โครงการอลังการเกาะ"เดอะ เวิลด์"ของดูไบ ทรุดตัวจมทะเล สื่ออึ้ง วิจารณ์เป็นสัญญานหายนะโลก





สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวัน ที่ 24 ม.ค.ว่า โครงการพัฒนาสร้างเกาะ"เดอะ เวิล์ด"ซึ่งเป็นแหล่งลงทุนพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ของเมืองดูไบ ของสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ กำลังเผชิญภาวะสถานการณ์จมลงสู่ทะเล นอกเหนือจากการเผชิญภาวะวิกฤตด้านการเงินหลังจากนักลงทุนแห่ถอนการลงทุน เพราะพิษวิกฤตเศรษฐกิจโลก



รายงานระบุว่า โครงการดังกล่าวซึ่งเป็นการสร้างเกาะขึ้นมาบนทะเล และเนรมิตให้เป็นภาพคล้ายแผนที่โลก กำลังทรุดตัวลงทะเลแล้ว โดยล่าสุด บริษัทดำเนินกิจกรรมเรือข้ามฟากไปยังเกาะอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ ได้ถอนสัญญาลงทุนจากบริษัท"นัคฮีล"ซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจ๊คส์"เดอะ เวิล์ด"แล้ว เนื่องจากขาดลูกค้า และเกาะมีอาการทรุดตัวจมลงตัว และทนายความของบริษัทดังกล่าว หรือ"เพนกวิน มาร์รีน"ให้การต่อศาลพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ดูไบว่า มีหลักฐานว่าเกาะ"เดอะ เวิล์ด"กำลังจมลงสู่ทะเล ขณะที่"นัคฮีค"ยอมรับว่า โครงการพัฒนาเกาะเดอะเวิล์ดขณะนี้อยู่ในภาวะขั้นโคม่าย่ำแย่



ทั้งนี้ การอ้างเปิดเผยถึงภาวะเกาะทรุดตัวจมทะเลของโครงการ"เดอะ เวิล์ด"มีขึ้นหลังจากรอยเตอร์ ได้จัดทำโพลที่ระบุว่า ราคาของอสังหาริมทรัพย์บนเกาะ"เดอะ เวิล์ด"จะตกลงอีก 10 % ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยก่อนหน้านี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ได้ตกลง 58 % จากช่วงราคาแพงสูงสุดช่วงไตรมาสสี่ของปี 2008



อนึ่งเหตุการณ์นี้ยังทำให้สื่อมวลชนบางสำนักที่รายงานข่าวโครงการเกาะเด อะเวิล์ดจมทะเล ยังตีข่าวด้วยว่า เป็นเหมือนสัญญาณวันสิ้นโลกด้วย

วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา ประชาชาติธุรกิจ

ปตท.เคมิคอลเดินหน้าลุย นวัตกรรมสินค้ากรีนป้อนตลาดโลก


โปรเจ็กต์ใหม่ของบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) "PTTCH" ก้าวเข้าสู่พัฒนาการเติบโตในโลกธุรกิจไบโอเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน ด้วยการผนึกกลยุทธ์กับ บริษัท มีเรียนท์ เทคโนโลยี (Myriant technologies, lnc.) จำกัด จากสหรัฐอเมริกา ร่วมลงทุนวิจัยและพัฒนาไบโอเทคโนโลยีและก่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bio-Succinic Acid) ในมลรัฐลุยเซียนา โดยจะเลือกวัตถุดิบเหลือจากภาคการเกษตรเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต

เป็นก้าวสำคัญของบริษัท ปตท.เคมิคอลฯเร่งขับเคลื่อนสู่เทคโนโลยีการผลิต Green Chemicals วางแผนขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์จากธรรมชาติ (Bio-based Chemicals) เต็มตัว

ความร่วมมือครั้งนี้ บริษัท ปตท. เคมิคอลฯเปิดช่องทางด่วนหรือฟาสต์แทร็ก ดึง "เทคโนโลยี" ซึ่งเดิมยังไม่เคยนำมาใช้ เนื่องจากที่ผ่านมาอาศัยจุดแข็งแค่โรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ มีเงินลงทุนเพียงพอ กับมีเฉพาะตลาดรองรับเท่านั้น แต่ครั้งนี้เดินหน้าเต็ม รูปแบบ

นายวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.เคมิคอลฯ กล่าวว่า วิธีการสร้างความสำเร็จครั้งนี้ได้เลือกซื้อหุ้นเพิ่มทุนจากบริษัท Myriant วงเงินรวม 60 ล้านเหรียญสหรัฐ หวังผลสัมฤทธิ์จากการทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพอุตสาหกรรม (Industrial Biotechnology) และการผลิตพลาสติกและเคมีภัณฑ์ชีวภาพ

