10 คาถาครองรัก (ฉบับเศรษฐศาสตร์) ลงทุนชีวิตคู่ "คุ้มค่า" ไม่มีขาดทุน

หนังสือชื่อ Spousonomics ได้นำเอาหลักการทางเศรษฐศาสตร์มาทำความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ของการใช้ชีวิตคู่ โดย [เสด-ถะ-สาด].com ได้ทำการสรุปและปรับปรุง(เพื่อให้เนื้อหาเหมาะสมกับสังคมไทย)มาเป็น "คาถาครองรัก (ฉบับเศรษฐศาสตร์)" ๑๐ ประการ


๑. แบ่งงานกันทำตามหลักความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage)
การแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) เป็นข้อดีสำคัญของการมีคู่รัก เพราะงานในบ้านหลายอย่างต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialization) 

เมื่อเป็นเช่นนี้ การแบ่งภาระงานในบ้านออกเป็น 50:50 ระหว่างหญิงกับชายจึงไม่ได้ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามแนวคิดของ David Ricardo แต่จะเป็นสัดส่วนเท่าไหร่นั้น ควรจะขึ้นอยู่กับความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของแต่ละคน หรือพูดง่ายๆ คือ ใครทำอะไรได้ดีกว่ากันก็ให้เขาทำสิ่งนั้นไป แลกกับบางอย่างที่เขาไม่ต้องทำอีกแล้ว เช่น คนที่ล้างจานเร็วกว่าก็ล้างจานไป และคนที่ซักผ้าดีกว่าก็ซักผ้าไป

๒. อย่ากลัวที่จะแพ้ (Loss Aversion)
ความอยากเอาชนะ หรือความกลัวที่จะแพ้ (Loss Aversion) มักก่อปัญหาให้ชีวิตคู่เสมอ ในทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มันมาจากผลของการครอบครองตัวเราเอง (Endowment Effect) ซึ่งหมายถึง การที่คนเรามักให้คุณค่า(อย่างไม่มีเหตุผล)กับสิ่งที่ตัวเราเองคิด/รู้สึกมากกว่าสิ่งที่คนอื่นคิด/รู้สึกอยู่เช่นถ้าเราทะเลาะกับคู่รักตอนหัวค่ำ ที่จริงก็เพราะเราคิดว่าเราคิดถูก คู่รักของเราคิดผิด จากนั้นก็เถียงกันจนดึกดื่น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความอยากเอาชนะก็ยิ่งมากขึ้นๆ เพราะถ้าแพ้ตอนที่เถียงมานานแล้วก็เท่ากับว่าขาดทุนหนัก ต้นทุนของการเอาชนะจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีใครชนะ และทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนทั้งคืน

ทางออกก็คือ ถ้าเริ่มทะเลาะตอนหัวค่ำ ก็รีบนอนตอนหัวค่ำนั่นแหล่ะ ต้นทุนของการเอาชนะจะต่ำ เพราะยังไม่มีใครลงแรงลงเวลาไป แล้วค่อยคุยกันทีหลัง ผลของความรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าก็จะลดลงไปแล้วด้วย แถมได้นอนอีกต่างหาก


๓. ตระหนักว่าเส้นอุปสงค์มีความชันเป็นลบ (Negative Demand Slope)
อะไรก็ตามที่มีราคาแพง เราย่อมซื้อมันน้อย แต่อะไรที่มีราคาถูก เราก็จะซื้อมันบ่อยๆ ลองนึกดูว่า ถ้าเราอยากออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน ทุกครั้งที่เราไปฟิตเนส เราตั้งใจจะออกกำลังกายเยอะๆ ให้คุ้มกับที่อุตส่าห์เดินทางไป สุดท้ายเราก็ไม่ค่อยได้ไป และความอ้วนก็ไม่ลดลง แต่ถ้าเราแค่มีโอกาสหรือเวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ หากไปได้ก็ไป เราจะกลับได้ไปบ่อยๆ และการลดความอ้วนก็จะได้ผลดีกว่า

