำแถมท้ายด้วยว่าถ้าจ่ายเงินซื้อเซ็กซ์จริงจะยอมลาออก และที่สำคัญเทปเสียงนี้ถูกส่งไปที่อัยการเพื่อดำเนินการสอบสวนแล้ว

"แต่คนอย่างผมไม่มีวันใช้เงินซื้อผู้หญิง ผมต้องชนะพวกหล่อนด้วยหัวใจเท่านั้น!" พ่อขุนแผนนักรักย้ำชัด

แต่แบร์ลุสโคนีจะยังทนอยู่ได้มากเท่าไหร่นั้นไม่ใช่ปัญหา ของใคร เพราะงานนี้กลับเป็นประโยชน์ของฝ่ายหญิงมากกว่า

อย่างกรณีเปิดทำเนียบปาร์ตี้ทำเอา แพทริเซีย ดัดดาริโอ โจทก์หมายเลข 1 ที่อยู่ในเทปเสียงสนทนาข้างต้น และเป็นผู้ออกมาแฉเองงานเข้ากันเห็นๆ หากยังยื้อเรื่องต่อไปได้ รับรองว่าจะกลายเป็นเซเลบจอมแฉแห่งวงการหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ได้ไม่ยาก

แพ ทริเซียคนนี้กลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน ไม่เพียงสื่ออิตาลีจับมาสัมภาษณ์จนสายตัวแทบขาด แต่สื่อต่างชาติยังประโคมข่าวใหญ่โต ยิ่งออกหน้าตามสื่อมากเท่าไร แพทริเซียยิ่งแย้มชีวิตเซ็กซ์ของขุนแผนอิตาเลียนมากขึ้น

อย่างล่าสุด แม้ว่าเธอจะยอมรับว่าไม่เคยได้รับเชิญไปยังวิลลา ซาร์ดิเนีย บ้านพักอีกหลังของแบร์ลุสโคนี แต่เจ้าตัวแย้มว่าถึงไม่เคยไป แต่แว่วๆ มาว่าท่านนายกฯ ยังเรียกคุณโสไฮโซรายอื่นไปรับจ๊อบแทน


เมื่อซักไซ้เข้าไปอีก แพทริเซียแย้มอีกนิด ว่า น่าจะมีวิลลาที่เกาะเบอร์มิวดาอีกแห่งที่แบร์ลุสโคนีพาบรรดากิ๊กและบ้านเล็ก ไปเสพสวาทกันที่นั่น ที่ร้ายกว่านั้น แพทริเซียยังร่ายเป็นฉากๆ ว่า วันเกิดเหตุนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไร และเชื่อว่าเหตุผลที่แพทริเซียเจ็บใจจนต้องออกมาแฉยื่นเทป เสียงลับให้กับสื่อ ก็เพราะว่าเธอถูกเบี้ยวค่าตัวอีกส่วนต่างหาก

เพราะ เธอได้เงินไปเพียง 1,000 ยูโรจากนายหน้าเท่านั้น ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมจากท่านผู้นำ...นอกเหนือไปจากการไม่ใช่ถุงยางอนามัย...! โดยข้ออ้างที่เธอได้รับคือ เพราะไม่ได้ค้างคืนร่วมกับท่านผู้นำ

เจ้าตัวบอกว่าจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ ไม่ใช่เพราะลูกค้าเป็นถึงผู้นำประเทศเท่านั้น ซึ่งในวันเกิดเหตุคนอเมริกันได้ยินแล้วอาจจะส่ายหน้า เพราะเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐพอดิบพอดี

กรณีของแพทริเซียไม่ใช่ ครั้งแรก เพียงแต่เป็นแค่กรณีล่าสุด หลังก่อนหน้านั้นไม่นาน ภรรยาของแบร์ลุสโคนีขอหย่าขาดเพราะทนพฤติกรรมเจ้าชู้ไม่ไหว และต่อมายังมีข่าวว่าพัวพันกับนางแบบสาวคราวลูกวัยเพียง 18 ปี

โดนเข้าไปหลายหมัด ขุนแผนแห่งกรุงโรมก็ยังลั่นวาจาว่าไม่มีวันสละเก้าอี้เด็ดขาด ถือเป็นการตอกย้ำมาตรฐานของนักการเมืองฝั่งยุโรป พฤติกรรมซนไม่เลิกเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแต่อย่างใด

อย่าง เช่นที่แดนผู้ดีถิ่นอังกฤษ นักการเมืองอังกฤษไม่เพียงหลงใหลในลัทธิติดกิ๊กจนงอมแงม แต่ยังหลุดข่าวบ่อยครั้งเสียจนประชาชนแทบปล่อยให้เลยตามเลยไปเอง ว่ากันว่าที่คนอังกฤษทนกับเรื่องพรรค์นี้ได้ เพราะอัตราบุตรนอกสมรสมีสูงถึง 42% ตัวเลขนี้น่าจะสะท้อนอะไรๆ ได้อยู่

กรณีอื้อฉาวทางเพศที่พิลึก พิลั่นที่สุดในอังกฤษ ต้องย้อนรอยไปถึงกรณีของ เดวิด แบลงเคต รัฐมนตรีมหาดไทยของอังกฤษในสมัยรัฐบาลโทนี แบลร์ รายนี้มีระแคะระคายกันอยู่บ้างว่าแอบมีกิ๊ก เรื่องพรรค์นี้ในระดับนี้ยังพอสงบปากสงบคำกันได้ แต่พอจับได้ว่าเป็นใครเท่านั้น พรรคแรงงานอันเป็นพรรครัฐบาลอังกฤษเป็นต้องสะดุ้งโหยง