"เป็นวิธีเริ่มจากต้นทางด้วยการร่วมวิจัย พอได้รายละเอียดครบจะสามารถนำเทคโนโลยีที่ได้มาต่อยอดกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และคาดว่าจะพัฒนาไบโอเทคโนโลยีไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ภายใน 5 ปีหน้า ก่อนจะลงทุนขยายธุรกิจ เช่น โรงงานเพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพ ต้องมองมุมกว้างเรื่องความสามารถทางการแข่งขันด้วย ต้นทุนทำได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาทางบริษัทต้องการเทคโนโลยีแต่ไม่มีคนขาย การร่วมทุนครั้งนี้เท่ากับเป็นเจ้าของเทคโนโลยีด้วย"

ส่วนแผนการขยายโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพในสหรัฐอเมริกาจะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยและพัฒนาออกมาแล้วคุ้มค่าขนาดไหน เวลานี้กำลังหารือกับบริษัท Myriant ถึงแนวทางการต่อยอดธุรกิจ เพราะโรงงานลงทุนร่วมกันต้องใช้เวลาก่อสร้างอีกประมาณ 19 เดือน เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถผลิตพลาสติกชีวภาพ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ประมาณ 14,000 ตัน/ปี

แต่จะขยายโรงงาน ผลิตพลาสติกชีวภาพในไทยด้วยอีกทางหรือไม่ ก็ต้องรอวิจัยความคุ้มค่าเหมือนกัน รวมถึงการเลือกใช้เป็นวัตถุดิบ เพราะกลุ่ม ปตท.มีนโยบายสำคัญคือ ในแต่ละโครงการจะต้องให้ผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ขั้นต่ำร้อยละ 15 ด้วย

"จากการเปรียบเทียบจีดีพี การเติบโตของประเทศไทยมาจากภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างมากที่สุด ประมาณร้อยละ 40 มาจากภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคการเกษตร มีน้อยมาก เพียงร้อยละ 9 พอเทียบ การใช้คนในภาคเกษตรมีค่อนข้างมหาศาล ทางบริษัทจึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการต่อยอดธุรกิจจากจุดนี้ไป ถึงปลายทางจะต้องทำอย่างไร"

ทั้งนี้ บมจ.ปตท.เคมิคอลมีนโยบายจะเดินหน้าต่อโครงการธุรกิจพลาสติกชีวภาพที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมว่า เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจเคมีภัณฑ์และการ ผลิต โพลีเมอร์ในภูมิภาคเอเชีย อาศัยความได้เปรียบด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ผลิตอย่างเต็มที่

สำหรับ Myrient Tecnology Inc. เป็นบริษัทชั้นนำทางด้านไบโอเทคโนโลยีล่าสุดได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวง พลังงาน สหรัฐอเมริกา 60 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อมาทำ Renewable Biochemical ปัจจุบันทั่วโลกผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้เพียง 1% เท่านั้น

ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง บมจ. ปตท.เคมิคอล ครั้งนี้จะสร้างผลดีกับ คู่ค้าในตลาดทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกา


วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283 ประชาชาติธุรกิจ

ย้อนเส้นทางโตซีอีโอวัย 44 เล็กแค่อายุ ใหญ่อย่างรับผิดชอบ


ทัศพล แบเวเว็ลด์ หรือ "โจ" นักธุรกิจวัย 44 ปีที่สังคมพากันตั้งคำถามมาตลอดว่า ด้วยวัยเพียงเท่านี้ประสบความสำเร็จเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรในฐานะนักบริหาร การบินธุรกิจซึ่งขึ้นชื่อว่าหินสุด ๆ

เขาอธิบายโดยใช้ศาสตร์พื้นฐาน ว่า ถึงจะอายุน้อยกว่าเจ้านายหรือลูกน้อง แต่อายุของซีอีโอก็เป็นแค่ตัวเลข หลักการบริหารสำคัญที่สุด คือ "คำพูดต้องเป็นนายเหมือนลายเซ็น" เมื่อพูดอะไรออกไปต้องรับผิดชอบคำพูดเหล่านั้น เหมือนกับการเซ็นชื่อย่อมมีผลบังคับใช้ในทางกฎหมายเอาผิดได้

เขาเล่า ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตวิญญาณว่า ประสบการณ์สุดท้ายในค่ายเพลงวอร์นเนอร์ มิวสิค คือการ "บริหาร ศิลปิน" และหัวใจสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจก็คือ การ "บริหารคน" ถ้าผ่านการบริหารศิลปินที่โชกโชนต่อโลกมาได้ก็สามารถทำอะไรได้ทั้งหมด

