เกรกอรี รัสปูติน
กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน
เจ้าชายเฟลิกซ์ (ซ้าย) คนสำคัญที่วางแผนสังหารรัสปูติน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน (รัสเซีย: Григо́рий Ефи́мович Распу́тин (Grigoriy Efimovič Rasputin); อังกฤษ: Grigori Yefimovich Rasputin) หรือที่นิยมเรียกกันว่า "รัสปูติน" เป็นนักบวช ผู้ที่มีพลังจิตพิเศษที่มีบทบาทในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของประเทศรัสเซีย แต่การมีบทบาทและอิทธิพลของเขานั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ
ก่อนเข้ามามีบทบาทในราชสำนัก
กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1869 ที่หมู่บ้านโปครอฟสกี อำเภอทยูแมน จังหวัดโตบอลส์ก ในไซบีเรีย ในครอบครัวเกษตรกร สันนิษฐานว่าเขามีความเชื่อในนิกายคริสติ และค็อปสตี ซึ่งในสมัยนั้นเป็นนิกายที่นอกรีต ต่อมาในวัยเด็ก รัสปูติน ก็ดูมีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตได้อย่างค่อนข้างถูกต้อง
ในวัยเด็กและวัยหนุ่ม การที่รัสปูตินมีพลังพิเศษที่อธิบายไม่ได้ ประกอบกับอุปนิสัยที่เงียบขรึม และบางครั้งก็ชอบทำอะไรแปลกๆ ทำให้คนรอบข้างหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าพูดด้วย จนใน ค.ศ. 1887 รัสปูติน บวชเป็นนักบวชในนิกายคริสติ พำนักอยู่ในอาราม Verkhoturye และมีมาคาเรีย (Makariy) เป็นอาจารย์ ในช่วงแรก ผู้คนในเมืองที่รัสปูตินพำนัก ต่างนับถือ แต่ต่อมา เมื่อผู้คนพบกับธาตุแท้ ต่างเรียกรัสปูตินว่า Icha หรือ นักบวชวิปลาส
ค.ศ. 1889 รัสปูติน แต่งงานกับ ปราสโกเวีย เฟโอโดรอฟนา ดูโบรวินา (Praskovia Fyodorovna) และมีลูกด้วยกัน 4 คน แต่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก 1 คน ส่วนอีก 3 คน ได้แก่ Dmitri เกิดใน ค.ศ. 1897 , Matryona เกิดใน ค.ศ. 1898 และ Varvara เกิดใน ค.ศ. 1900
ค.ศ. 1901 รัสปูติน ออกเดินทางแสวงบุญไปยัง กรีก และ เยรูซาเลม เป็นเวลา 2 ปี
ค.ศ. 1903 รัสปูติน เดินทางกลับมาถึงรัสเซีย และอ้างตนเป็นผู้มีพลังพิเศษ สามารถทำนายอนาคตและรักษาโรคได้
ค.ศ. 1904 องค์ชายอเล็กไซ พระโอรสองค์โตในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงประสูติ แต่ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย (Haemophillia) หรือพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากพระโลหิตผิดปกติ ซึ่งในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้ พระเจ้าซาร์หาหมอมือดีมาหลายคนก็ไม่สามารถรักษาพระอาการได้
ค.ศ. 1905 รัสปูติน เดินทางมาในพระราชวัง และสามารถรักษาพระอาการป่วยขององค์ชายอเล็กไซได้ (ซึ่งปัจจุบัน ข้อสันนิษฐานที่นักประวัติศาสตร์คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดของวิธีที่รัสปูติ นใช้ คือ สะกดจิตให้องค์ชายหลับไป และปล่อยให้ระบบในพระวรกายเยียวยาองค์ชายอย่างเงียบๆ จนทรงมีพระอาการดีขึ้น) จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (เจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์) พระมารดาขององค์ชายอเล็กไซ และพระเมหสีในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 จึงขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวัง เพื่อดูแลอเล็กไซต่อ ทำให้ชีวิตของรัสปูติน เริ่มมีบทบาทและอำนาจขึ้นมา
[แก้] รัสปูตินในวังหลวง
หลังจากรัสปูตินอยู่ในวังหลวงได้สักพัก รัสปูตินก็เริ่มจัดงานเลี้ยงเพื่อล้างบาป ซึ่งงานเลี้ยงแต่ละครั้ง ก็ใช้เงินมาก และยิ่งนานวัน รัสปูตินยิ่งสั่งจัดงานเลี้ยงล้างบาปบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนดูพร่ำเพรื่อ และคนภายนอกเริ่มมองว่ารัสปูตินต้องการเสวยสุขจากงานเลี้ยงมากกว่า
ค.ศ. 1914 สถานการณ์โลกไม่ค่อยดีนัก มีแววว่าสงครามโลกกำลังจะเกิดขึ้น รัสเซียเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนอดอยากแร้นแค้น พระเจ้าซาร์ทรงให้รัสปูตินลดๆ การจัดงานล้างบาปลงเสียบ้าง เพราะจะได้นำเงินไปใช้ทำสงคราม และดูแลประชาชน รัสปูตินไม่พอใจ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสปูตินก็แกล้งทำนายพระเจ้าซาร์ว่า พระเจ้าซาร์ต้องไปบัญชาการรบเอง รัสเซียจึงจะมีชัย เพื่อให้พระเจ้าซาร์ออกไปรบ และจักรพรรดินีอเล็กซานดรา ซึ่งเชื่อรัสปูตินแทบทุกอย่างได้ปฏิบัติหน้าที่แทน เพื่อรัสปูติน จะได้ทำตามใจตนเอง
ความเดือดร้อนที่ประชาชนแบกรับ ต่อมา ได้เกิดเป็นการประท้วง ตามด้วยการจราจล และการก่อการปฏิวัติ ทำให้พระเจ้าซาร์ ต้องกลับมาจากสนามรบ เมื่อกลับมา รัสปูตินก็ปรนเปรอพระเจ้าซาร์ด้วยงานเลี้ยงรื่นเริงเข้าไปอีก ทำให้พระเจ้าซาร์เริ่มปฏิบัติงานน้อยลง และฝากงานต่างๆ ให้รัสปูตินมากขึ้น จนแทบจะเรียกได้ว่า พระเจ้าซาร์ และจักรพรรดินีอเล็กซานดร้าเป็นหุ่นเชิดของรัสปูติน
การบริหารงานของรัสปูติน เริ่มสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชน จนเริ่มมีแววว่าจะเกิดความวุ่นวายในรัสเซีย