ในชีวิตคู่ก็เหมือนกัน ถ้าเวลาที่เราจะหวานหรือโรแมนติค ก็ต้องรอไปเที่ยวไกลๆ กินอาหารมื้อใหญ่ๆ ในวันพิเศษมากๆ และแล้วเราก็ไม่ค่อยได้ไป เพราะเราไปทำให้ราคามันสูงเกินไป แต่ถ้ากลับกัน เราทำให้มันมีราคาต่ำลง เช่น เพียงแค่หยอกล้อหรือโรแมนติคต่อกันแม้แต่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราก็จะทำได้ในทุกๆ วัน สุดท้าย ชีวิตคู่จะมีความสุขมากกว่าอีก ดังนั้น อย่าประเมินผลได้ของความหวานเล็กๆ น้อยๆ ต่ำเกินไปเหมือนเสื้อผ้าราคาถูกๆในตู้

๔. ตกลงเรื่องจรรยาสามานย์ไว้ก่อน (Moral Hazard)
เวลาที่เราทำประกัน เราจ่ายค่าประกันไป และหวังว่าบริษัทประกันจะปฏิบัติอย่างที่ควรจะเป็น แต่บริษัทจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ไม่ต่างไปการมีคู่รัก เราให้ความรู้สึกของเราไป โดยหวังว่าคู่รักจะไม่แอบไปมีกิ๊ก แต่เราเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้ตลอดเวลาว่าคู่รักของเราไปทำอะไรที่ไหนบ้าง ปัญหาเช่นนี้เรียกว่าจรรยาสามานย์ และที่แย่ที่สุดคือ ยิ่งเราทำดีมาก(จ่ายค่าประกันสูง)เท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาจรรยาสามานย์ก็อาจจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

ทางแก้ไขซึ่งต้องทำตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นก็คือต้องมองคู่รักของเราเหมือนเป็นนักลงทุน (Turn spouses into investors) ที่มาลงทุน(ชีวิต)ร่วมกับเรา ดังนั้น ต้องมีกฎระเบียบ (Set Regulation) ที่ชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายมีขอบเขตแค่ไหน อะไรที่ทำได้-ทำไม่ได้ และหากไม่ปฏิบัติตามนั้นจะลงโทษกันอย่างไร หรือหากปฏิบัติได้ดี อะไรคือรางวัล

๕. ถือหลักความได้อย่างเสียอย่าง (Trade-offs)
ประสิทธิภาพและความเท่าเทียมกันไม่อาจเกิดขึ้นได้พร้อมกันในสังคมฉันใด ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในการมีคู่ฉันนั้น แม้ว่าคนใดคนหนึ่งอาจจะทำได้ดีกว่าในหลายๆ เรื่อง (เพราะประสิทธิภาพสูงกว่า) แต่การต้องทำสิ่งนั้นๆ มากกว่าก็หมายถึงความไม่เท่าเทียมกันที่มากขึ้นด้วย เขาอาจรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งอาจเกิดความรู้สึกละอายใจ (Inequity Aversion) การหาค่าอุตตมะ (Optimization) ของประสิทธิภาพและความเท่าเทียมกันในสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นของการครองคู่ด้วยเช่นกัน

อธิบายให้ง่ายกว่านั้นก็คือ ในบางเรื่องที่เราไม่อยากทำหรือทำได้ไม่ดี ก็ควรต้องยอมทำบ้าง เพื่อไม่ให้คู่รักของเรารู้สึกว่าเขาถูกเอาเปรียบ ขณะที่ในบางเรื่องที่เราทำได้ดี ก็อาจต้องยอมให้คู่รักของเราทำบ้างเช่นกัน ถ้าจะทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แม้ผลลัพธ์อาจจะไม่ดีนักก็ตาม