ความ ทรงจำอันเลวร้ายของทัศพลที่หนักหนาสาหัส คือ 3 ปีแรกช่วงเข้าสู่วงการบินธุรกิจขาดทุนแทบกระอักเลือด เขาถูกบีบกึ่งบังคับทั้งจากต้นทุนน้ำมันและการเมืองจนถึงขั้นแพ้ภัยตนเองขาด ทุนย่อยยับ

เมื่อปี 2550 ขาดทุนถึง 5,000 ล้านบาท แต่ก็หาทางออกได้เร็วจนกระทั่ง วันนี้เหลือหนี้แค่ 1,000 ล้านบาท

เขา บอกว่าตอนนั้นต้องเอาโฉนดบ้านไปจำนอง นำเงินมาจ่ายพนักงานตามสัญญาต้องได้เงินทุกวันที่ 27 ของทุกเดือน ความช้ำใจมากสุดคือตอนเดินไปคุยกับแบงก์เพื่อขอทำ OD นำเงินล่วงหน้าออกมาหมุนเวียน ปรากฏว่าไม่มีแบงก์ไหนในไทยเห็นใจสักเจ้า

ต่าง จากวันนี้พอแบงก์ไทยรู้ว่ามีเงินสดหมุนเวียน 3,000 ล้านบาท พนักงานแบงก์เดินมาหากันให้ควัก อ้อนวอนให้นำเงินไปฝากแบงก์เหล่านั้น ผมสวนออกไปทันทีว่า...ส.ต.เถอะ ตอนเป็นหนี้ขอความช่วยเหลือไม่เคยชายตามองพอมีเงินมารุมตอมกันใหญ่

เป็นหัวอกและประสบการณ์ของ ซีอีโอวัย 44 ปี ไทย แอร์เอเชียที่วันนี้ผงาดขึ้นมาโลว์คอสต์เบอร์ 1 เอเชีย



วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283 ประชาชาติธุรกิจ

ชี้คู่รักเตียงหักมากขึ้นเพราะ "เฟซบุ๊ก"




แม้คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่างเฟซบุ๊กจะช่วยให้ พวกเขาได้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนและครอบครัวได้สะดวกมากขึ้น แต่ทว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายครอบครัวกลับออกโรงเตือนว่า เฟซบุ๊กเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักจำนวนไม่น้อยต้องร้าว ฉานหรือขาดสะบั้นลง...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 21 ม.ค. โดยอ้างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายครอบครัวจากสำนักกฎหมายแห่งหนึ่งที่ออกมาเปิด เผยว่า ในปีที่ผ่านมาทางบริษัทพบปัญหาการหย่าร้างของลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่จะมีสาเหตุ เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ประเภทโซเชียล เน็ตเวิร์ค โดยในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาพบว่ามีกรณีหย่าร้างกว่า 30 คดีเกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊ก

เอม มา พาเทล ประธานฝ่ายกฎหมายครอบครัวแห่งสำนักทนายความฮาร์ท สเกลส์ แอนด์ ฮ็อดเจส โซลิซิเตอร์ส กล่าวว่า เว็บไซต์ประเภทเครือข่ายสังคมออนไลน์ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรจากการเป็น "มือที่สามแบบเสมือนจริง" ที่ทำให้คู่รักต้องหย่าร้างหรือแยกทางกัน โดยในช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีคู่รัก หรือคู่สามีภรรยาหลายคู่ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือในการหาหลักฐานจับผิดซึ่ง กันและกัน หลายคู่มีปากเสียงกันเพราะระแวงว่าคนรักของตนจะแอบปันใจให้กับคนที่รู้จัก กันผ่านทางเฟซบุ๊ก นอกจากนั้น ยังพบว่าหลายคู่เลิกรากันเพียงเพราะไม่พอใจข้อความหรือคำพูดไม่เหมาะสมต่างๆ ที่คนรักของตนไปโพสต์ไว้บนเฟซบุ๊ก ขณะเดียวกัน ยังพบข้อมูลว่า หลายคู่ที่เลิกรากันไปแล้วยังใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือในการตามไปเยาะเย้ย ถากถางซึ่งกันและกันอย่างไม่จบไม่สิ้น เช่น การนำรูปแฟนใหม่ไปโพสต์เพื่อทำร้ายความรู้สึกของอดีตคนรักที่เพิ่งเลิกรากัน ไป เป็นต้น

อย่างไรก็ดี โฆษกของเครือข่ายสังคมออนไลน์อันดับ 1 ของโลกอย่างเฟซบุ๊กซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองพาโล อัลโต ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียได้ออกมาตอบโต้ โดยยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดีที่ใครก็ตามที่มองว่า เฟซบุ๊กเป็นตัวการสำคัญในการทำลายความสัมพันธ์ เพราะในความเป็นจริงแล้ว การเลิกรากันถือเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน ไม่เกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊กแต่อย่างใด พร้อมย้ำว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้ใช้เฟซบุ๊กไม่ว่าจะเป็นด้านดี หรือไม่ดี ล้วนเป็นผลจากการกระทำของแต่ละบุคคลเอง.