[แก้] จุดจบของรัสปูติน
ค.ศ. 1916 เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูสชูปอฟ (Felix Yussupov) เห็นว่าเก็บรัสปูตินไว้จะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช (Grand Duke Dmitri Pavlovich) ลวงสังหารรัสปูติน โดยจะเชิญรัสปูตินไป โดยอ้างว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในวังเจ้าชาย และจะวางยาพิษไซยาไนด์ในเครื่องดื่มและเค้กของรัสปูติน
เมื่อรัสปูตินทานเค้กจนหมด ก็ดูไม่เป็นอะไร เหมือนไม่ได้ถูกยาพิษใดๆ เจ้าชายเฟลิกซ์จึงยิงปืนใส่รัสปูตินหลายนัด รัสปูตินก็ยังไม่เสียชีวิต เดินออกมาข้างนอกวัง กลุ่มข้าราชบริพารของเจ้าชายเฟลิกซ์ที่เจ้าชายเตรียมไว้ ก็ระดมยิงปืนใส่ ก็ยังไม่เสียชีวิต ผลสุดท้าย ข้าราชบริพารจึงยิงปืนใส่ตารัสปูตินจนตกลงไปในน้ำ เสียชีวิตในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1916 รวมอายุ 47 ปี
3 วันต่อมา ศพของรัสปูตินถูกพบ และถูกส่งไปชันสูตร ผลการชันสูตร พบสารไซยาไนด์และกระสุนปืนจำนวนมากในร่างของรัสปูติน แต่ร่างกายของรัสปูตินเสียชีวิตเพราะการจมน้ำ ส่วนไซยาไนด์และกระสุนปืนนั้นไม่ใช่สาเหตุของการเสียชีวิต
[แก้] หลังการตายของรัสปูติน
ก่อนเสียชีวิต รัสปูตินสามารถทำนายอนาคตตนเองได้ว่ากำลังจะเสียชีวิตเร็วๆ นี้ และได้พบกับคำทำนายบางสิ่ง จึงเขียนคำทำนายฉบับสุดท้ายฝากคนรับใช้ให้ไปส่งให้พระเจ้าซาร์ ฉบับนั้น เขียนไว้ในทำนองว่า ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของสามัญชน ราชวงศ์โรมานอฟจะปกครองรัสเซียไปได้อีกหลายร้อยปี แต่ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าตายโดยเชื้อพระวงศ์ หรือบรรดาศักดิ์ ราชวงศ์โรมานอฟจะถูกโค่นล้มในอีก 2 ปีข้างหน้า นองจากนี้ยังเขียนทำนองว่า รัสปูตินจะเสียชีวิตก่อนที่จดหมายฉบับนี้จะไปถึงพระเจ้าซาร์
ทุกอย่างในคำทำนายเป็นจริง รัสปูติน เสียชีวิตชีวิตก่อนที่คนใช้จะนำจดหมายคำทำนายไปถึงพระเจ้าซาร์ และเมื่อคนที่ฆ่ารัสปูตินเป็น "เจ้าชาย" ดังนั้น ค.ศ. 1917 เกิดการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟจริงๆ หนำซ้ำ ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟถูกตัดสินโทษประหารชีวิต
มี ‘100 ล้าน’ ไม่ยากอย่างที่คิด สูตรรวย ‘ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร’ : กรุงเทพธุรกิจ
เปิดวิธีคิดฉบับ How To..ทำอย่างไร? เคล็ดลับสู่เงิน ‘ร้อยล้าน’ ไม่ใช่แค่ฝันเฟื่อง ‘ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร’ แนะวิธีลงทุนเด็ดๆ โกยกำไรปีละ 20%
“ถ้าคนเราไม่ประหยัด หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ(ใช้) นอกจากไปโกงเขามา ไอ้การโกงนี่มันได้มาแบบเงินล้นฟ้า แต่ก็ไม่มีความสุข ถ้าคนเราทำอาชีพสุจริตแต่ไม่ประหยัด ชีวิตนี้ก็ไม่มีทางร่ำรวย”
วลีเด็ดของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและภาษี วัย 65 ปี ที่ปัจจุบันมีทรัพย์สินเงินทองนับ “พันล้านบาท” จากนิสัยมัธยัสถ์มาตลอดชีวิต
ครอบครัว วลัยเสถียร นับถือคาทอลิก แต่มีความเชื่อว่า โชคดีมาหนเดียวแต่โชคร้ายอาจเกิดขึ้นได้หลายหน ดังนั้น พวกเราต้อง “จ่าย” ให้น้อยกว่า “รับ” เราจึงจะเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ได้ … เมื่อหาเงินมาได้ 10 บาท ก็จะนำไปใช้ 5 บาท ส่วนที่เหลืออีก 5 บาท ก็เก็บออม อาจารย์สุวรรณทำมาแบบนี้ตลอดหลายสิบปี ด้วยความเชื่อที่ว่า หาได้มากน้อยเท่าไรไม่สำคัญ จ่ายมากน้อยเท่าไรเป็นเรื่องสำคัญกว่า
ดร.สุวรรณ สร้าง “เซอร์ไพรส์” ครั้งแสดงบัญชีทรัพย์สินเมื่อตอนเป็น รมช.พาณิชย์ ช่วงปี 2544 ส่วนตัวมีทรัพย์สินมากถึง 557 ล้านบาท ส่วนภรรยามีทรัพย์สิน 121 ล้านบาท สองคนรวมกันมีทรัพย์สินเกือบ 700 ล้านบาท ปัจจุบันอาจารย์เป็นประธานกรรมการ บมจ.เอสวีไอ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา ใครหลายคนอาจเห็นชื่อประธานชมรมคนออมเงิน แอบ “ออมหุ้น” SVI เกือบ 5 ล้านหุ้น มูลค่าเฉียด 12 ล้านบาท มีต้นทุนอยู่ที่หุ้นละ 2.34 บาท ทำเอาหุ้นตัวนี้ “แอบขึ้น” ไปอย่างมากจากเหล่าสาวกที่แห่ซื้อตาม
ตั้งแต่เกษียณจากงานการเมือง ก็หันมาเอาดีทางด้านงานเขียนหนังสือประเภท “ฮาวทู” มีผลงานบนแผงหนังสือนับสิบเล่ม เรียกได้ว่าเป็น “กูรู” ด้านการเงินชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย อาทิ พ่อสอนลูกให้รวย, สอนเมียให้รวย, สอนเพื่อนให้รวย, กลยุทธ์การปลดหนี้ และจ่ายภาษีก็รวยได้ เป็นต้น และเป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนาต่างๆอย่างต่อเนื่อง
ดร.สุวรรณ บอกผ่าน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ถ้าคุณอยากกอดเงิน “ร้อยล้าน” ไม่ได้อยากอย่างที่คิด หากเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 15 ปีขึ้นไป เพราะคงไม่มีใครเก่งมากพอที่จะหาเงินก้อนโตได้ภายในเวลา 3-5 ปีหรอกจริงมั้ย!