เพราะกิ๊กของท่านมท.1 ดันเป็นถึงบรรณาธิการนิตยสาร Spectator ที่มีนโยบายโจมตีพรรคแรงงานแบบเล่นกันถึงตาย! แต่ท้ายที่สุดแล้ว นักการเมืองฝั่งยุโรปยังอยู่ดีมีสุข แม้จะจับได้คาหนังคาเขา

เพราะ กรณีที่แย่ที่สุดก็คือ การหย่าร้างกับบ้านใหญ่ อย่างกรณีของแบร์ลุสโคนีเห็นได้ชัด ท่านผู้นำไม่แยแสบ้านใหญ่เลยด้วยซ้ำ และไม่แคร์ว่าใครจะสาดเสียเทเสียอย่างไร เพราะเจ้าตัวคงสรุปแล้วว่านี่คือเรื่องส่วนตัวล้วนๆ

สื่อ จะตีไข่ใส่ข่าวอย่างไรก็แล้วแต่เรื่อง ของสื่อ

ทว่า หากเปรียบเทียบกับฝั่งสหรัฐแล้วต้องเรียกว่ามาตรฐานต่างกันสุดขั้ว เพราะอเมริกันชนยังขึ้นชื่อเรื่อง "อนุรักษนิยม" ความรักคือความซื่อสัตย์และการไว้เนื้อเชื่อใจสูงสุด มะกันชนจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ลอยนวลเป็นอันขาด

อย่างกรณีล่า สุด มาร์ก แซนฟอร์ด ผู้ว่าการรัฐ เซาท์แคโรไลนา ต้องมานั่งคอตกสารภาพว่า หนีไปเสพสุขกับกิ๊กสาวชาวอาร์เจนตินา ทิ้งให้ภรรยาในสหรัฐและประชาชนรัฐเซาท์แคโรไลนากังวลอยู่นานว่าพ่อเมืองหาย หน้าไปไหน

ก่อนหน้านี้ยังมีกรณีของ
เอเลียต สปิตเซอร์ อดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กที่จบ แบบหักมุม เพราะผู้ว่าการรัฐรายนี้เปิดฉากล้างบางอาชญากรอย่างไม่ไว้หน้า แต่สุดท้ายตกม้าตายเพราะดันไปใช้บริการคอลเกิร์ลระดับไฮโซจนต้องหลุดลอยจาก ตำแหน่ง

ที่จบแบบหักมุมที่สุดคงต้องเป็นกรณีของ จอห์น เอนไซก์ วุฒิสมาชิกรัฐเนวาดา ที่อุตส่าห์สร้างภาพเป็นผู้รณรงค์โครงการ "แต่งก่อน อยู่" แต่กลับกลายเป็นว่าแอบไปมีสัมพันธ์สวาทกับเจ้าหน้าที่หาเสียงของตัวเองเสีย นี่


หากเทียบกันเปอร์เซ็นต์แล้ว ดีไม่ดีสหรัฐอาจครองตำแหน่งประเทศที่มีนักการเมืองพัวพันกับเรื่องอื้อฉาว ทางเพศมากที่สุดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเบาะๆ อย่างเซ็กซ์นอกสมรสแบบครั้งคราว หรือใช้บริการคุณโส ไปจนถึงกระทั่งกล้าเลี้ยงกิ๊กเป็นตัวเป็นตนอย่างไม่เกรงใจบ้านใหญ่

ใน ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคงปฏิเสธไม่ได้ว่านักการเมืองสหรัฐตายน้ำตื้นเพราะแอบมี กิ๊กนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ระดับประธานาธิบดีจอมซุกซนอย่าง บิล คลินตัน ที่มาหมดท่าเพราะ "น้ำรัก" เพียงหยดเดียว

อย่างกรณีของ จอห์น เอ็ดเวิร์ด ผู้เคยคาดหวังว่าจะชิงเก้าอี้ผู้นำประเทศมาครองได้ แต่กลับนอกใจภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็งจนต้องถอนตัวจากการแย่งบทบาทกับโอบามา

หาก ไล่เรียงกันเป็นรายตัว และเปรียบเทียบตัวตนในฉากหน้ากับข้อหาที่ซุกซ่อนไว้เบื้องหลังแล้ว วัฒนธรรมการมีกิ๊กของนักการเมืองสหรัฐต้องอาศัยวิทยายุทธ์ซ่อนเร้นร่างเงา ยิ่งกว่านักการเมืองประเทศใด เพราะหลายคนอุตส่าห์หักล้างหลักการของตัวเองเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ

ปี 2550
เดวิด วิตเธอร์ วุฒิสมาชิก หนุ่มจากรัฐลุยเซียนา ผู้ชูธงหนุนค่านิยมอันดีงามของสถาบันครอบครัว ถูกจับได้ว่าซื้อบริการจากเครือข่ายหญิงบริการระดับสูงในกรุงวอชิงตัน

กรณี ของ มาร์ก แซนฟอร์ด, เอเลียต สปิตเซอร์ และจอห์น เอนไซก์ นับเป็นจุดจบของนักการเมืองมือถือสาก ปากถือศีลเหมือนกัน

ผิดกับ นักการเมืองสหรัฐหรือกระทั่งส่วนอื่นๆ ของโลกอย่างในเอเชียเองต้องเผชิญกับแรงกดดันมากกว่า ได้แต่ตั้งคำถามว่า นักการเมืองต้องควบคุมมารยาทเรื่องบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ท้ายที่สุดก็ยังต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กันอยู่ร่ำไป เพียงรำพึงรำพันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า

นักการ เมืองมีกิ๊กมันผิดตรงไหน?

*ที่มาโพสต์ทุเดย์