ที่มาหนังสือพิมพ์




รอยยิ้มของเคต มิดเดิลตัน ในวันประกาศการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการระหว่างเธอกับเจ้าชายวิลเลียม สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทั่วโลก แต่กว่าจะมาเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจและฟันขาวราวไข่มุกนั้น ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์ร่วมด้วย

เดลี่เมล์รายงานว่า ก่อนหน้าข่าวแต่งงานจะแพร่ออกมานั้น เคตวัย 29 ปี ได้ไปขอรับคำปรึกษาจาก ดร.ดิดิเยร์ ฟิลลิยอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟันและขากรรไกรชาวฝรั่งเศส โดยว่าที่เจ้าหญิงแคเทอรีนต้องการความมั่นใจว่าฟันของเธอจะสวยสมบูรณ์แบบ สำหรับกล้องถ่ายรูปและกล้องวิดีโอ ในการปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะพระคู่หมั้นของรัชทายาทอันดับ 2 ของอังกฤษ

ดร.ฟิล ลิยองเป็นทันตแพทย์ชื่อดังที่ต้องวิ่งรอกให้บริการลูกค้าทั้งในปารีส เจนีวา และลอนดอน มีความชำนาญพิเศษด้านใส่เหล็กดัดฟันด้านใน ซึ่งทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าจัดฟันอยู่ เมื่อ 2 ปีก่อนเขาเริ่มใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 3 มิติ ซึ่งพัฒนามากับมือจากห้องแล็บในเกาหลีใต้ เขาจึงเป็นทันตแพทย์คนเดียวในโลกที่ใช้วิธีการนี้ ซึ่งให้ความแม่นยำสูง และลดเวลาการใส่เหล็กดัดฟันลงราว 7 เดือน

จากการสำรวจของเพอริโปรดัก ต์พบว่า สาวเมืองผู้ดี 3,000 คน เห็นว่าว่าที่สะใภ้หลวงคนนี้มีรอยยิ้มและฟันที่งดงามที่สุด โดยครองตำแหน่งร่วมกับ เชอริล โคล ด้าน ดร.จาคอบ คริคอร์ ทันตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ระบุว่า นับจากเคตเริ่มออกมาอยู่ท่ามกลางแสงแฟลช มีสาว ๆ จำนวนมากไปพบทันตแพทย์เพื่อหวังปรับปรุงฟันให้สวยเหมือนเธอ ซึ่งถูกเรียกว่า "มิดเดิลตันลุก"

เคตซึ่งเคยใส่เหล็กแบบธรรมดาขณะอายุ 12 ปี เข้าไปพบหมอท่านนี้ครั้งแรกเมื่อประมาณ 1 ปีก่อน โดยจ่ายค่าบริการเริ่มแรกที่ 100 ปอนด์ ช่องว่างระหว่างฟันบนคู่หน้าที่เพิ่งหายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลอดจนฟันขาวเจิดจรัสแบบฮอลลีวูดของเธอในตอนนี้ คาดว่าเป็นผลมาจากการทำทรีตเมนต์ของคุณหมอคนดังกล่าว

ดร.ฟิลลิยอง ซึ่งเคยดูแลฟันของซาดี้ ฟรอสต์ และเคลลี่ บรู๊ก ลังเลที่จะพูดถึงลูกค้าว่าที่สมาชิกราชวงศ์อังกฤษ แต่เต็มใจที่จะเล่าให้ฟังถึงวิธีการรักษาที่เขาคิดค้นขึ้น "เทคนิคแบบดิจิทัลแนวใหม่ที่ผมพัฒนาขึ้นมีความแม่นยำสูง และสามารถย่นระยะเวลาการรักษาได้

3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหา"

ทรีตเมนต์ ที่คลินิกนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี ส่วนในกรณีของเคตดูเหมือนว่าจังหวะเวลาจะเหมาะเจาะพอดีกับการประกาศหมั้น หรือบางทีเธออาจจะรู้ล่วงหน้าว่าเจ้าชายกำลังจะขอแต่งงาน