หากคุณอยากพบกับ Road to Wealth หรือ หนทางสู่ความมั่งคั่ง ให้ปฏิบัติตัวดังนี้…
ข้อแรก ต้องเป็นคนที่หมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่เรียนจบแล้วก็แล้วกัน ความคิดต้องมีความทันสมัย ก้าวทันทุกเหตุการณ์ ที่สำคัญต้องเก่งภาษาอังกฤษ ไม่เช่นนั้นหากินลำบากแน่นอน
ข้อสอง คุณต้องขยัน เป็นคนหนักเอาเบาสู้ ถึงไหนถึงกัน
ข้อสาม ต้องหมั่นดูแลความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ตัวเองต้องตกอยู่ในความไม่ปลอดภัย
ข้อสุดท้าย คุณต้องรู้จักประหยัด อดออม อย่าโลภเป็นอันขาด เพราะความโลภเป็นหนทางสู่ความไม่มั่นคงในชีวิต ข้อคิดและนิสัยเหล่านี้ ถือพื้นฐานของคนที่จะร่ำรวย
“เงินร้อยล้านบาท ถ้าอยากมีต้องรีบทำ ควรเริ่มคิดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 หรือปี 3 ถ้าช้ากว่านั้นอาจไม่ทันการณ์ แต่ถ้าไม่หวังสูงมาก อยากมีเงินสัก 5 ล้านบาท ก่อนอายุ 40 ปี ก็สามารถทำตามวิธีนี้ได้เหมือนกัน”
การลงทุน เรื่องอายุก็สำคัญ ถ้าหากอายุยังน้อย 20-30 ปี ก็สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มาก เนื่องจากยังมีเวลาการทำงานเหลืออีกมากเมื่อพลาดพลั้งไปก็ยังหาเงินได้ใหม่ แต่หากอายุเยอะไม่ควรลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าผิดพลาดไปก็จะไม่มีเวลาแก้ตัว ชีวิตบั้นปลายจะลำบาก นอกจากนี้ เรื่องการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภทก็มีความสำคัญ
ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่า สมมติ ถ้ามีเงิน 100 บาท อาจแบ่งเงินออกมาราวๆ 50-60% เพื่อนำไปลงทุนในตลาดหุ้น ถ้าเป็นช่วงนี้ก็ควรเน้นหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แต่ควรจะเลือกซื้อตัวไหนบ้าง คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล คงไม่สามารถบอกเป็นตัวๆได้
“ผมไม่ใช่เซียนหุ้น ไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้น ที่สำคัญไม่อยากคุยเรื่องหุ้นเท่าไรนัก” อาจารย์ออกตัว
ส่วนหุ้นกลุ่ม Modern Trade (ธุรกิจค้าปลีก) ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสยามแม็คโคร (MAKRO) ซีพี ออลล์ (CPALL) และบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ส่วนตัวชอบ MAKRO มากที่สุด เพราะเมื่อปี 2552 มีกำไรต่อหุ้นสูงถึง 6.36 บาท เมื่อเทียบกับหุ้น BIGC ที่มีกำไรต่อหุ้นเพียง 3.58 บาท ส่วนหุ้น CPALL มองว่าแพงไปหน่อย แต่หากมองในแง่เงินปันผลก็โอเค
มุมมองส่วนตัวของ ดร.สุวรรณ เชื่อว่า ตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2553 และปี 2554 คงจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าดัชนีสิ้นปี 2553 จะขึ้นจาก 780-790 จุด มายืนแถวๆ 860 จุด หรือบวกมาประมาณ 10% กลุ่มยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ก็ชอบ เพราะหุ้นกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลดี ส่วนตัวมองว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกำลังจะฟื้นตัว หลังลงไปสัมผัส “จุดต่ำสุด” ฉะนั้นหากมีเงินก็รีบหาจังหวะเก็บไว้ได้
โดยเฉพาะ ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) หุ้นตัวนี้เขามีดีตรงเงินปันผล ส่วน อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) ซื้อเก็บไว้ก็ดีเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นหลังสถานการณ์การเมือง และภาวะเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น
ด้านกลุ่มท่องเที่ยว ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามอง เพราะตอนนี้กลุ่มนักธุรกิจกลับมาแล้ว และอีกไม่นานกลุ่มท่องเที่ยวจะตามมา ส่วนกลุ่มที่เข้ามาจัดงานประชุม และแสดงสินค้า อาจยังกล้าๆกลัวๆ คงต้องให้เวลาเขาอีกสักหนึ่งปี
นอกจากการลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอแล้ว กูรูท่านนี้ยังแนะนำว่า ให้นักลงทุนแบ่งเงินประมาณ 10-15% ไปลงทุนในทองคำ เชื่อว่าสิ้นปีนี้ทองคำอาจขึ้นมายืนระดับ 20,000 บาท ได้ไม่ยาก และอีก 5-10% ให้เก็บเป็นเงินสดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ส่วนที่เหลือให้นำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ ดร.สุวรรณ แนะนำมานานแล้ว บ้านของอาจารย์ที่ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานด้วย อยู่ในซอยสุขุมวิท 8 (ซอยปรีดา) อาจารย์ซื้อมาเพียง 5 ล้านบาท เมื่อ 20-30 ปีก่อน ปัจจุบันเฉพาะที่ดินก็มีมูลค่าหลายสิบล้านบาทแล้ว ถ้าเทียบกับฝากเงินแบงก์ ใช้ประโยชน์กับบ้านไม่ได้ แต่บ้านทำให้เราอยู่สบาย