๖. ลดช่องว่างของข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมมาตร (Asymmetric Information)
ไม่มีคู่ไหนในโลกที่สามารถรู้ใจ รู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมด เราเองอาจจะยังไม่รู้จักตัวเองทั้งหมดด้วยซ้ำ ดังนั้น ในบางครั้ง เราต้องลดช่องว่างของสถานการณ์ข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมมาตรระหว่างคนสองคน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ 
“บอกออกไป” ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับรู้ หรืออย่างน้อยแค่ส่งสัญญาณ (Signaling) ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
แต่วิธีการบอกออกไป ต้องเป็นแค่คุยกัน ไม่ใช่การเลคเชอร์ให้ฟัง เพราะข้อมูลข่าวสารที่หนักหรือมากเกินไปจะทำให้ต้นทุนการประมวลผลของสมองสูงขึ้น และไปลดความสามารถในการฟังและทำความเข้าใจ (The high information processing costs will hinder his ability to listen and digest what his is hearing.) 

๗. ตัดสินใจร่วมกันเพื่ออนาคต (Intertemporal Choice)
ในทางเศรษฐศาสตร์ การตัดสินใจในวันนี้ อาจไม่เกิดผลได้/ผลเสียขึ้นในทันที แต่จะเกิดตามมาในอนาคต เช่น ถ้าเราตัดสินใจนอนดึกเพื่อดูฟุตบอลในวันนี้ ความสนุกเกิดขึ้นทันที แต่ความเพลียเกิดในวันรุ่งขึ้น หรือเราอาจจะตัดสินใจอดอาหารสามเดือน เพื่ออยากสวย แปลว่าความทรมานเกิดวันนี้ แต่ความสวยเกิดในอีกสามเดือนข้างหน้า และกรณีเช่นนี้ ส่วนมากล้มเหลว

ดังนั้น อะไรก็ตามที่เราอยากทำ ซึ่งมันยากที่จะสำเร็จ แต่ง่ายที่จะล้มเหลว เช่น ออกกำลังกายทุกวัน กินอาหารที่มีประโยชน์ เขียนบล็อกสัปดาห์ละสองครั้ง เราก็น่าจะลองชวนคู่รักของเรามาทำร่วมกัน ให้คู่รักเป็นเหมือนอุปกรณ์ช่วยเตือน (Commitment Device) ให้เราทำให้สำเร็จ และหากเขาขอให้เราทำหน้าที่นี้บ้าง ก็อย่าใจอ่อน เพราะในระยะยาว จะดีกับตัวเขาเองมากกว่า(แน่ๆ) มากกว่านั้นคือ การทำอะไรร่วมกันบ่อยๆ ก็จะทำให้คู่รักรักกันมากขึ้นไปอีก

๘. ผ่านเรื่องร้ายและดีไปด้วยกัน (Boom and Bust)
หลายคนคงนึกถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองได้ อะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ โดยเฉพาะเมื่อมันผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้ว สิ่งที่ประชาชนในชาติควรทำก็คือ ร่วมมือกันและให้กำลังใจกันเพื่อให้คนทั้งชาติผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้ด้วยกัน แน่นอนว่า เมื่อผ่านมันไปได้ คนเหล่านี้ก็จะรักกันมากขึ้นอีก 

เช่นเดียวกับชีวิตคู่ เมื่อวันดีดีผ่านไป และตกอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด หันหน้าเข้าหากัน ให้กำลังใจกัน และผ่านมันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายภายนอก หรือความสัมพันธ์ของคู่รักกันเอง เป้าหมายที่ต้องมีร่วมกันคือผ่านมันไปให้ได้ แล้วทั้งคู่ก็จะรักกันมากขึ้น อย่าเก็บไว้คนเดียว บั่นทอนกำลังใจ หรือเพิ่มปัญหาให้กัน