ส่วนใคร ที่ต้องการจะมีฟันขาวสวยเหมือนว่าที่เจ้าหญิง สามารถบินไปขอรับคำปรึกษาจากคุณหมอท่านนี้ได้ แต่สนนราคาค่าบริการของแพทย์ท่านนี้อาจทำให้คุณขนหน้าแข้งร่วงได้โดย

ไม่ต้องอาศัยมีดโกน เพราะอยู่ที่ 6,000-9,000 ปอนด์ สำหรับฟันบนและฟันล่าง และ 3,000-6,000 ปอนด์ ถ้าต้องการทำฟันบนเพียงอย่างเดียว

วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:04:13 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ฮือฮา “บุ๋ม” ซีทรู แย้มคบหนุ่มอายุน้อยกว่า10ปี


เมื่อค่ำวันที่ 18 ม.ค. ที่ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิล์ด มีการจัดงานประกาศผลรางวัลบันเทิงของซุปเปอร์เทิง ม่ายสาวเซ็กซี่ “บุ๋ม”ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ที่มาในชุดเสื้อซีทรูลายลูกไม้สีดำ มองทะลุเห็นเนินเนื้อด้านใน เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนไม่น้อย
ผู้สื่อ ข่าวถามถึงที่มาของชุดที่ใส่มาครั้งนี้ ม่ายสาวเซ็กซี่เผยว่า วันนี้ตนลืมชุดที่จะใส่มางานนี้ไว้ที่บ้าน ทำให้ต้องซื้อชุดใหม่ก่อนเข้างานไม่นาน เห็นชุดนี้ซึ่งเหลืออยู่ตัวเดียวที่ใส่ในหุ่น เลยบีบีถามทีมงานว่างานนี้เป็นแนวไหน เรียบร้อยหรือเซ็กซี่ ทีมงานบอกว่าเซ็กซี่ก็เลือกตัวนี้เลย เพราะรีบ ไม่รู้ว่าเวลาโดนแสงแฟลชรูปจะออกมาจะเป็นอย่างไร


ชุดนี้ได้มีการเซพตัวเองอย่างไรบ้าง ม่ายสาวเซ็กซี่เผยว่า มีแผ่นแปะที่หน้าอกมาอย่างดี และไม่สะท้อนแสงเป็นสีเนื้อ ตนเปลี่ยนชุดในรถ และทีมงานโทร.ตามพอดี จึงรีบเดินเข้างานโดยไม่เห็นว่าชุดนี้ใส่เป็นอย่างไร จนเห็นแสงแฟลชเยอะมาก ทำให้คิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ
เมื่อถามว่าชุดนี้ โนบราหรือเปล่า ดาราสาวหมุนตัวให้ดูด้านหลังว่าไม่มีสายเสื้อชั้นใน พร้อมกล่าวต่อว่า ตนคิดว่าผู้หญิงเวลาเซ็กซี่ ไม่จำเป็นต้องเปิดเห็นวับๆ แวมๆ มันเซ็กซี่กว่า อย่างเสื้อตัวนี้ก็มีแขน เสื้อคอกลมไม่ได้เปิดหลัง แบบนี้ตนได้เซ็กซี่ก่อนหรือเปล่า


ต่อข้อถามถึงงานแฟชั่นเซ็กซี่ว่าปีนี้จะมีไหม ม่ายสาวกล่าวว่า มีสองเล่ม เล่มหนึ่งหัวหนังสือแรงอยู่แล้ว รู้สึกว่าครั้งนี้มีนายแบบผู้ชายถ่ายกับตนด้วย คงต้องการให้มันฮือฮา เข้าใจว่ามันคือการทำงาน งานเสร็จก็จบไม่มีสานต่อนอกงาน
“บางคนถามบุ๋ม ว่าทำไมยังถ่ายชุดว่ายน้ำอยู่ ไม่ปล่อยให้เด็กๆ ถ่ายไป แต่บุ๋มกลับมองอีกแบบว่าเราจะเป็นกำลังใจให้กับผู้หญิงที่อายุ 30 ขึ้น ผู้หญิงที่มีลูกแล้ว ผู้หญิงที่งานยุ่งมาก แต่สามารถดูแลตัวเองได้ มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ว่าเด็กๆเท่านั้นที่เซ็กซี่ได้ และพอเราดูแลตัวเองมันมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตเราค่ะ”