“หากคุณลงทุนตามแบบฉบับของผม รับรองได้ว่าจะได้รับกำไรเข้ากระเป๋าปีละ 20% แน่นอน แต่ทั้งหมดต้องทำบนความไม่เสี่ยง ไม่โลภ และหุ้นแต่ละตัวต้องมีการเติบโตที่ดี และมีเงินปันผลสม่ำเสมอ” อาจารย์ย้ำ
ถามเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ ดร.สุวรรณ เชื่อว่าทุกอย่างคงไปได้ด้วยดี ดูจากราคาสินค้าเกษตรที่มีทิศทางดีขึ้น ปกติประเทศไทยจะส่งออกแต่วัตถุดิบ แต่วันนี้ส่งเป็นสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งการส่งออกในลักษณะนี้จะมีมาร์จินที่ดีกว่า ยิ่งมองไปในธุรกิจยานยนต์จะเห็นเลยว่า ปีนี้ผลิตรถยนต์ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนค่าเงินบาทอาจยืนราวๆ 32.2-32.3 บาท คงไม่ลงไปอยู่ 31 บาทแน่นอน สำหรับราคาน้ำมันอาจนิ่งอยู่ระดับ 80-85 เหรียญต่อบาร์เรล
“ผมมองการเมืองไทย คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะเดือนเมษายน ปี 2554 ก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว”
สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศ ต้องมองว่า 3 ประเทศใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย ก็คงดีขึ้นตามลำดับ แม้จะไม่ดีขึ้นมากมาย แต่ก็ดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิม ส่วนตัวมองว่าประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรราวๆ 100 – 200 ล้านคน จะเป็นประเทศที่น่าจับตามอง เพราะการเมืองเขาดีกว่าเรามาก ฉะนั้น ถ้าเขาขยับทำอะไรขึ้นมา คงมีผลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเหมือนกัน
ถ้าย้อนดูบทสัมภาษณ์เก่าๆ ปรัชญาการใช้ชีวิตของ ดร.สุวรรณ คงหนีไม่พ้นบทเรียนเกี่ยวกับ “คุณค่าของเงิน” ความมัธยัสถ์ อดออม และการใช้เงินทำงาน ที่สำคัญชีวิตนี้อย่าไปเป็นหนี้ เรามีเราใช้เท่าที่มี อยากซื้ออะไรมีตังค์ซื้อก็ซื้อ ถ้าไม่มีตังค์ก็อดออมเอาไว้ก่อน วันหลังมีตังค์ก็ไปซื้อดีที่สุด ทั้งหมดคือหลักการใช้ชีวิตที่ต้องมีการวางแผน และไม่ประมาท
มี 100 ล้าน ไม่ยากอย่างที่คิด สูตรรวย ‘ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร’
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ผู้หญิงแบบไหนมีโอกาสขึ้นคาน
ว่ากันว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะครองตัวเป็นโสดกันมากขึ้น ทั้งนี้ด้วยเหตุผลกลใดน่ะเหรอ? อ่ะก็รู้ๆกันอยู่นี่ว่า เดี๋ยวนี้ฝ่ายหญิงได้รับการศึกษามากขึ้น ดังนั้นจึงสามารถนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาออกไปหางานทำและมีรายได้จนพึ่งพา ตัวเองได้น่ะซี เหตุนี้สาวๆสมัยใหม่จึงมีโอกาสเลือกที่จะแต่งงานมีเหย้ามีเรือนหรือตัดสินใจ ว่าจะอยู่เป็นโสด ไม่จำเป็นต้องมีแฟนมากวนตัวหรือมีลูกมากวนใจไงล่ะ
ซึ่งจริงๆผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปิดตัวเอง ถึงขนาดตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เกิดหรอกว่า ชาตินี้จะอยู่
เป็นโสดถาวรแน่นอนชัวร์ป้าด เพราะถึงยังไงผู้หญิงก็รู้น่าว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ยังต้องการการพึ่งพาอาศัยจากใครสักคนเพื่อช่วยกันเติมเต็มให้ชีวิตของทั้งคู่นั้นสมบูรณ์เพียบพร้อมมากขึ้น
ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้หญิงมากมายจึงอยากมีคู่รักที่พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปจนวันตาย... โอ้โหว่าเข้านั่น เอ้าแต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะผู้หญิงดีๆไม่ค่อยมีใครรักง่ายหน่ายเร็วกันน่ะซี ยกเว้นแต่ไปเจอผู้ชายโหลยโท้ย,ไม่เป็นสุภาพบุรุษ, ไม่ให้เกียรติอิสตรีแถมยังเป็นจอมเจ้าชู้และขี้จุ๊ โอ๊ย...ขืนเจอแบบนี้ แม้ไม่อยากเลิก แต่ถ้าเค้าทำให้ เจ็บช้ำระกำใจบ่อยๆ ก็คงอยากคอนเวิร์สไปตามทางใครทางมันบ้างละว่ะ อ่ะฝ่ายหญิงก็มีหัวจิตหัวใจนะเฟ้ย ถ้าทนไม่ได้ก็คือทนไม่ได้...มันก็แค่นั้น!