๙. คิดแบบมีกลยุทธ์ (Game Theory)
ในทฤษฎีเกม การตัดสินใจของคนหนึ่งจะเอาการตอบสนอง (Response) ของอีกฝ่ายหนึ่งมาพิจารณาด้วย และสุดท้ายการตัดสินใจนั้นๆ ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งดีกว่าที่จะคิดเฉพาะกับตัวของเราเอง หากเราเป็นผู้ตอบสนอง ทฤษฎีเกมก็ยังช่วยให้เราเลือกวิธีการตอบสนองที่ดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้น การคิดแบบมีกลยุทธ์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจะเอาชนะกัน แต่หมายถึงให้ไตร่ตรองถึงการตอบสนองของเราหรือคู่รักของเราก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไปด้วย
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคู่ของเราจะตอบสนองอะไรออกมาทฤษฎีเกมบอกเราว่ามันขึ้นอยู่กับความเชื่อ (Beliefs) ซึ่งมาจากการสั่งสมในอดีต นั่นหมายความว่า อย่าลืมเอาอดีตมาเป็นบทเรียนที่จะสอนให้คุณเลือกวิธีการตอบสนองให้ถูกต้องกับคู่ของเราด้วย ประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาย่อมทำให้คุณรู้จักความชอบ (Preference) ของคู่รักของเรามากกว่าใครๆ 

๑๐. อาศัยแรงจูงใจเป็นเครื่องมือ (Incentive)
เราเองคงรู้ว่า อะไรก็ตามที่ได้มาโดยการบังคับ มักจบแบบไม่สวย แต่อะไรที่ได้มาจากแรงจูงใจภายใน แม้ว่าบางทีมันจะช้า แต่ก็มักจะยั่งยืนกว่า ในประเด็นนี้ เราก็ไม่ควรไปบังคับหรือเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวของคู่รักมากเกินไป เพราะเขาก็ต้องเป็นตัวของเขาเองด้วย

ในอีกด้านหนึ่ง หากเราต้องการให้เขาทำอะไรให้ ก็ใช้วิธีสร้างแรงจูงใจให้เขาอยากทำให้จะดีกว่าบังคับเช่นกัน เช่น พูดจาหวานๆ อ้อนๆ ขอร้อง เอาอกเอาใจ คู่รักของเราก็น่าจะเต็มใจและมีความสุขในการทำให้เรามากกว่า


ที่มา :: [เสด-ถะ-สาด].com

หากกำลังคิดจะหย่า!! อย่า"โพสต์"อะไรโดยไม่คิด


ใน ยุคที่เทคโนโลยีเอื้อให้ ไม่ว่าอะไรก็ดูรวดเร็ว ทันใจ สะดวกสบายไปหมด แต่การทำอะไรที่ "ไวๆ" นี่แหละ ก็อาจสร้างปัญหา เรื่องน่าปวดหัวตามมาภายหลัง อย่างเช่น การส่งเท็กซ์ ส่งข้อความ หรือโพสต์อะไรลงในเฟซบุ๊ก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มี "คำเตือน" จากทนายความในสหรัฐอเมริกาซึ่งเชี่ยวชาญคดีหย่าร้างกว่า 90% ถึงคู่สามีภรรยาที่กำลังจะหย่า และคิดว่า การจากลาของตนต้อง "จบ" ลงไม่ดีแน่ ให้ระมัดระวังเวลาจะ "เท็กซ์ (Text)" หรือโพสต์อะไรลงในทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก หรือในไอโฟน ใน สมาร์ทโฟน ต่างๆ ด้วยว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีคดีหย่าร้างที่มีการใช้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็น "หลักฐาน" ในคดีหย่าเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ ทางสมาคมทนายความคดีสมรสในอเมริกา ซึ่งมีทนายความเป็นสมาชิกอยู่ราว 1,600 คน และแต่ละคนล้วนมีประสบการณ์ในการจัดทำนิติกรรมเกี่ยวกับข้อตกลงก่อนสมรส, คดีหย่า, คดีแย่งสิทธิเลี้ยงดูบุตร, คดีแบ่งสินสมรส และคดีเกี่ยวกับสิทธิของคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งพบว่า มีการใช้หลักฐานจาก บรรดาข้อความ และเฟซบุ๊ก เป็นหลักฐานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยิ่งในช่วง 2 ปีหลังนี้

เคน อัลท์ชูเลอร์ ประธานสมาคมทนายความฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า ...