ที่พูดนี่ใช่หนุ่มๆหรือเปล่า ม่ายสาวพราวเสน่ห์หัวเราะก่อนตอบว่า ตอนนี้มีคนที่คุยเกือบๆ เป็นแฟนแล้ว อายุน้อยกว่า10ปีได้ แต่มีความเป็นผู้ใหญ่ คนนี้มาเองนะ แผนเยอะมาก เพราะตนเป็นคนที่เข้าถึงตัวยาก
“คนนี้เป็นคนในกลุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซด์ ด้วยกัน อยู่นอกวงการ เพิ่งคบกันไม่กี่เดือน ไม่กล้าเปิดตัวเดี๋ยวหายไปอีก บุ๋มเป็นคนที่ดูแล้วท่าทางไม่ดีหนี เราไม่อยากเปลืองเวลา ถ้ามาระแคะระคายว่าเจ้าชู้ บุ๋มชิ่งทันที”


จะเปิดตัวไหม “ไม่ค่ะ แล้วแต่จังหวะมากกว่า ถ้าเจอก็เจอ เพราะบุ๋มวัยนี้แล้ว ชีวิตบุ๋มไม่เคยปิดบัง คนนี้แฟน คนนี้สามี คนนี้เลิกบุ๋มบอกหมด ดังนั้นไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง แต่เราไม่จำเป็นต้องอวด ตอนนี้ขอดูเรื่อยๆ ก่อน เพราะเพิ่งดูกันไม่กี่เดือน แต่ไม่ได้ปิดอะไร”

วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554 ข่าวสดออนไลน์

จาก "ทำเงิน" สู่ "ปันเงิน" เส้นทาง "บิลล์ เกตส์" คนรวยช่วยโลก



ตามแนวคิดสมัยเก่า ตัวเลขผลกำไรขาดทุนอาจเป็นดัชนี ชี้วัด "ความสำเร็จ" เพียงประการเดียวของหลายองค์กรธุรกิจ แต่ในโลก "ใหม่" ที่ถูกรุมเร้าด้วยสารพัดปัญหาทั้งจากน้ำมือ "มนุษย์" และ "ธรรมชาติ" การรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรธุรกิจ หรือแนวคิด "CSR" ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นพันธกิจสำคัญที่นอกจากจะช่วยเยียวยาและจรรโลงโลกให้น่า อยู่แล้ว ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กรไปพร้อม ๆ กัน

เช่น เดียวกับบรรดามหาเศรษฐีคนดังในวงการธุรกิจโลกอย่าง "บิลล์ เกตส์" ที่แม้จะสร้างชื่อจากการเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของไมโครซอฟท์ แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเขาในแง่ของการเป็นเศรษฐีใจบุญอาจโดดเด่นมากกว่าโดยเฉพาะหลัง จากเดือนกรกฎาคม 2549 ที่เขาประกาศว่าจะอุทิศตนเพื่องานการกุศลของมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ มากขึ้น พร้อมลดบทบาทในแวดวงธุรกิจลง

นอกจากนี้ เมื่อช่วงกลางปีนี้เกตส์ร่วมกับ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ประธานและซีอีโอของเบิร์กไชร์ แฮธอะเวย์ ได้ประกาศดำเนินโครงการ "เดอะ กีฟวิ่ง เพลดจ์" เชิญชวนมหาเศรษฐีและตระกูลคนรวยในสหรัฐให้แบ่งปันความร่ำรวยส่วนใหญ่ให้กับ การกุศล ซึ่งปัจจุบันมีมหาเศรษฐีแสดงความจำนงร่วมโครงการแล้ว 58 คน โดยรายล่าสุดก็คือมหาเศรษฐีรุ่นเล็กอย่าง "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กที่ร่วมโครงการเมื่อเดือนธันวาคม

วกกลับมาที่แนว คิดการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของ "เกตส์" ที่ก่อตั้งมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ ขึ้นเมื่อปี 2537 โดยมอบหมายให้วิลเลียม เอช. เกตส์ ซีเนียร์ เป็นผู้บริหารมูลนิธิ ซึ่งก่อตั้งขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่า ทุกชีวิตในโลกนี้มีคุณค่าเท่าเทียมกัน และมูลนิธิต้องการช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี สำหรับในประเทศกำลังพัฒนานั้นมูลนิธิเน้นช่วยให้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น และหลุดพ้นจากความยากจนและหิวโหย ส่วนในสหรัฐจะมุ่งดำเนินโครงการเพื่อสร้างความมั่นใจว่า คนทุกคนโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส จะมีโอกาสในชีวิตมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะประสบ ความสำเร็จด้านการศึกษาและชีวิตโดยรวม

เจ้าพ่อไมโครซอฟท์เคยให้ สัมภาษณ์ในรายการ "This Week with Christiane Amanpour" เกี่ยวกับ "การให้" โดยอธิบายว่า ความใจบุญเป็นสิ่งที่แพร่หลายง่าย และ ตอนนี้มีคนใจบุญกว่า 40 คนเข้าร่วมโครงการเดอะ กีฟวิ่ง เพลดจ์ ขณะที่อีกหลายคนจะเข้ามาร่วมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

"เมื่อคุณได้ ยินเรื่องคนอื่น "ให้" บ่อยครั้งขึ้น ก็จะกระตุ้นให้คุณทำมากขึ้นเหมือนกัน และคนที่เข้าร่วมโครงการนี้ล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของคนอื่น ซึ่งทำให้พวกเราต้องการทำให้เงินเหล่านี้สร้างประโยชน์สูงสุด"

ที่ ผ่านมาเกตส์พร้อมด้วยเมลินดา เกตส์ คู่ชีวิตของเขา ได้บริจาคเงิน ตลอดจนใช้ความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมเพื่อพยายามแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกผ่านทางกองทุนส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์

เมลินดา เกตส์ บอกเล่าเกี่ยวกับ "การทำเงิน" จากธุรกิจและการตัดสินใจ "สละเงิน" เพื่อเพื่อนมนุษย์ว่า ทั้งเธอและบิลล์ เกตส์ ต่างพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการตอบแทนสังคมมานานแล้ว เพราะทั้งคู่ต่างเติบโตมาในครอบครัวที่มองว่าการทำงานอาสาสมัคร และการตอบแทนสังคมเป็นสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ เธอไม่เคยวัดความสำเร็จจากตัวเลข แต่กลับมองว่าการบริจาคเงินกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ให้กับโครงการต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่เธอภาคภูมิใจ และเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดที่เธอเคยทำมา

ทั้งนี้ แน่นอนว่าในฐานะของมหาเศรษฐีเจ้าของมูลนิธิที่มีเม็ดเงินมหาศาล พร้อมความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ย่อมมีคนจำนวนมากจากหลายโครงการทั่วโลกร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิบิลล์ และเมลินดา เกตส์ แต่มูลนิธิจะเลือกช่วยเหลืออย่างไร ?

สำหรับ ประเด็นนี้บิลล์ เกตส์ อธิบายว่า เมื่อมองรอบด้านแล้วก็จะเห็นว่าเรื่องปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคย เกิดขึ้นกับคนทุกคนในโลกนี้ก็คือ มีสุขภาพดีขึ้น และไม่ใช่เรื่องของการรักษาชีวิตไว้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการ ลดการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย นอกจากนี้จะต้องเปิดโอกาส ให้เด็ก ๆ ได้เล่าเรียน

มหาเศรษฐีใจบุญคู่นี้ได้กล่าวถึงงานของมูลนิธิผ่าน จดหมายเปิดผนึกทางเว็บไซต์ว่า มูลนิธิได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อจัดการกับปัญหายาก ๆ บางปัญหา อาทิ ความยากจนแร้นแค้น และความด้อยคุณภาพของระบบสาธารณสุข ในประเทศกำลังพัฒนา ความล้มเหลวของระบบการศึกษาของสหรัฐ และเหตุผลที่ทั้งคู่เลือกทุ่มเทกับปัญหาไม่กี่ปัญหาเนื่องจากคิดว่าเป็นแนว ทางที่ดีที่สุดที่ก่อให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่ และให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนไม่สามารถใช้ชีวิตให้ดี ที่สุดได้

ในประเด็นเหล่านี้มูลนิธิได้สนับสนุนแนวคิดด้าน นวัตกรรมที่จะช่วยขจัดอุปสรรคดังกล่าว เช่น เทคนิคใหม่ ที่ช่วยให้เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาสามารถปลูกพืชได้มากขึ้นและมีรายได้มาก ขึ้น อุปกรณ์เครื่องมือใหม่ ๆ ที่ช่วยป้องกันโรคร้าย ตลอดจนวิธีการใหม่ ๆ ที่ช่วยการเรียนการสอนในห้องเรียน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเงินมหาศาลและแนวคิดที่ดี แต่ทั้งคู่ยอมรับว่า บางโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิก็ล้มเหลว แต่เขาและเธอก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป เพราะเชื่อว่าบทบาทสำคัญของ "ความใจบุญ" ก็คือการเดิมพันกับทางออกอันเปี่ยมด้วยความหวังที่บรรดารัฐบาลและภาคธุรกิจ อาจไม่สามารถทำได้ และหากโครงการใดประสบความสำเร็จก็จะแบ่งปันความรู้เหล่านั้นเพื่อเอื้อ ประโยชน์ แก่คนอื่น ๆ ด้วย

วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4275 ประชาชาติธุรกิจ

ชาช่วยยั้บยังการสะสมของไขมันในร่างกาย



ผลวิจัยพบว่าการบริโภคชาจะช่วยยั้บยั้งความเสียหายของเลือดที่เชื่อมโยงกับไขมันในอาหารที่นำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ในการศึกษา โดยให้หนูกินอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารปกติ และแบ่งสองกลุ่มเป็นกลุ่มย่อยๆอีก

ต่อจากนั้นให้เครื่องดื่มที่ไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่ม มีน้ำเปล่า ชาดำ ชาเขียว ในเวลา 14 สัปดาห์
กลุ่มที่ดื่มชาทั้งสองชนิดยั้บยั้งการเพิ่มของน้ำหนักตัวและการสะสมของไขมันหน้าท้องเนื่องจากการกินอาหารไขมันสูง แต่ชาดำนั้นช่วยลดอัตรายของไขมันในเลือดได้ดีกว่า การศึกษาของมหาวิทยาลัยโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกเผยแพร่ในในวารสารเกษตรและเคมีอาหาร

พบว่าการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือดสูง และ การต่อต้านอินซูลิน โรคเบาหวานชนิดที่ 2
จะมีผลต่อการผลิตสารอินซูลิน โรคอ้วนในประเทศตะวันตกเพิ่มขึ้นส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยมีการต่อต้านอินซูลลิน 8 ใน 10 ของชาวอังกฤษที่ดื่มชา ดร.แครี่ ลุกตัน ผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมชาดำ กล่าวว่า การศึกษาพบข่าวดีสำหรับผู้ดื่มชาดำ ′แม้ว่าผลการวิจัยจำเป็นต้องได้รับการยืนยันในการศึกษาของมนุษย์การศึกษา ครั้งนี้พบว่าชาช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ พึงประสงค์ในระดับน้ำตาลในเลือด, การแพ้น้ำตาลกลูโคสดื้อต่ออินซูลินและการควบคุมระดับไขมันในหลอดเลือดอาหาร ไขมันสูง ชาดำสามารถต่อต้านอินซูลินและลดคอเลสเตอรอลในเลือด การดื่มชายังเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

โรคมะเร็งและโรคพาร์กินสัน จากงานวิจัยอื่นๆ บ่งบอกว่าการดื่มชาเป็นประจำเป็นเวลา 10 ปีจะช่วยเพิ่มมวลกระดูกได้ แต่แตกต่างกับโกจิเบอรี่ที่เป็นที่นิยม และถูกยกย่องให้เป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงสามารถต่อต้านริ้วรอย ป้องการการเป็นมะเร็งทั้งที่ไม่มีการพิสูจน์ยืนยันผล ศาสตราจารย์ เอ็มเมริโอ มาติเนส แห่งมหาวิทยาลัยแกรนนาดา เตือนว่าเบอรี่เป็นเพียงแฟชั่นเท่านั้น


ข้อมูลจาก : เดลี่เมล์ออนไลน์

พระพิฆเนศ ตำนานเทพแห่งความสำเร็จ



"สิทธิวินายัก" องค์พระพิฆเนศที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดีย
เป็นองค์ประธานของเทวรูปพระพิฆเนศทุกองค์ในโลก































""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ขออำนาจแห่งพระพิฆเนศวร
โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย
ล้วนประสบแต่ความสำเร็จในทุกๆประการด้วยเทอญ



คาถาบูชา บทสวดมนต์ง่ายๆ สำหรับบูชาพระพิฆเนศ
หมายเหตุ : บทสวดของพราหมณ์-ฮินดู จะลงท้ายด้วย...นะมะห์ หรือ นะมะฮา หรือ นะมะหะ
ใช้คำไหนก็ได้ไม่ผิดเพี้ยน ภาษาอังกฤษจะเขียนว่า NAMAH
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
(เป็นบทสวดหลักในการบูชาพระพิฆเนศ
ฟังวิธีออกเสียงที่ถูกต้อง คลิกที่นี่)

โอม พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ทุติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ตะติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
(บทสวดของไทย แต่งขึ้นในภายหลัง สวดทุกวันเพื่อเป็นสิริมงคล)
โองการพินทุ นาถัง อุปปันนัง
พรหมมะโน จะอินโท
พิฆเณศวรโต มหาเทโว
อะหัง วันทามิ สัพพะทา
สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง
สิทธิการิยัง ประสิทธิเมฯ
(สวดขอพรได้ตามประสงค์)

ยังมีบทสวดมนต์
ให้ศึกษาอีกมากมาย
เชิญอ่านที่ รวมบทสวดมนต์

*ดาวน์โหลดเพลงบูชาพระพิฆเนศแบบ MP3