แถมปัญหาของการครองคู่ที่ ผู้หญิงได้อ่าน,ได้ยิน,ได้ฟังจากทางสื่อมวลชนรวมทั้งจากเพื่อนๆ และญาติๆของพวกเธอ ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ผู้หญิงกล้าที่จะอยู่เป็นโสดกันด้วยแหละ
หลาย คนยอมรับว่า เข็ดขยาดกับปัญหาของชาวบ้านจนกลัวว่าตัวเองจะเจอปัญหาเดียวกันนี้เข้าบ้าง จึงพยายามตัดปัญหาไม่คบใครให้ลึกซึ้งจนถึงกับจะแต่งงานแต่งการด้วยก็มี พวกนี้อาจถูกล้อว่าเป็นเจ้าสาวที่กลัวฝน...แต่ก็ช่างมันซี เพราะบางทีอาจดีกว่าแต่งงานแล้วเพิ่งรู้ว่าสามีติดเหล้า,เคล้านารี,เจียด เงินไปปรนเปรออีหนู ฯลฯ ซะอีกนะ แต่ถ้าใคร "ทำใจได้" คงไม่มีปัญหาร็อก อีกอย่างไอ้ที่กลัวๆนั่นน่ะ บางทีคู่ของเราอาจไม่เข้าข่ายมีปัญหาครอบครัวก็ได้ เพราะการเลือกคู่ก็คล้ายกับซื้อลอตเตอรี่อย่างที่เค้าว่า
ส่วน สัปดาห์นี้ไม่ได้ตั้งใจเขียนถึงปัญหาครอบครัวหรอกนะ แต่อยากชวนคุยเรื่อง ทำไมสาวบางคน ถึงได้ขึ้นคานกันมากกว่า ซึ่งหากผู้หญิงคนใดอยากเป็นโสดเองก็แล้วไป กระนั้นถ้าสาวคนใดไม่ได้ตั้งใจจะโสดซะหน่อย แต่ทำยังไง้ยังไงเพศตรงข้ามก็ไม่สนใจที่จะจีบหล่อนเป็นแฟนซะที
โอ้ อย่างงี้แสดงว่าสาวรายนั้นต้องมีบุคลิกและนิสัยใจคอบางอย่างที่ทำให้เพศตรงข้ามเมินใส่ และไม่อยากเข้าไปสุงสิงยุ่งเกี่ยวกะเธอแหงๆ อ่ะงั้นบุคลิกหรือนิสัยใจคอของผู้หญิงอย่างไหนหนอ ที่มีส่วนชักพาให้เธอขึ้นคานได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างก็ได้เช่น แอ่น แอ๊น...
1. เรื่องมากแถมยังเอาใจยาก
ไอ้หยาถ้าสาวใดเป็นคนเรื่องมากแถมหากมีใครเข้ามาใกล้ และหมายจะจีบเธอแล้วไซร้ แต่มารู้ทีหลังว่าหล่อนดั๊นเป็นคนที่เอาใจยากตัวแม่ละก็โอ้มายก็อด...นิสัยแบบนี้ ใครทนได้ก็เชื่อเค้าเลย!
แต่พูดก็พูดเหอะ เจ้าอาการเป็นคนเรื่องมากแถมยังเอาใจยากน่ะ คนทั่วๆไปเค้าก็เป็นกันนะ ไม่ใช่ไม่เป็น เอ้าคิดถึงตัวคุณเองก็แล้วกัน บางทีก็เอาใจยากใช่ไหมล่ะ ซึ่งหากเป็นกันนิดเดียวก็ไม่ถือว่าผิดปกติ แต่สำหรับในข้อนี้ ต้องเป็นหญิงที่เข้าข่ายเรื่องมากและเอาใจหล่อนยากอย่างรุนแรง ประมาณว่าถ้าใครอยากคบเธอละก็ต้องทนรอให้เธอแต่งองค์ทรงเครื่องจนคิดว่าตัว เอง สวยเลิศซะก่อน แล้วค่อยยอมไปไหนมาไหนด้วย เพราะหล่อนยึดมั่นกับคำที่ว่าผู้หญิงสวยเพราะแต่ง... นั่นไงล่ะ หล่อนถึงต้องการเวลาเอาใจใส่เสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองมากเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าใครจะจีบหรือเขียนใบสมัครเป็นแฟนของเธอก็ต้องทนตรงนี้ (รอเธอ) ให้ได้นะเฟ้ย ซึ่งนี่ก็แค่แซมเปิลตัวอย่างของความเรื่องมากนะจ๊ะ ของจริงน่ะยังมีอีกเยอะ ไหนจะต้องทำตามที่เธอต้องการทุกอย่างก็ด้วย อู๊ยเป็นงี้สิ มิน่าถึงมีแววขึ้นคานเป็นงี้เอง
2.เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด
หล่อนชอบสั่งนู่นสั่งนี่ให้คนที่อยู่ใกล้ต้องทำตามที่เธอบอกให้ทำเท่านั้น โหถ้าขืนเป็นแบบนี้ คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรอกว่ะ เพราะถ้าเผื่อเมื่อไหร่ หล่อนเกิดรู้สึกว่า ไม่ได้ดังใจคงอาละวาดโวยวายบ้านแตกแน่นอน อย่างว่า พวกเอาแต่ใจตัวเองคงถูกโอ๋มาตั้งแต่แบเบาะ พอโตขึ้นจึงปรับตัวไม่ได้ ดังนั้นใครที่จะมาจีบเธอจึงต้องเข้าใจว่า เค้าเป็นฝ่ายต้องปรับตัวเข้าหาหล่อนเอง แล้วจะมีกี่คนที่ยอมเนอะ
3. คิดว่าตัวเองถูกเสมอ
ถ้าสาวคนไหนคิดว่าตัวเองทำอะไรก็ถูกไปซะหมดแล้วละก็ คนรอบตัวหล่อนก็พึงสังวรไว้เหอะว่า คุณนั้นทำอะไรก็ผิดในสายตาเธอไปซะหมด ซึ่งของพรรค์นี้จะยอมกันได้ไงใช่ไหมฮ้า ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน ย่อมต้องทำถูกมั่ง ผิดบ้างเป็นธรรมดา หากทำใจไม่ได้ว่าตัวเองผิดไม่เป็น แล้วจะอยู่ร่วมกับใครได้ละเนี่ย โถ...หยั่งเงี้ยละสิถึงไม่มีใครกล้าคว้าหล่อนมาเป็นแฟน... รู้ตัวไหม?
4. ขี้เหนียวไม่รู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้างเลยก็ไม่ไหวน้า
สาวรายใดไม่ยอมมีส่วนช่วยออกค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวด้วยกันระหว่างที่กำลังคบ หาดูใจกับใครสักคนซะบ้างละก็ รู้ไว้เถอะว่า ผู้ชายน่ะ เค้าเซ็งผู้หญิงขี้เหนียวแบบนี้มากจ้ะ เพราะการไปมาหาสู่ กันจะปัดให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายของชายข้างเดียวก็แย่ นะซี ทางที่ดีควรหาร หรือผลัดกันจ่ายค่าดินเนอร์, ค่าเอนเตอร์เทน ดูหนัง, ดูคอนเสิร์ตดีกว่านะ หัดแชร์ๆกันออก เค้าจะได้อยากชวนสาวไปไหนมาไหนไม่ดีกว่าเรอะ
5. ชอบใส่อารมณ์กับผู้คนรอบข้างอย่างไร้เหตุผล
หากใครเจอผู้หญิงที่นิสัยอย่างนี้คงอึ้งกิมกี่กันเป็นแถ้ว! เพราะใครบ้างอยากจีบผู้หญิงที่ชอบอารมณ์เสียใส่คนรอบข้าง ยิ่งถ้าเผื่อเป็นคนไร้เหตุผลด้วยละก็งั้นปล่อยให้หล่อนขึ้นคานไปซะละกัน.
@@@
ไทยรัฐออนไลน์
กีวี่..สุดยอดพลังวิตามินซี ต้านมะเร็งร้าย
จากผลการวิจัยของ University of Otago School of Medicine ประเทศนิวซีแลนด์ บอกว่า วิตามินซีสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้ายได้ หลังจากที่พบว่าหากระดับวิตามินซีในเนื้อร้ายอยู่ในระดับต่ำ ปริมาณของโปรตีนที่มีชื่อว่า HIF-1 จะสูง ซึ่ง HIF-1 จะกระตุ้นให้เกิดการลุกลามของมะเร็งได้เร็ว นักวิจัยจึงแนะนำให้ผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเพิ่มระดับวิตามินซี ในร่างกาย เพื่อลดประสิทธิภาพการทำงานของHIF-1 ให้ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการตอบสนองในการรักษาด้วยคีโมได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้วิตามินซียังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์ที่แข็งแรง และมีบทบาทต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเราสามารถเพิ่มระดับวิตามินซีในร่างกายได้ด้วยการทานผลไม้ที่มีวิตามินซี สูง ซึ่งส้มก็เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง แต่ทั้งนี้จากการวิจัยดังกล่าวพบว่าผลไม้อย่างเซสปรีกีวี นั้นมีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 2 เท่าเลยทีเดียว เพียงทานวันละ 1 ผล หรือนำไปทำเป็นอาหาร ก็ได้
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.zespri-sea.com
10 ซีอีโอโลกสุดอื้อฉาว
“ไทม์” นิตยสารการเมืองเศรษฐกิจชั้นนำของสหรัฐ เผยแพร่การจัดอันดับสุดยอดประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ) ชื่ออื้อฉาว 10 อันดับแรกของโลก ผ่านเว็บไซต์ไทม์ดอทคอมกลางสัปดาห์นี้ มอบให้ “เคนเนธ เลย์” อดีตซีอีโอของ เอนรอน ผู้ล่วงลับแล้ว เป็นแชมป์และเป็นตำนานสร้างความอื้อฉาวอย่างที่สุด จนทำให้เอนรอนอดีตบริษัทค้าพลังงานใหญ่สุดของโลกมีอายุกว่า 20 ปี เคยติด 10 อันดับแรกบริษัทใหญ่จากการอันดับของ “ฟอร์จูน” นิตยสารเศรษฐกิจชื่อดังของสหรัฐ ต้องล้มละลายในเวลาเพียงปีเดียว
เลย์เป็นผู้สร้างเอนรอนขึ้นมาในปี 2523 จากนั้น 20 ปีต่อมาคือในปี 2543 เขาได้ผลักดันให้บริษัทค้าแก๊สธรรมชาติเล็กๆธรรมดาอย่าง เอนรอน ผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทค้าพลังงานยักษ์ใหญ่มีมูลค่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เงินหมุนเวียนในบริษัทส่วนใหญ่เกิดจากการตกแต่งบัญชีให้คลุมเครือ เมื่อขาดทุนมหาศาลก็ไม่ได้บันทึกไว้ในงบบัญชี
ต่อมาในเดือนมี.ค.2544 นักวิเคราะห์เริ่มสงสัยการขยายธุรกิจของเอนรอน จากนั้นในเดือนต.ค.ปีเดียวกัน คณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ สั่งสอบงบบัญชีบริษัทและพบความจริงว่า เลย์ กับ เจฟฟรีย์ สกิลลิ่ง อดีตผู้บริหารเอนรอนเช่นกัน ร่วมกันฉ้อฉลยักยอกเงินมหาศาลของบริษัท
ผลสอบสวนทำให้เพียงปีเดียว ราคาหุ้นเอนรอนซึ่งเคยเป็นหุ้นชั้นดีในตลาด ร่วงลงต่อเนื่องจาก 90 ดอลลาร์ต่อหุ้นเหลือไม่ถึง 1 ดอลลาร์หุ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นต้องสูญเสียเงินลงทุนมากมายถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนหัวโจกอย่างเลย์เกิดอาการหัวใจวายเสียชีวิตระหว่างขั้นตอนพิจารณาคดี แต่สกิลลิ่งขณะนี้ยังคงรับโทษจำคุก