"เวลา เขียนอีเมล์คุณยังมีเวลาคิด มีโอกาสจะปรับเปลี่ยนเขียนข้อความใหม่ แต่การส่งเท็กซ์ ส่งข้อความมันส่งไปทันที และทนายความอย่างพวกเราก็ได้เห็นหลักฐาน บรรดาข้อความที่ผู้คนส่งกันโดยไม่คิดเยอะมาก"

เคนยังพูดถึงความน่า กลัวของบรรดาข้อความต่างๆ ว่า เปรียบเหมือน "ช่องทางระบายอารมณ์" ที่สามารถย้อนกลับมาเล่นงาน หลอกหลอนคนเราได้ เพราะมันเป็น "หลักฐาน" ที่บันทึกถึงความคิด เจตนา และการกระทำของคนคนนั้น

เคนยังบอกด้วยว่า ถึงแม้ข้อความต่างๆ ในโทรศัพท์จะถูกมองเป็นหลักฐานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ หรือใช้เป็นหลักฐานในศาลไม่ได้ แต่สำหรับบุคคลที่มีความน่าเชื่อ ข้อความแบบนั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาในคดีหย่าร้างได้เช่นกัน

"ผม เคยใช้พวกเท็กซ์ พวกข้อความเป็นหลักฐานในการซักค้าน และผมอยากจะบอกด้วยว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผมพบว่า มีการใช้ข้อความมากมายเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยุคนี้ผู้คนชอบส่งข้อความกันมากขึ้น และส่งข้อความกันแบบไม่คิดไม่ระวัง" เคน อัลท์ชูเลอร์ บอก

และจากข้อมูลของทางสมาคมทนายความฯยังพบว่า ข้อความในโทรศัพท์มือถือถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในคดีหย่ามากที่สุด ตามด้วยข้อความในอีเมล์, หมายเลขโทรศัพท์, รายการบันทึกข้อมูลการโทรศัพท์, จีพีเอส และบันทึกการค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต

ที้งนี้ นายเคนเชื่อว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีการใช้ "ข้อความ" เป็นหลักฐานในคดีความมากขึ้น ก็เพราะคนทั่วไปมักคิดว่า การส่งข้อความนั้นปลอดภัย เพราะมันไม่สามารถ "พิมพ์" ออกมาได้

แต่คงลืมคิดไปว่า ถึงจะพิมพ์ออกมาไม่ได้ แต่มันก็มีช่องทางให้สืบค้นได้ภายหลัง




ที่มา คอลัมน์ สรรหา มาเล่า :: มติชนรายวัน

บทเรียนชีวิต (Lessons in life)


1. Life isn’t fair, but it’s still good.
แม้ชีวิตจะไม่มีความเท่าเทียมแต่อย่างน้อยก็ยังมีชีิวิตอยู่

2. When in doubt, just take the next small step.
ในช่วงที่ไม่แน่ใจ ควรก้าวไปอย่างช้า ๆ

3. Life is too short to waste time hating anyone.
ชีวิตนี้สั้นนัก อย่ามามัวเสียเวลาเกลียดชังใคร

4. Your job won’t take care of you when you are sick. Your friends and parents will. Stay in touch.
เวลาที่คุณป่วย ผู้คนที่เขาคอยเป็นห่วงและดูแลใส่ใจคุณก็คือพ่อแม่และเพื่อน ๆ ไม่ใช่งานที่คุณทำ ฉะนั้น ยังไง ๆ ก็อย่าขาดการติดต่อกับพวกเขา

5. Pay off your credit cards every month.
อย่าลืมชำระหนี้บัตรเครดิตในแต่ละเดือน

6. You don’t have to win every argument. Agree to disagree.
คุณไม่จำเป็นจะต้องเถียงเพื่อเอาชนะ แต่ควรยอมรับในสิ่งที่เห็นต่าง

7. Cry with someone. It’s more healing than crying alone.
เมื่อยามทุกข์ควรปรึกษาหรือหาใครสักคนที่เข้าใจเรา จะเป็นสิ่งดีที่สุดที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้

8. It’s OK to get angry with God.. He can take it.
ไม่เป็นไรหรอกถ้าจะโมโหพระเจ้า พระองค์ยิ่งใหญ่และรับได้ทุกสิ่งอยู่แล้ว

9. Save for retirement starting with your first pay check.
อดออมเพื่อวันหน้าด้วยการเริ่มต้นสะสมในทันที

10. When it comes to chocolate, resistance is futile.
ให้ตายซิ.. ไม่เคยปฏิเสธชอคโกแลตได้เลยสักที

11. Make peace with your past so it won’t screw up the present.
เรื่องที่มันผ่านแล้วก็ผ่านไป อย่านำมากังวลจนทำให้เสียอนาคต

12. It’s OK to let your children see you cry.
อย่าอายที่จะต้องร้องไห้ต่อหน้าเด็ก ๆ

13. Don’t compare your life to others. You have no idea what their journey is all about.
อย่าเอาชีวิตของเราไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าชีวิตของแต่ละคนนั้นผ่านอะไรมาบ้าง

14. If a relationship has to be a secret, you shouldn’t be in it.
ความสัมพันธ์ใด ๆ กับใครก็ตาม ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราบอกใครไม่ได้ เราควรจะเลี่ยงความสัมพันธ์นั้นเสีย

15. Everything can change in the blink of an eye. But don’t worry; God never blinks.
ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในพริบตา แต่อย่ากังวลไปเลย เพราะว่าพระเจ้าจับตามองอยู่เสมอ

16. Take a deep breath. It calms the mind.
สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น

17. Get rid of anything that isn’t useful, beautiful or joyful.
อย่ายึดติดกับบรรดาสิ่งที่มันไม่ยั่งยืนทั้งหลาย

18. Whatever doesn’t kill you really does make you stronger.
อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำให้คุณถึงกับเสียชีวิต มันจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น

19. It’s never too late to have a happy childhood. But the second one is up to you and no one else.
ยังไม่สายเกินไปที่เราจะทำตัวให้สนุกสนานเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราต้องดูแลตัวเราเอง, ไม่ใช่ใครอื่น
(จุดนี้หมายถึงว่าในอดีตที่เราเป็นเด็ก ทำอะไรอย่างเด็ก ๆ นั้นก็ยังมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ แต่เมื่อโตแล้วเรายังทำตัวเป็นเด็กได้ แต่เราต้องดูแลรับผิดชอบทุกการกระทำของเราเอง)

20. When it comes to going after what you love in life, don’t take no for an answer.
อย่าปฏิเสธสิ่งใด ๆ ที่จะนำความสุขมาสู่ชีวิต

21. Burn the candles, use the nice sheets, wear the fancy lingerie. Don’t save it for a special occasion, Today is special.
ควรคำนึงว่า "ทุกวัน" นั้นสำคัญฉะนั้นอย่าสะสมอะไรไว้โดยไม่ใช้ เช่นพวกเทียนไข, ผ้าปูที่นอนสวย ๆ หรือชุดชั้นในหวานแหว๋วทั้งหลาย