มาที่อันดับ 2 ไทม์ มอบให้ “เบอร์นีย์ เอบเบอร์ส” อดีตซีอีโอ เวิลด์ คอม บริษัทสื่อสารใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐขณะนั้น เป็นผู้ก่อชื่อเสียให้วงการสื่อสารโลกมากที่สุด ทั้งๆที่เอบเบอร์สเป็นผู้มีชื่อจารึกในหอเกียรติยศนักธุรกิจของมลรัฐ มิสซิสซิปปี และโชว์ความสามารถก้าวขึ้นเป็นซีอีโอเวิลด์คอมได้ในปี 2538
เอบเบอร์ส ปลุกปั้นเวิลด์คอมที่เป็นเพียงบริษัทเล็กให้ใหญ่ขึ้น ด้วยการเข้าไปซื้อกิจการคู่แข่งหลายราย จนที่สุดทำให้เวิลด์คอมติดกลุ่มบริษัทสื่อสารใหญ่สุดของโลกได้ และในปี 2543 เวิลด์คอมรุ่งเรืองอย่างที่สุด ขณะที่สินทรัพย์ส่วนตัวของเอบเบอร์สช่วงนั้นมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
ต่อมาในปี 2545 ทางการสหรัฐสั่งสอบงบบัญชีคลุมเครือของเวิลด์คอม และพบความจริงซึ่งเป็นที่มาของข้อกล่าวหาฉ้อฉลปกปิดและตกแต่งบัญชีครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งมูลค่าบริษัทขณะนั้นมากกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับเอบเบอร์สถูกกล่าวหานำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว 366 ล้านดอลลาร์
และช่วงที่เกิดข่าวราคาหุ้นเวิลด์คอมดิ่งลงอย่างหนักจาก 64 ดอลลาร์ต่อหุ้น เหลือแค่ 1 ดอลลาร์กว่าๆ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายของผู้ถือหุ้นมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ปัจจุบันเอบเบอร์สยังคงรับโทษจำคุกเป็นเวลา 25 ปี และมีกำหนดพ้นโทษในปี 2571
ส่วนอันดับ 3 อดีตซีอีโอของ ฮิวเลตต์-แพคการ์ด บริษัทไอทีชั้นนำระดับโลก มาร์ค เฮิร์ด เพิ่งเป็นข่าวสดๆร้อนๆ เพราะผลจากการทำผิดศีลธรรมเล็กน้อยไม่ถึงขั้นเลวร้ายอย่างที่สุด แต่ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่เขาได้รับคือ ถูกไล่ออกจากตำแหน่งซีอีโอ เมื่อ วันที่ 6 ส.ค.ปีนี้ เพราะบิดเบือนรายงานค่าใช้จ่ายเพียง 2 หมื่นดอลลาร์ หวังช่วยผู้จัดงานอีเวนท์หญิงเป็นดาราทีวีดังจัดรายการเรียลลิตี้ “โจดี้ ฟิชเชอร์” เพื่อแลกกับสัมพันธ์สวาท แต่ฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วยและเปิดโปงให้โลกรับรู้เสียก่อน
สำหรับ อันดับ 4 ไทม์ยก ให้ “เจมส์ แมคเดอร์มอตต์” เคยทำงานให้ คีฟฟี บูแยตต์ แอนด์ วูดส์ วาณิชธนกิจชั้นนำระดับประเทศของสหรัฐ เผลอให้ข้อมูลดีลควบรวมกับดาราหนังโป๊ “แมริลีน สตาร์” ซึ่งเขามีสัมพันธ์สวาทด้วย และสตาร์ได้เล่าข้อมูลนี้ให้ “แอนโธนี่ ปอมโพนิโอ” คู่นอนอีกคนหนึ่งฟัง
ทั้ง สตาร์ และ ปอมโพนิโอ ใช้ข้อมูลของแมคดอร์มอตต์ ทำเงินจากการซื้อขายในตลาดหุ้นมากกว่า 8 หมื่นดอลลาร์ ต่อมาสตาร์ถูกจับและส่งตัวกลับสหรัฐรับโทษจำคุกไม่กี่เดือน ส่วนแมคเดอร์มอตต์ถูกไล่ออกโดนปรับเป็นเงิน 2.3 แสนดอลลาร์พร้อมโทษจำคุก
มาถึง อันดับ 5 เป็นของ “มาร์ธา สจ๊วต” ซีอีโอผู้สามารถลบชื่อเสียของตัวเอง กลับมาบริหาร มาร์ธา สจ๊วต ลีฟวิ่ง ออมนิมีเดีย ของตัวเองอีกครั้ง แม้เป็นหญิงเก่งก่อตั้งบริษัทจัดเลี้ยงอาหารในปี 2519 มีหนังสือทำอาหารเล่มแรกในปี 2525 ออกนิตยสารได้ในปี 2536 ก่อนขึ้นเป็นประธานและซีอีโอของมาร์ธา สจ๊วต ลีฟวิ่ง ออมนิมีเดียในปี 2540
แต่ในปี 2547 สจ๊วตถูกลงโทษในข้อหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรมบิดเบือนข้อมูลการใช้ข้อมูลภายใน(อินไซเดอร์) ซื้อขายหุ้นอิมโคลน ซิสเทมส์ แต่โทษที่ได้รับคือถูกกักกันในเรือนจำเพียง 5 เดือน และถูกปล่อยตัวกลับมานั่งบริหารบริษัทขยายธุรกิจใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
อันดับ 6 ตกเป็นของ “จอห์น บราวนี่” อดีตซีอีโอ บีพี บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ถูกไล่ออกเพราะโกหกเรื่องส่วนตัว เป็นสัมพันธ์สวาทกับเพื่อนชายชาวแคนาดา เมื่อต้องขึ้นศาลในข้อพิพาทกับสื่อที่ตีพิมพ์ภาพของเขากับเพื่อนชาย โดยบราวนี่โกหกว่า เขาพบเพื่อนชายระหว่างวิ่งออกกำลังสวนแห่งหนึ่ง แต่แท้จริงเขาสานสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์บริษัทจัดหาคู่
สำหรับ อันดับ 7 “ซันเจย์ กุมาร” อดีตซีอีโอของ คอมพิวเตอร์ แอสโซซิเอตส์ ถูกสอบสวนในปี 2547 พบความผิดตกแต่งตัวเลขในบัญชี 2.2 พันล้านดอลลาร์ หลังลาออกและศาลตัดสินรับโทษจำคุก 12 ปีในปี 2549 ระหว่างอยู่ในคุกยังเขียนหนังสือแฉผู้ร่วมทำผิดทั้งอดีตเพื่อนร่วมงานและ นักการเมืองดัง
มาถึง อันดับ 8 “เดวิด เอดมอนด์ซัน” อดีตซีอีโอของ เรดิโอแชค บริษัทค้าปลีกเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของสหรัฐ ถูกไล่ออกเพราะปลอมประวัติการศึกษาได้ปริญญา 2 ใบ สาขาจิตวิทยากับศาสนศาสตร์ จากแปซิฟิก โคสต์ แบบติสท์ คอลเลจ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่แท้จริงเป็นนักศึกษาปี 2 เรียนไม่จบแต่เขาสามารถใช้ประวัติการศึกษาปลอมทำงานในบริษัทนี้นานเกือบ 11 ปี
ส่วน “แฮร์รี่ สโตนไซเฟอร์” อดีตซีอีโอของ โบอิง ทำเรื่องอื้อฉาวสุด อันดับ 9 ต้องหลุดจากตำแหน่งเพราะความผิดรับสินบนจากแอร์ฟรานซ์แล้ว ยังโดนอีเมลลึกลับเปิดโปงสัมพันธ์สวาทระหว่างเขากับ “เดบรา พีบอดี้” ผู้บริหารหญิงของบริษัท หลังสอบสวนพบมูลความผิดจึงต้องลาออกในปี 2546
ท้ายสุด อันดับ 10 “ชุง มอง คู” อดีตประธาน ฮุนได มอเตอร์ ถูกสอบสวนพบความผิดฐานฉ้อโกงเงินประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ จากเงินทั้งหมดที่ใช้ติดสินบนเจ้าหน้าที่ทางการ
การตัดสินคดีครั้งนั้นถือเป็นชัยชนะของกระบวนการยุติธรรม ที่สามารถบังคับใช้กฎหมายสร้างความโปร่งใสให้วงการธุรกิจเกาหลีใต้ แต่ ชุง มอง คู รับโทษเพียงรองลงอาญาจำคุก 3 ปี ก่อนที่ปี 2551 ได้รับอภัยโทษจากผู้นำเกาหลีใต้ขณะนั้น
10 ซีอีโอโลกสุดอื้อฉาว คุมอุตฯสื่อสาร – พลังงานโพลมะกันชี้ชัดผู้ใช้ "ไอ โฟน"มีกิจกรรมทางเพศบ่อย
ผลสำรวจความเห็นของสมาชิกเว็บไซต์หาคู่ชื่อดังในสหรัฐฯ ระบุชัด ผู้ใช้ "ไอโฟน" ทั้งชายหญิงจะมีสัดส่วนกิจกรรมทางเพศสูงกว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนอื่นๆ ขณะที่ผู้หญิงที่ครอบครองโทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟนทั้งหลายมีแนวโน้มจะมี กิจกรรมทางเพศสูงกว่าชาย...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค.โดยอ้างผลการสำรวจความคิดเห็นของเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์ชื่อดังของสหรัฐฯ อย่าง " OKCupid.com " ที่ระบุว่าผู้ใช้โทรศัพท์อัจฉริยะ "ไอโฟน" ของค่าย "แอปเปิล" จะเป็นผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศมากกว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนประเภทอื่นๆ
ผล สำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ระบุว่า หากเปรียบเทียบกันโดยเฉลี่ยในหมู่ผู้ใช้งานโทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟนที่มี อายุ 30 ปีในสหรัฐอเมริกาแล้วจะพบว่า ผู้ชายที่ใช้ " ไอ โฟน" จะมีหญิงสาวที่เป็น "sexual partner" ราว 10 คน ขณะที่ผู้หญิงซึ่งใช้ "ไอ โฟน" จะมีกิจกรรมทางเพศกับชายหนุ่มโดยเฉลี่ยมากถึง 12 คน
ส่วนจำนวน "sexual partner" ของผู้ชายและผู้หญิงที่ใช้โทรศัพท์อัจฉริยะ "แบล็คเบอร์รี" มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8 และ 9 ตามลำดับ ขณะที่ผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนแบบ "แอนดรอยด์" ทั้งเพศชายและหญิงจะมีจำนวนกิจกรรมทางเพศอยู่ที่ 5.9 และ 6 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ใช้ "ไอโฟน" ถึงเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์
นอก จากนั้น ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ครอบครองโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของทั้ง 3 ค่ายมีแนวโน้มที่จะมี "sexual partner" มากกว่าผู้ชาย
อย่าง ไรก็ตาม คริส คอยน์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์หาคู่ชื่อดังแห่งดังกล่าวออกมาระบุว่า การสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่างเฉพาะชาวอเมริกันที่เป็นสมาชิก ของเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าผลการสำรวจจะออกมาในแนวทางเดียวกันหากมีการสำรวจในประเทศ อื่น เนื่องจาก ในหลายประเทศทั่วโลกจำนวนผู้ใช้ "แบล็คเบอร์รี" ก็มีจำนวนมากกว่าผู้ใช้ "ไอ โฟน".