22. Over prepare, then go with the flow.
ปล่อยตัวตามสบาย อย่าเกร็งจนเกินไป

23. Be eccentric now. Don’t wait for old age to wear purple. <-----ข้อความนี้มันหนักไปทางตะวันตก
กล้า ๆ หน่อย... สีม่วงไม่ได้มีไว้เฉพาะสำหรับผู้สูงอายุเท่านั้น

24. The most important sex organ is the brain.
ความคิดความอ่านนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด, ควรเป็นคนรู้จักใช้สมอง

25. No one is in charge of your happiness but you.
ไม่มีใครที่จะควบคุมหรือหาความสุขมาให้ นอกจากตัวคุณเอง

26. Frame every so-called disaster with these words ‘In five years, will this matter?’
ถามตัวเองซิว่า เหตุร้ายทั้งหลายที่ถ้าเกิดขึ้น อีกห้าปีข้างหน้ามันจะยังสำคัญอยู่ไหม?

27. Always choose life.
ชีวิตสำคัญที่สุด

28. Forgive everyone and everything.
ให้อภัยทุกคนและทุกสิ่ง

29. What other people think of you is none of your business.
มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเราที่จะมาคอยคิดว่า คนอื่นจะคิดยังไงกับเรา

30. Time heals almost everything. Give it time.
เวลาสามารถเยียวยาได้เกือบทุกสิ่ง ดังนั้น.. ให้เวลากันหน่อย

31. However good or bad a situation is, it will change.
ไม่ว่าสถานะการณ์จะดีหรือเลวร้าย ยังไง ๆ มันก็ต้องเปลี่ยน

32. Don’t take yourself so seriously. No one else does.
อย่าเครียดจนเกินไป เพราะว่าไม่มีใครหวังให้คุณเป็นเช่นนั้น

33. Believe in miracles. <------อันนี้เป็นคำพูดของคริสเตียน
จงเชื่อในสิ่งมหัศจรรย์

34. God loves you because of who God is, not because of anything you did or didn’t do.
พระเจ้ารักคุณ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณทำหรือไม่ทำ แต่เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก

35. Don’t audit life. Show up and make the most of it now.
ไม่ต้องมาคอยจับผิดชีวิต แต่ทำให้ดีที่สุด

36. Growing old beats the alternative — dying young.
อยู่จนเป็นคนชราดีกว่าตายตอนหนุ่ม

37. Your children get only one childhood.
เราทุกคนเป็นเด็กได้เพียงครั้งเดียว

38. All that truly matters in the end is that you loved.
ขอให้รู้ว่าอะไรทั้งหลายแหล่นั้น คุณยังเป็นที่รักอยู่เสมอ

39. Get outside every day. Miracles are waiting everywhere.
สิ่งมหัศจรรย์มีอยู่ทุกหนทุกแ่ห่ง ฉะนั้นจงก้าวออกไป

40. If we all threw our problems in a pile and saw everyone else’s, we’d grab ours back.
ถ้าเราโยนปัญหาต่าง ๆ ของเราไปกองรวมกับปัญหาของคนอื่น ๆ เชื่อว่าคุณจะเห็นว่าปัญหาของคุณนั้นมันเหมือนกับไม่มีอะไรเลย

41. Envy is a waste of time. You already have all you need.
คุณมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว อย่าไปเสียเวลาอิจฉาใครเลย

42. The best is yet to come.
สิ่งที่ดีที่สุดนั้นยังมาไม่ถึง

43. No matter how you feel, get up, dress up and show up.
ถึงแม้ว่าคุณไม่รู้สึกว่าอยากจะไปไหนหรือทำอะไร แต่ถ้าคุณฝืนใจ, เมื่อออกไปแล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้น

44. Yield.
อดใจรอ

45. Life isn’t tied with a bow, but it’s still a gift.
ชีวิตคนเราแม้จะไม่ผูกด้วยโบว์อันสวยหรู แต่ก็ยังเป็นของขวัญอยู่ดี

บทความที่เกี่ยวข้อง: