ยอดผู้นำ เหมา เจ๋อตุง



    เหมา เจ๋อตง หรือ เหมา เจ๋อตุง

(จีนตัวเต็ม: 毛澤 ; จีนตัวย่อ: 毛泽东; พินอิน: Máo Zédōng; เวด-ไจลส์: Mao Tse-tung)เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2436 มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ถึงแก่อสัญกรรม 9 กันยายน พ.ศ. 2519 (อายุ 82 ปี) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สังกัดพรรค พรรคคอมมิวนิสต์จีน
เป็นบุตรชายในตระกูลชาวนาเจ้าของที่ดิน จบการศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครู ก่อนจะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากถูกปราบปรามโดยนายพลเจียง ไคเชกเหมาฯ ได้ขึ้นมาเป็นประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศจีน ภายใต้การปกครองของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ชนะสงครามกลางเมืองจีน และปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้




เหมา เจ๋อตงได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเหมา ได้นำประเทศเข้าเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต ก่อนจะแยกตัวมาภายหลัง เขายังเป็นผู้นำให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมเหมาได้รับการยกย่องให้รวมประเทศจีนเป็น ปึกแผ่นอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ใต้อิทธิพลของต่างชาติตั้งแต่สงครามฝิ่น ในประเทศเขาถูกเรียกว่า ประธานเหมา (Chairman Mao) แต่เขาปกครองประเทศจีน และก็มีป้ายปรากฏคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมาจะขอความคิดเห็นกับประชาชนจีน ไม่ช้าหลังจากนั้นเขาก็กำจัดคนที่ออกมาพูดอย่างอำมหิต คนหลายแสนคนถูกระบุว่าเป็นพลเรือนฝ่ายขวาและถูกไล่ออกจากงานคน หลายหมื่นคนถูกส่งเข้าคุก แต่เหมาไม่สนใจอีกต่อไป เขาแวดล้อมด้วยลูกขุนพลอยพยักและมีอิสระที่จะดำเนินตามความคิด ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะคาดเดาปลายทางได้ ปี พ.ศ. 2501 เหมาออกจากปักกิ่งไปเยือนชนบท เขาหมดความอดทนกับความเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า และกังวลว่าการปฏิวัติจะสูญเสียความต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงประเทศ ฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2502 ผลจากความทะเยอทะยานของเหมา ทำให้จีนตกอยู่ในภาวะลำบาก คนทั้งหมู่บ้านเสียชีวิตด้วยความอดอยากเมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกิน เขาก็กินร่างของคนที่เพิ่งตาย ไม่มีใครทราบว่าลัทธิการกินเนื้อมนุษย์ได้แพร่ขยายไปอย่างไร แต่ผู้คนราว 40 ล้านคนต้องเสียชีวิตด้วยความหิวโหย ระหว่างปี พ.ศ. 2502 - 2504 ความสับสนกระจายไปทั่วจีนราวกับพายุขบวนการร้ายกาจถูกตั้งขึ้นเพื่อกำจัดผู้ ที่เป็นกลางทางการเมือง ขบวนการร้ายกาจครอบงำไปทั้งประเทศ ปลายยุค พ.ศ. 2503 มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนถูกฆ่าหรือถูกจำคุกโดยขบวนการร้ายกาจ ขบวนการร้ายกาจถูกปลดหลังจากหลายปีแห่งความวุ่นวายในจีน ตอนนี้เหมาหาวิธีการที่จะเปิดประเทศจีนสู่ประชาคมโลก เป็นการริเริ่มที่สำคัญครั้งสุดท้ายของเขาด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่เกรงกลัว สิ่งใด เขาหันเข้าหาศัตรูคือ สหรัฐอเมริกา โดยปี พ.ศ. 2515 เขาได้เชิญประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งอเมริกา มาที่ปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุม เป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองประเทศในช่วงเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ แต่สุขภาพเหมาก็แย่ลง 18 กันยายน พ.ศ. 2519 เขาเสียชีวิตด้วยอายุ 83 ปี แต่เบื้องหลังความนิ่งเงียบของเขาทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการประหาร ประชากรร่วมชาติกว่า 10 ล้านคน
ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวปี 1960-1965เป็นต้นมา
คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งบทบาทการนำของนายเหมา เจ๋อตง จีนได้ดำเนินหลักนโยบายเศรษฐกิจประชาชาติซึ่งจัดได้ว่าเข้มข้นอย่างเต็ม เปี่ยมไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุง ความมั่นคง ความสมบูรณ์ การยกระดับ รวมถึงได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่าง"การก้าวกระโดดอย่าง รวดเร็ว และผลักดันการเคลื่อนไหวให้เป็นแบบคอมมูนประชาชน อัน ส่งผลให้เศรษฐกิจประชาชาติได้รับการปฎืรูปฟื้นฟูและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
โดยได้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดของฝ่ายซ้ายในแง่ การบริหารงานภาคชนบทและด้านอื่นๆ ประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาข้อขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นนายทุน ซึ่งข้อขัดแย้งนี้นับเป็นเหตุสนับสนุนแห่งการก่อการเคลื่อนไหวด้านการส่ง เสริมการศึกษาสังคมนิยมทั้งในเขตชนบทและในเมือง โดยแนวคิดสำคัญของการเคลื่อนไหวคือ ผู้มี อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องต่อสู้กับลัทธิมหาประเทศของผู้นำพรรค คอมมิวนิสต์โซเวียดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งแทรกแซงและควบคุมจีนให้หลุดจากกัน อย่างเด็ดขาด
โดยแม้ว่าเขาจะมีข้อผิดพลาดที่เกิด ขึ้นอย่างรุนแรงก็ตาม แต่หากมองโดยวัดผลโดยรวมนับได้ว่าเขาเป็นผู้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ต่อการ ปฏิวัติจีนที่มีความสำคัญยิ่งกว่าข้อผิดพลาดที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบัน เหมา เจ๋อตงยังคงได้รับความเคารพนับถือจากชาวจีนโดยทั่งไปอย่างมหาศาลแม้ว่าจะ ล่วงเลยเวลาแห่งการอสัญกรรม นานถึง 5 ปีแล้วก็ตาม
เหมาเจ๋อตง เป็นบุตรชายชาวนา ของอำเภอ เซียงถานในมณฑลหูหนาน ในหมู่บ้านเทือกเขา “เสาซาน” เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวนาชาวไร่ ชื่อว่าหมู่บ้านเสาซาน กว่า 600 ครอบ ครัวส่วนใหญ่แซ่เหมา มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านชื่อ เหมาซุนเซิง และแม่บ้านชื่อ นางเหวินซิเหม่ย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1893 นางเหวินซิเหม่ย ได้ให้กำเนิดบุตรชาย นามว่า เหมาเจ๋อตง มีไฝดำติดตัวมาด้วยที่คาง แต่เนื่องจากว่าบุตรก่อนหน้านี้ 2 คน ชิงลาโลกไปก่อน สองสามีภรรยาเกรงว่าเหตุการณ์จะซ้อรอย จึงนำทารกน้อยนี้ไปฝากให้คุณยายเป็นผู้เลี้ยงดู และก็เซ่นไหว้หินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ริมฝั่งหนองน้ำหน้าบ้าน ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของหินก้อนนี้ เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าหินก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถแผลงฤทธิ์ปัดรังควานได้ และใหทารกน้อยนี้ใช้ แซ่ “ซึ” ซึ่งแปลว่าหิน ตามชื่อแม่บุญธรรม และเพราะเหตุเป็นบุตรนที่ 3 จึงเรียกชื่อว่า “ ซึซานหยาจื่อ” ทารกแซ่ซึคนที่สาม
ขณะเดียวกัน นางเหวินชิเหม่ยมารดา ก็ถือศีลกินเจ เพื่อช่วยส่งผลบุญให้ “ซึน้อย” คนนี้ มีชีวิตรอดปลอดภัย เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไปไปผิดแผกไปจากเด็กชาวนาคนอื่นๆเลย เพียงต่อมา เมื่อเหมาเจ๋อตงผู้นี้เติบใหญ่กลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาแล้ว จึงลือกันไปตามธรรมเนียมว่า ก่อนจะตั้งครรภ์ นางเหวินซิเหม่ยเคยฝันเห็นมังกรเหินฟ้า บ้างก็ว่าวันที่ทารกตกฟาก ทั้งๆที่เป็นฤดูหนาวจัด ก็กลับมีฝนฟ้าคะนองคล้ายจะฉลองผู้มีบุญมาเกิด บ้างก็ว่าเด็กคนนี้พอเกิดก็ติดดาบปราบอธรรมมากับตัวด้วย
วัยเด็กซึซานหยาจื่อ หรือ เหมาเจ๋อตง ได้รับผลจากมารดา เคยถือม้าไม้ตัวเล็กๆ ปากก็ท่องบ่น “ อมิตพุทธ” เดินไปคุกเข่ากหน้าบ้านขึ้นไปบนยอดเขาไหว้เจ้าที่ว่ากันว่าสิงสถิตอยู่บน นั้น เพื่อความอยู่รอดของชีวิตตน เหตุที่ใช้ชื่อว่าเหมาเจ๋ตง เพราะว่า บ้านเกิดอยู่ทางทิศตะวันออกของหนองน้ำใหญ่หน้าบ้าน หนองน้ำในภาษาจีนคือ “เจ๋อ” ตะวันออกคือ “ตง” เมื่อรวมกับแซ่แล้ว จึงมีว่า “ เหมา เจ๋อ ตง” เหมาเจ๋อตง ถือกำเนิดในยุคที่สังคมศักดินาของจีนกำลังตกต่ำ เป็นยุคที่ดินแดนปิตุภูมิถูก และเล็ม กลืนกินอย่างย่ามใจจากมหาอำนาจทั่วโลก เมื่อเขาลืมตาดูโลกได้ไม่กี่เดือน จีนก็รบแพ้จักรวรดิญี่ปุ่น ยับเยิน ในสงครามเจี้ยอู่ ต้องทำสัญญาหม่ากวนอันอัปยศ ยกไต้หวันและเกาะแก่งต่างๆบริเวณนั้นให้ญี่ปุ่น ซ้ำยังต้องต่ายค่าปฏิกรรมสงครามก้อนมหึมาชดใช้ไปด้วย และอีกหลายปี วัยเด็กและวัยรุ่นของเหมาเจ๋อตง ดำรงชีวิตตามประสาเด็กชาวนา อยู่ในท้องนาที่ราบหุบเขาระหว่างอำเภอเซียงถานกับเซียงเซียงในมณฑลหูหนาน ไม่รู้เรื่องราวอื่นใดนอกจากการทำไร่ไถนา เขาก็ เหมือนลูกชาวนาทั่วไป วันหนึ่งๆ ก็ตัดหญ้า เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ควาย ตัดฟืน โม่ข้าว ตำข้าว ปลูกผัก ซนไปตามประสาเด็ก ถูกพ้อเฆี่ยนตีอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังไว้ผมเปียห้อยโตงเตงอยู่ทางท้ายทอยตามแบบของราชวงศ์ชิง ปากก็ท่องบ่นแต่หนังสือที่ถูกบังคับให้เรียนให้ท่อง เช่น “คัมภีร์อักษรสามตัว” “ คัมภีร์ หลุนหยี่” ของขงจื้อ และ คัมภีร์เมิ่งจื่อ ตำราเรียน เก่าค่ำคร่าของปราชญ์ สมัยโบราณ ให้ขึ้นใจ ครอบครัวเหมาเจ๋อตงไม่ใช่ครอบครัวที่มียศ ถาบรรดาศักดิ์อะไร ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน โคตรเหง้าก็เป็นชาวนาธรรมดาสามัญในถิ่นกันดารห่างไกลจากความเจิญ ในความทรงจำของเหมาเจ๋อตง วัยเด็ก เขาต้องจุดตะเกียงน้ำมันด้วยหินเหล็กไฟ่ ได้ยินเสียงกี่กระตุกทอผ้า เสียงกระสวยแล่นไปมา เฉกเช่น เมื่อร้อยพันปีก่อนชั่วนาตาปี ไม่เคยเว้นว่าง หน้า บ้านมีหนองน้ำ ให้เขาลงไปเลานน้ำ ดำหัวสนุกสนาน ไปตามประสา ส่วนพ่อก็ เอาแต่บ่นคำว่า “ กินไม่จน ใช้ไม่จน แต่ใช้ไม่คิดก็จนไปตลอดชาติ ” สิ่งที่เหมาเจ๋อตง มีความประทับใจในวัยเด็กอย่างลึกซึ้งคือ พริกแดงที่ร้อยเป็นพวแขวนห้อยยาวอยู่บนขื่อ มันแขวนอยู่อย่างนั้น จนจำไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ที่นั่นมานานเท่าใดแล้ว
เมื่อเหมา เจ๋อตงมีอายุ ได้ 8 ขวบ ก็เข้าเรียน ในโรงเรียน สอนหนังสือโบราณเอกชนในหมู่บ้าน เขาเรียนอยู่ 5 ปี เริ่มจาก คัมภีร์อักษรสามตัว ต่อด้วยคัมภีร์หลุ่นยี่ เมิ่งจื่อ คัมภีร์ซือจิง เป็นลำดับ ความจำเขาดีมาก หนังสือที่ผ่านตาเขาไปแล้วก็แทบจะไม่มีวันลืม ความทรงจำอันแม่นยำแบบนี้ถึงวัยชราก็ยังมิได้เสื่อมถอย ในการโต้แย้ง การโต้วาที การปาฐกถา การสนทนา เขาสามารถจะหยิบยก เอาสำนวนโบราณออกมาเปรียบเทียบได้ทุกขณะ และยังสามารถอธิบาย ความหมายของมันได้ไม่ผิดเพี้ยน ทำให้ถ้อยคำของเขามีน้ำหนัก น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความคิดของเขาฉับไว อาจารย์ออกหัวข้อให้เขาเขียนเป็นบนความ เขาก็มัก เป็นคนส่งต้นฉบับให้อาจารย์ก่อนเพื่อนเสมอ และเนื่องจากเขาขยันเปิด “พจนานุกรมคังซี” บทเรียนที่อาจารย์ยังไม่ทันสอน เขาก็เข้าใจและรู้ความหมายทั้งหมดแล้ว อาจารย์เห็นแววฉลาดของเขาจึงตั้งชื่อเล่นเรียกเขา ว่า “ผู้ช่วยประหยัดเวลา”


ต่อมาเหมาเจ๋อตงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมตง ซานในอำเภอเซียงเซียง แต่กว่าจะได้ก็ยากเอาการอยู่ เหตุเพราะบิดาไม่อนุญาติต้องใช้เงินมาก เหมาลุจง ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเห็นแววในตัวของเหมาเจ๋อตง จึงพยายามอธิบายผลดีของการเรียนต่อและรับรองว่าเหมาเจ๋อตงได้ไปเรียน โรงเรียนแบบใหม่แล้วต้องทำให้ครอบครัวเงยหน้าอ้าปากได้อย่างแน่นอนบิดาจึงยอมใจอ่อน ภายหลัง เหมาซุ่นเซิง ผู้เป็นบิดาหวังให้บุตรชายรับช่วงกิจการของครอบครัวสืบไป เป็นชาวนาที่พอมีอันจะกินหรือพ่อค้าที่พอเลี้ยงครอบครัวได้ให้อยู่อย่างสบาย ๆได้เท่านั้น เรียนหนังสือมากไปก็ไร้ประโยชน์ ฉะนั้น พอเหมาเจ๋อตงอายุได้ 13 ปี บิดาก็ให้เลิกเรียน เขาเริ่มเข้าร่วมการใช้แรงงานทำไร่ไถนา อย่างเดียวกับพวกผู้ใหญ่ หลังจากการใช้แรงงานประจำวันแล้ว เหมาเจ๋อตงก็หาหนังสืออ่านเหมือนคนตายอดตายอยาก บิดาไม่ชอบให้ลูกชายอ่านหนังสือ เพราะต้องจุดตะเกียงเปลืองน้ำมัน เหมาเจ๋อตง จึงจำต้องใช้ผ้าห่มปิดหน้าต่างไว้ มิให้แสงไปลอดออกไปให้เห็นนอกบ้าน ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี บิดาส่งเขาไปเป็นลูกศิษย์ฝึกหัดที่ร้านขายข้าวแห่งหนึ่งในอำเภอเซียงถาน แต่เหมาเจ๋อตงยืนยัน จะไปเข้าเรียน ที่โรงเรียนตงซานในอำเภอเซียงเซียงอย่างเด็ดเดี่ยว ในการประลองเจตนารมณ์กันในคราวนี้ เรียกได้ว่าเป็น จุดหักเหครั้งแรกสุดในชีวิตของเหมาเจ๋อตงใน 16 ปีแรกแห่งชีวิตเขา เขาได้ใช้ยุทธวิธีรบโอบล้อมวกวนเป็นครั้งแรก โดย การออกไปวิ่งเต้นขอร้องพวกผู้ใหญ่ในตระกูล โดยเฉพาะเหมาลุจงซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนเขามาก่อนให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมบิดา ตน หลังจากการประลองกันหลายยก บิดาก็อ่อนข้อในที่สุด ในความดีใจเหมาเจ๋อตงเขียนกลอนเลียนแบบนักเขียนญี่ปุ่น คนหนึ่งชื่อ ทาคาโมริ เซอิซาน ไว้ให้บิดาว่า “ลูกตัดสินใจไปต่างถิ่น ไม่มีชื่อเสียงจะไม่กลับ ฝังกระดูกไยต้องไว้ที่บ้านเกิด ชีวิตคนใช่จะไร้ภูเขาเขียว”
เหมาเจ๋อตงเรียนอยู่โรงเรียนประถมตงซานได้เพียงเทอมเดียว ครูใหญ่และครูคนอื่นมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ระดับความรู้ของเหมาเจ๋อตง สูงถึง ระดับมัธยมแล้ว จึงมีหนังสือแนะนำให้เหมาไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยม เมื่อเขาไปถึงเมืองฉางซาก็สอบได้ เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเซียงเซียงประจำฉางซา ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน เมื่อเทียบกับความกันดารของเสาซานแล้ว มันเจริญกว่าราวฟ้ากับดิน มีโรงงาน พ่นควันโขมง รถไฟเปิดหวูด ดังลั่นเสียงแสบแก้วหู เรือใหญ่เรือเล็กแล่นสวนกันไปมา ความอึกทึกจอแจของฉางซาทำให้เหมาเจ๋อตงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และในเมืองนี้เอง ที่เขาได้พบเห็นหนังสือพิมพ์ และเกิดความผูกพันกับมันนับแต่นั้นมา เหมาเจ๋อตง เรียนหนังสือไปก็สนใจสถานการณ์บ้านเมือง ด้วยวัย 17 เป็นวัยคึกคะนอง พอทราบเหตุเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมือง จึงเข้าไปฝึกเป็นทหารเพื่อไปร่วมรบกู้ชาติ แต่ก็ทันที่จะได้รบเอาแต่ฝึก รัฐบาลก็มีแต่พังพินาศไปเร็วมาก เหมาเจ๋อตงคิดว่าการปฎิวัติสิ้นสุดลงแล้ว จึงลาออกจากทหารกลับไปเรียนหนังสือตามเดิม ต่อมาได้สอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูที่ 4 ของมณฑลหูหนาน ภายหลังโรงเรียนนี้ยุบไปรวมอยู่กับ โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 เขาก็กลายเป็นนักเรียนของ โรงเรียนใหม่นี้ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนระดับมัธยม ระดับการศึกษาสูงสุดของเหมาเจ๋อตงก็ได้ไปจากที่นี่ แต่มาตรฐานของโรงเรียนนี้สูงมาก เป็นระบบการศึกษา 5 ปี เนื้อหาและความเรียกร้องในการศึกษาไม่สู้จะแตกต่างกับระดับอุดมศึกษามากนัก และระดับการฝึกครูก็เข้มงวด บรรดาอาจารย์ในโรงเรียนไม่ใช่อาจารย์อย่างสุกเอาเผากิน การศึกษาของเหมาเจ๋อตงใน 5 ปีนี้ นับว่ามีความสำคัญต่อเขาพอสมควร


นอกจากการค้นคว้าศึกษาตำรับตำราเรียนแล้ว เขายังมีความเร่าร้อนในการศึกษาจากหนังสือที่ “ไม่มีตัวอักษร” อีกต่างหาก หนังสือที่ไม่มีตัวอักษร นี้ก็คือการปฏิบัติทางสังคม วิธีอ่านหนังสือที่ไม่มีตัวอักษรของเหมาก็น่าประหลาด พวกปัญญาชนที่ตกอับสมัยเก่ามักจะใช้การรับจ้างเขียนจดหมายหรือเขียนป้ายโคลง คู่ติดหน้าบ้านเพื่อเลี้ยงชีพ และขนานนามวิธีขอทานที่แปลงโฉมเช่นนี้ว่า “การศึกษาสัญจร” เหมาชอบใช้แบบวิธีนี้ เช่นไปสังเกตการณ์และสำรวจผู้คนชั้นต่ำสุดของสังคม และมีหลายครั้งที่เข้าก็เคยไปเป็น “ขอทานแปลงโฉม” แบบนี้


เหมาเจ๋อตงในวัยเรียน โดยปกติแล้วเป็นคนเงียบไม่ค่อยพูด เวลาพูดก็ไปตามธรรมชาติ เดินเหินหนักแน่น นอบน้อมถ่อมตน กริยาท่าทางก็เป็นเช่นเดียวกับนักเรียนทั่วไป แต่ถ้าไปมาหาสู่กับเขานาน ก็จะเกิดความรู้สึกว่า ความคิดความอ่านเขากว้างไกล ความสนใจไม่ใฝ่ต่ำ พูดจาเป็นหลักเป็นฐาน ความประพฤติเปิดเผยตรงไปตรงมา ระหว่างที่เรียนที่นี่ เขาก็เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งสมาคมเพื่อนนักเรียนขื้นมาแล้ว ลูกชาวนาเสาซานคนนี้ พอเริ่มต้นก็แสดงให้เห็นความสามารถในการจัดตั้งเป็นพิเศษ ที่ไหนมีมวลชนที่นั่นเหมาเจ๋อตงก็มักจะกลายเป็น “หัวหน้า” คนสำคัญ เพราะเขามีวิธีการมากมาย ความเห็นก็ดี การแก้ไขปัญหาก็มีอะไรที่พิเศษเป็นผลยิ่งกว่าคนอื่น การวินิจฉัยและการคาดคะเนต่อเหตุการณ์ ความเป็นไปก็มักถูกต้องแม่นยำซ้ำยังมีพลังแห่งความโน้มน้าวที่น่าเชื่อถือ จนเป็นที่เห็นชอบ
หลังจากจบการ ศึกษาที่โรงเรียนฝึกหัดครูที่ 1 นี้แล้ว พวกเพื่อนนักเรียนต่างก็วิ่งหางานทำกัน เป็นเจ้าละหวั่น แต่เหมาเจ๋อตงกลับเกิดความคิดที่จะทดสอบชีวิต อีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า “ชีวิตใหม่” ที่แร้นแค้นยากลำบาก ก็คือทุกคนขึ้นเขาไปอยู่บนเขาเย่ลุซานกึ่งทำนากึ่งเรียน ไปเก็บฟืนตามที่ต่างๆ ไปหาบน้ำที่อยู่ห่างไกลจากที่พักใ ช้ถั่วปากอ้าผสมข้าวหุงกิน กินวันละมื้อ หลังจากนั้น ก็ทนหิวเรียนหนังสือกัน อภิปรายสถานการณ์คตั้งแต่เรื่องของจีนไปจนถึงเรื่องของโลก ความคิดนี้ เป็นความคิดเพื่อที่จะแก้ไขสังคมใหม่ ต่อ มาเหมาเจ๋อตงเห็นว่าพวกเขาไม่ควรจับกลุ่มสุ่มหัวกันอยู่แต่ที่นี่ ทางที่ดีที่สุดคือมีใครคนหนึ่งหรือหลายคนรับผิดชอบไปบุกเบิกที่หนึ่งๆทุกหน ทุกแห่งควรจะมีค่ายในทุกที่ เหมาเจ๋อตงได้ส่งสหายของเขาไปศึกษายังต่างแดนศิวิไลซ์ไกลโพ้น แต่ตัวเองกลับโบกมืออำลามองดูพวกเพื่อนๆจากไปทีท่าเรือด้วยความตื้นตัน ภายหลังเขาได้ไปเป็นพนักงานของหอสมุดมหาวิทยาลัยเป่ยผิง ทำให้เค้าได้ใช้โอกาสนี้ หมั่นศึกษาประวัติศาสตร์จีนและเรื่องราวต่างๆจนได้ไปเป็นครูสอนประวัติ ศาสตร์ที่โรงเรียนประถมซิวเย่ในฉางซา เพื่อเผยแพร่สิ่งต่างๆให้กับเยาวชน อีกนัยหนึ่งเพื่อเป็นการบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น แก่นักเรียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆในเป่ยผิงไปด้วย


บทบาทด้านการแต่งงานและครอบครัว
เหมาเจ๋อตง ได้พบกับภรรยาคนแรก นามว่า “หยางไคฮุ่ย” นางเป็นบุตรสาวของอาจารย์หยางชางจื้อ อาจารย์เอกของเหมาเจ๋อตง ในวิทยาลัยครูที่ 1 ที่เหมาเจ๋อตง ให้ความเคารพรักเป็นอย่างสูง ทั้งคู่สานสัมพันธ์กันมาเป็นเวลานานหลายปี บ่มรักกันจนสุกงอม บวกกับความแน่นแฟ้นในความรักชาติของทั้งสองที่ช่วยกันมา ในฤดูหนาวของปี 1920 นั่นเอง ทั้งคู่จึงตกลงใจที่จะร่วมชีวิตเป็นหนึ่งอันเดีนวกัน ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 ตำบลชิงสุ่ยถัง ชานเมืองฉางซา หลักจากสมรสแล้ว หยางไคฮุ่ยก็อุทิศตนให้กับการเคลื่อนไหวปฏิวัติภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง ปี 1922 หยางไคฮุ่ยให้กำเนิดบุตรชาย ชื่อว่า “ เหมาอั้นอิง” ทั้งคู่หอบหิ้วลูกน้อยไปทำงานด้วยเสมอ แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็ตาม ต่อมาปี 1923 หยาง ไคฮุ่ยก็คลอดลูกคนที่สอง ชื่อว่า “เหมาอั้นชิง” และบุตรคนที่ 3 ในปี 1927 ชีวิตครอบครัวของเหมาเจ๋อตง นั้นไม่สวยงามอย่างที่คาดไว้ เพราะว่าเหมาเจ๋อตงนั้นต้องไกลบ้านไปเพื่อปลดปล่อยควารมทุกข์ของประชาชาวจีน ทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกันหลายต่อหลายครั้งจนเมื่อปี 1927 เป็นการพรากจากกันชั่วชีวิต เธอต้องสังเวยชีวิตเมื่อปี 1930 ด้วยการประหารหลังจากที่เธอโดนจับคุมขังด้วยอำนาจของพวก ก๊กมิ่นตั๋ง ต่อมาหลังจากที่ภรรยาสิ้นชีวิตลง กระนั้นเอง บุตรชายทั้ง 3 คน ได้รับการช่วยเหลือให้ออกจาก การคุมขังให้ไปอยู่เซี่ยงไฮ้ ได้เล่าเรียนหนังสือ เวลาผ่านไปหลายเดือน องค์การพรรคคอมมิวนิสต์ถูกเจียงไคเช็คทำลาย ทำให้เหมาเจ๋อตงต้องสูญเสียบุตรชายคนเล็กไปด้วยวัยเพียง 4 ขวบ จากพวกก๊กมิ่นตั๋ง เหมาเจ๋อตงต้องสูญเสียภรรยาสุดรักและคู่คิดการปฏิวัติของเขาไปด้วย ประการฉะนี้ ทว่าใช่แต่เท่านั้น ความสูญเสียของเขายังตามมาอีกมากมาย
เหมา เจ๋อตงส่งลูกชาย เหมาอั๋นอิงคนนี้ไปเข้าร่วมการรบเพื่อ “ต่อต้านอเมริกาช่วยเกาหลี” มีสหายหลายคนคัดค้านยับยั้ง อ้างเหตุว่า งานที่อั๋นอิงทำอยู่ก็สำคัญ ทั้งในวัยเด็ก หลังแม่เสียสละชีวิตไปแล้ว ก็ระเหเร่ร่อนถูกศัตรูตามระควานจนต้องไปเป็นขอทานนานนับหลายปี เวลานี้ก็ขอชดเชยชีวิตในวัยเด็กแก่เขาบ้าง เหมาเจ๋อตงปฏิเสธเสีนงแข็ง “ใครใช้ให้มันมาเป็นลูกเหมาเจ๋อตง ถ้ามันไม่ไปใครยังจะไปกันอีก” เหตุนี้เองทำให้เขาต้องสูญเสียลูกชายในสงครามเกาเหลี นั่นเอง หลังจากนั้นเขาก็มุ่งหน้าต่อสู้เพื่อประชาชนจีนต่อไป จนถึงถึงแก่กรรมในปี 1976 ด้วยวัยเพียง 82 ปี


บทบาทด้านการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์
เหมา เจ๋อ ตง เป็นขบถ! เขาถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาฐานะปานกลาง ซึ่งมีรกรากอยู่ที่หมู่บ้านเซ่าซาน ห่างจากเมืองเซียงถานมาทางตะวันตกประมาณ 22 ไมล์ เมืองเซียงถานนี้ วางตัวถอยห่างจากฉางซา เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน อันเป็นมณฑลซึ่งคติความคิดและข่าวคราวต่างๆ จากปักกิ่งเมืองหลวงของอาณาจักรจีนแพร่สะพัดราวไฟลามทุ่ง ลงมาตามลำน้ำเซียงประมาณ 40 ไมล์ มีผู้กล่าวไว้ว่า เมื่อพูดถึงมณฑลหูหนาน ความคิดในทางปฏิวัติได้เติบโตขยายตัวแพร่หลายไปในหมู่ทหารและนักศึกษาอย่าง รวดเร็วมาก ยิ่งกว่านี้ พวกสมาชิกสมาคมลับเดิมซึ่งมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์แมนจูเช่นกัน ก็ได้แพร่อิทธิพลของตนเองออกไปอย่างเข้มแข็ง พวกนี้ไม่กล้าเริ่มต้นก่อน แต่พวกนี้ก็เหมือนลูกระเบิดที่บรรจุดินระเบิดไว้ พร้อมแล้วที่จะระเบิด กำลังรอให้เราเป็นผู้จุดชนวน

ด้วยเหตุนี้เองเหมาจึงเติบโตขึ้นบนโลกใบนี้ในฐานะผู้เป็นขบถต่อครอบครัว และประเพณีของจีน เหมาเคยกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับ หนึ่งว่า ผลของการประท้วงประทับใจ ผมมาก มันเป็นการสไตร์คที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่รู้กันดีว่า ครอบครัวชาวจีนนั้นอำนาจสูงสุดอยู่ที่พ่อ เหมาเองจึงต้องทำงานอย่างหนัก แม้ว่าเขาจะได้ร่ำเรียนหนังสือ แต่การเรียนนั้นเล่า เพียงเพราะพ่อของเหมาต้องการให้เขาทำบัญชีดีดลูกคิดให้เป็น และพอเหมาอ่านหนังสือออก เขาต้องมาทำบัญชีให้พ่อตอนกลางคืน “...พ่อเป็นนายงานที่เข้มงวดกวดขันมาก ถ้าเห็นผมนั่งเฉยๆ เป็นเกลียดขึ้นมาทีเดียว ถ้าไม่มีบัญชีให้ผมทำก็ต้องให้ผมลงไปทำไร่แทน พ่อเป็นคนโมโหร้าย ตีผมกับน้องชายบ่อยๆ (นอกจากเหมาซึ่งเป็นลูกชายคนหัวปีแล้ว เขายังมีน้องชายอีกสองคน และบิดา-มารดาของเขายังได้รับเด็กหญิงซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องแซ่เดียวกันมา เลี้ยงเป็นลูกอีกคนหนึ่ง) ไม่เคยให้เงินพวกเราเลย อาหารก็อดออมอย่างที่สุด ในวันที่สิบห้าของทุกๆ เดือน จะให้คนงานได้กินไข่กับข้าว แต่เนื้อไม่เคยมีให้กิน สำหรับผมไม่เคยได้ ไม่ว่าจะเนื้อหรือไข่...
เมื่อ เหมาอายุได้ 13 ปี เขาหาวิธีมาโต้แย้งกับพ่อด้วยการอ้างคติของขงจื๊อซึ่งพ่อชอบอ้างเวลาก่นด่า ลูกๆ พ่อ ชอบด่าผมว่า ไม่มีความเคารพนับถือผู้ใหญ่และเกียจคร้าน ผมก็อ้างคติที่ว่า ผู้ใหญ่จะต้องมีความเมตตากรุณาต่อผู้น้อย ต่อข้อที่ว่าผมขี้เกียจ ผมก็อ้างคติที่ว่า ผู้ใหญ่จะต้องทำงานมากกว่าเด็ก พ่อแก่กว่าผมถึงสามเท่า จึงสมควรจะทำงานมากกว่าผม ผมบอกกับพ่อว่าถ้าอายุเท่าพ่อ ผมจะต้องมีกำลังวังชาทำงานได้มากกว่าพ่อแน่ๆ
การที่ เหมา เจ๋อ ตง มีกำลังใจอันแน่วแน่มั่นคงมาแต่ปฐมวัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เขากลายมาเป็นนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดคนหนึ่งของโลก


กบฎต่อประเพณีศักดินา
เหมา เจ๋อตง ในวัยเด็กขณะที่เรียนหนังสืออยู่กับอาจารย์ตามบ้าน ก็ไม่ยอมฝึกเขียนตัวอักษรตามแบบรอยเส้นที่ให้เขียนเป็นตัวอย่างแล้ว การฝึกเขียนตามรอยแบบไม่ใช่นิสัยของเขา ถ้าหากว่า เหมาเจ๋อตงไม่แหกกฎเขียนหนังสือตามแบบที่กำหนด ก็จะไม่มีศิลปะการเขียน ตัวหนังสือท่วงทำนองเหมาเจ๋อตงที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ อาจารย์ โรงเรียนสมัยเก่าจะเข้มงวดกับการสั่งสอนเป็นอย่างยิ่ง ใครฝ่าฝืน การลงโทษทางกายก็ไม่มีใครหลีกพ้น การตีก้น คุกเข่าบนก้อนกรวดหน้าธูปให้ธูปหมดดอก จึงลุกขึ้นได้ เป็นต้น และขนานนามการลงโทษนี้ “ฝึกคนให้ดีจากกระบอง” แต่เหมาเจ๋อตงไม่พอใจกับการลงโทษนี้ เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ เขาก็เริ่มท้าทายกับการผูกมัดเหล่านี้ มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์เรียกชื่อเขาให้ขึ้นมาที่หน้าโต๊ะอาจารย์ท่องหนังสือให้ฟัง แต่เขาไม่ทำตาม และโต้กลับไปว่า “ผมนั่งอยู่ที่นี่ ท่องหนังสือเสียงดังอาจารย์ก็ได้ยิน ทำไมต้องขึ้นไปท่องบนโน้น” ทำให้อาจารย์โกรธมาก ทนไม่ไหวจับเสื้อเขาให้ลุกขึ้น เขาก็ดิ้นหลุดและหนีจากโรงเรียนไป เขารู้ตัวดีว่าทำผิดไม่กล้ากลับบ้าน เดินไปเรื่อยๆจนหลงทาง ทำให้พ่อออกตามหาตัวจนพบ สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ หลังจากการ “ก่อกบฏ” คราวนี้บิดาก็ไม่ดุด่าว่ากล่าวเข้มงวดเหมือนเมื่อก่อน อาจารย์ก็คลายความเคร่งครัดลงไปบ้าง ในใจของเหมาเจ๋อตงเกิดความสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง “การต่อสู้สามารถทำให้ได้ชัยชนะ”
ปีหนึ่งในหมู่บ้านมีชาวนาจนคนหนึ่ง นำชาวนาอดอยากไปแย่งข้าวบ้านเจ้าที่ดินมาแบ่งกันและเปิดโปงเรื่องพฤติกรรม ที่หัวหน้าตระกูลฉ้อโกงเงินบริจาคที่ใช้ซ่อมศาลเจ้าประจำตระกูล ทำให้หัวหน้าตระกูลแค้นมาก จึงจับตัวชาวนาคนนั้น มัดตัวและนำไปที่ศาลเพื่อลงโทษด้วยการโบยตีตามกฏ คนยากจนในตระกูลแม้จะเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ไม่มีใครกล้าปริปาก ในตอนนี้เอง เหมาเจ๋อตงไม่รู้มุดมาจากไหน่ เห็นพวกหัวหน้าตระกูลเตรียมโบย เหมาเจ๋อตง ตะโกนไปว่า “ โบยไม่ได้” พวกชาวบ้าน ที่มีความไม่พอใจเป็นทุนอยู่แล้ว เห็นมีคนส่งเสียงก็ส่งเสียงคัดค้านกันอึกกระทึก เหมาเจ๋อตงเดินออกมาจากฝูงชน “พวกท่านจะโบยคนตามใจชอบได้อย่างไรกัน เขาผิดถูกก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน” หัวหน้าตระกูลงงเป็นไก่ตาแตก เจ้าเด็กน้อยคนนี้เป็นใครกัน มีอำนาจอะไรมาห้ามเขา แต่ก็ไม่สามารถอธิบายความผิดของชาวนาคนนั้นได้ ขืนพูดมากไปก็ยิ่งจะเข้าเนื้อ ซ้ำร้ายชาวบ้านยังแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจของเขาด้วย อึกๆอักๆครู่ใหญ่ลงท้ายก็จำต้องปล่อยไป
เหตุการณ์เรื่องนี้ทำให้หัวหน้า ตระกูลเสียหน้าไปมาก อำนาจล้นฟ้าก็ถูกบั่นทอนลงไป ตรงกันข้ามชื่อเสียงของเหมาเจ๋อตงเรื่มกระเดื่องดังอยู่ในแถบอาณาบริเวณเสา ซานมากขึ้นเรื่อยๆ
ความมุ่งมั่นช่วยชาติ
เมื่ออายุได้ 15 ปี เหมาเจ๋อตง ไปยืมหนังสือเรื่อง “เซิงซื่อเว่ยเอี๋ยน” (ความเห็นในยุคโลกเจริญ) ได้บรรยายถึงความเข้มแข็งและความเจริญของมหาอำนาจจักรวรรดินิยม พรรณนาถึงความเสื่อมโทรมและอ่อนแอของประเทศจีน และส่งเสริมให้ไปศึกษาจากตะวันตก ใช้การศึกษามาช่วยชาติ ทำให้เหมาเจ๋อตงเกิดความรักชาติ อยากจะไปร่ำเรียน แต่ก็โดนปฏิเสธจากบิดา ต่อมาได้อ่านจุลสารอีกเล่มหนึ่งชื่อ “เลี่ยเฉียงกวาเฟินเตอเวยเสี่ยน” (อันตรายที่มหาอำนาจจะตัดแยกแผ่นดินเป็นเสี่ยงๆ) หลังจากทีได้อ่าน เขาเกิดรู้สึกทดท้อกับอนาคตของชาติ โดยเฉพาะคำที่ว่า “อนิจจา ประเทศจีนจะสูญชาติเสียแล้ว” จึงเป็นคำที่กระทบถึงจุดเจ็บอย่างสาหัสในสายเลือด ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเรียนหนังสือต่อของเหมาโดยเพื่อศึกษาด้านความรักชาติ เป็นพิเศษ เวลานั้นด้วยวัย 17 ปี ช่วงที่เขาเรียนไปด้วยก็สนใจสถานการณ์บ้านเมืองแห่งการปฏิวัติที่ใกล้จะ ระเบิด พยายามหาหลักนโยบายปฏิวัติของสมาคมถงเหมิงฮุ่ยมาค้นคว้า ในปีนั้น เขาถึงกบลับเขียนบทความสนับสนุนการปฏิวัติปิดบนกำแพงของโรงเรียนมัธยมเซียง เซียง เสนอแนวความคิดเห็นทางการเมืองของตนออกมาอย่างไม่หวั่นเกรงใคร เมื่อรัฐบาลราชวงศ์ชิงดำเนินการที่เป็นผลเสียแก่แผ่นดิน เขาก็เสนอบทความให้ล้มราชวงศ์ชิงออกมาอย่างกล้าหาญ ให้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ ให้เชิญ ดร.ซุนยัดเซ็นซึ่งอยู่ในญี่ปุ่นกลับมาเป็นประธานาธิบดี คังอิ่วเหวยเป็นนายกรัฐมนตรี เหลียงฉี่เชาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องน่าขำ เพราะดร.ซุนเสนอให้ปฏิวัติคังอิ่วเหวยกับเหลียงฉี่เชาเพียงแต่ขอให้ดำเนิน การปฏิรูป เปลี่ยนแปลงการปกครองก็พอแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เหมาเจ๋อตงก็ควรได้รับการยกย่องเรื่องความกล้าหาญเป็นอย่างมาก
ปณิธานอันยิ่งใหญ่
เหมาเจ๋อตงมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า ประชาชาติจีนมีสมรรถนะอันยิ่งใหญ่มาแต่เดิม เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า การกดขี่ยิ่ง หนัก การต่อต้านก็ยิ่งแรงสั่งสมมาช้านาน เมื่อจะ ระเบิดก็เร็ว เชื่อมั่น อย่างลึกซึ้งว่า การปฏิรูปของประชาชาติจีน จักถึงที่สุดยิ่งกว่าประชาชาติอื่นใด สังคมประชาชาติจีน จักสว่างไสวยิ่งกว่าประชาชาติอื่นใด โชคดีที่สัจธรรมมี ประกายแห่งความสว่างไสวเปล่งแสงอยู่ในตัวของมันเอง หลี่ต้าจาวกับเฉินตุ๊ซิ่วที่อยู่ในศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมของจีนเป่ยผิง ถูกเสียงปืนใหญ่แห่งการปฏิวัติเดือนสิบปลุกให้ตื่น ค้นพบว่าสัทธิมาร์กซนี้เองคือสัจธรรมที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศจีน คนทั้งสองปีติยินดีในการค้นพบของตน ต่าง ออกไปวิ่งเต้นประกาศการค้นพบสัจธรรมของตนในสังคม อยากจะให้ประกายไฟแห่งสัจธรรมนี้ เอิบอาบซึมซาบเข้า ไปในจิตใจของเหล่าเยาวชนที่มีจิตใจดีงามทั้งปวง


เหมาเจ๋อตงซึ่งโชคดีได้รู้จักหลี่ต้าจาวกับเฉิน ตุ๊ซิ่ว และได้รับการสั่งสอนชี้แนะโดยตรงซึ่งหน้าจากผู้อาวุโสทั้งสอง ในช่วงเวลาฤดูร้อนระหว่างปี 1919 ถึง ปี 1920 เป็นจุดหักเหสำคัญที่สุดในชีวิตของเหมาเจ๋อตงอีกจุดหนึ่ง ใน ระยะเวลานั้น เขาได้อ่าน แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ของมาร์กซและเองเกลส์ที่ เฉินวั่งเต้าแปล การต่อสู้ทางชนชั้น ของคาร์ล เค้าท์สกี้ ประวัติสัทธิสังคมนิยม ของเคอร์คับ ตลอดจนทฤษฎีและบทนิพนธ์อื่นๆ ของมาร์กซที่กระจายอยู่ที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก จากนั้นมา เหมาเจ๋อตงก็เริ่มมีมโนสำนึกว่าในประเทศจีน หากประสงค์จะได้รับชัยชนะในการปฏิวัติ ก็จะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งที่บากบั่นมีจิตใจใฝ่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องมี สัทธิ อย่าง หนึ่งที่ทุกคนจะต้องรักษาปฏิบัติร่วมกัน เขาเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า การ ปฏิวัติแบบรัสเซีย เป้นแนวทางการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เมื่อ หนทางอื่นๆ ทุกทาง แม้จะใช้ความพยายามทำอย่างไร ก็มีแต่อับจนสิ้นหวังเจอแต่ทางตันอย่างเดียว การดัดแปลงประเทศจีน จะต้องเดินหนทางการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพและเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ! ลัทธิมาร์กซเป็นสัจธรรมของประชาชนผู้ ถูกกดขี่ถูกขูดรีด เพื่อการเปลี่ยนชีวิตไปสู่การปลด ปล่อยพ้นความทุกข์ยากลำเค็ญของตน ความยิ่งใหญ่แห่งพละกำลังของมัน นับแต่มีประวัติศาสตร์มนุษยชาติเป็นต้นมา ไม่มีทฤษฎีคำสอนหนึ่งใดจะเสมอเหมือน ที่สามารถส่งผลสะเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยชาติและผลักดันวิถีทาง แห่งความคืบหน้าของประวิติศาสตร์ได้อย่างลึกซึ้งถึงปานฉะนี้!


เหมาเจ๋อตงยกย่อง ลัทธิมาร์กซเป็นอย่างสูง เขาชอบเรียกตัวเองเป็น ศิษย์ของมาร์กซ เขาพูดอย่างมีอารมณ์ว่า ใช้เวลา 6 ปี อ่านหนังสือของขงจื้อ 8 ปี เสียไปในหนังสือของลัทธิทุนนิยม ต่อมาจึงได้พบกับลัทธิมาร์กซ คลับ คล้ายคลับคลาจะหมายถึงว่า รู้สึกเสียดายที่เจอช้าไป สักหน่อย ทฤษฎีของลัทธิมาร์กซทำให้ เหมาเจ๋อตงประหนึ่งเจอทางโล่งทะลุปรุโปร่ง เห็นความสว่างไสวในฉับพลันเสริมจิตใจต่อสู้ของเขาให้ฮึกเหิมยิ่งขึ้น


เหมาเจ๋อตงเมื่อมีความเชื่อแน่วแน่ในลัทธิ คอมมิวนิสต์แล้ว ก็ไม่เคยโลเลเลยตลอดชีวิต แม้ว่าในกระบวนการพัฒนาของการปฏิวัติ จะประสบมรสุมหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่าอีกร้อยแปดพันเก้า แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่ ไม่สั่นคลอนเปลี่ยนสีแปรธาตุด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดที่แน่วแน่คนหนึ่ง!
บทบาททางการเมือง การปกครองและกลยุทธ์ต่างๆ
พรสวรรค์ในการจัดตั้ง
ปี 1919 เป็นปีที่ไม่ธรรมดาในประวัติศาสตร์จีน เดือนมกราคมของปีนี้ การประชุมสันติภาพปารีสซึ่งเป็นการ ประชุมแบ่งทรัพย์สินโจรหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลงแล้วได้เปิดการ ประชุมขึ้น ประเทศจีนได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ในฐานะประเทศชนะสงคราม แต่ประเทศลัทธิจักรวรรดินิยมอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี ได้ดำเนินแผนการร้ายที่จะเฉือนตัดแบ่งโลกใหม่ตามอำเภอใจของพวกเขา ถึงกับลดฐานะประเทศจีนให้เป็นประเทศเมืองขึ้นเปิดการอภิปรายในหัวข้อที่ เรียกว่า ปัญหาให้ญี่ปุ่นเป็นผู้รับช่วงสิทธิพิเศษ ของเยอรมนีในซานตง เมื่อข่าวนี้แพร่เข้ามาถึงประเทศจีน ประชาชนทั่วประเทศเปล่งเสียงร้องกึกก้องด้วยความเดือดดาล มรสุมครั้งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นในเมืองเป่ยผิง
ใน ระหว่างนั้น เหมาเจ๋อตงที่พกเอาความคิดใหม่ๆ มามากมายจากเป่ยผิงแดนวัฒนธรรมอันลือชื่อของจีนกลับมาอยู่ฉางซา ก็ไปมาหาสู่กับพวกเพื่อนๆ ในอดีตเป็นประจำมิได้ขาด ครั้งหนึ่งเมื่อพบกับเพื่อนสนิทโจวซื่อจาว เขาก็ปรารภว่า นักเรียนนักศึกษาในเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้กำลังปวดร้าวและเคืองแค้นจากข่าวที่การต่างประเทศของจีนประสบความ ล้มเหลว กำลังบ่มตัวก่อการเคลื่อนไหวรักชาติขึ้น หูหนานก็ควรจะทำด้วย ไม่นานเขาก็เรียกเปิดการประชุมของซินหมินเซี่ยฮุ่ยที่ที่ พักของ เหอซุเหิง ใน โรงเรียนประถมฉู่อิ๋ ในที่ประชุมเหมาเจ๋อตงได้ รายงานแนะนำสถานการณ์โลกหลังสงครามยุโรป การรบพุ่งกันพัลวันของขุนศึกเหนือใต้ในจีน ความพ่ายแพ้ของการต่างประเทศจีนใน การประชุมปารีส ความกังวลใจของประชาชนทั่วประเทศ ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ประชาชนทั่วประเทศกำลังตื่นตัวจากผลสะเทือนของกระแส ความคิดใหม่ทั้งทำการวิเคราะห์และอธิบายอย่างละเอียดให้รับรู้โดยทั่วกัน พร้อมกับเรียกร้องให้สมาชิกทุกคนตระเตรียมการต่อสู้อย่างเต็มที่


วันที่ 4 เดือนพฤษภาคม เนื่องจากรัฐบาลขุนศึกยอมจำนนต่อความกดดันของพวกลัทธิจักรวรรดินิยม ตระเตรียมการลงนามในสนธิสัญญา สันติภาพ ที่ขายชาติ ประชาชนทั่วประเทศสุดจะอดทนต่อไปได้ การเคลื่อนไหวรักชาติที่คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมอย่างเป็น ประวัติการณ์ระเบิดขึ้นในบัดดล! นั่นก็คือ วันที่ประวัติศาสตร์จีนได้บันทึกไว้เป้น การ เคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม”!
ความ หมายทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม อยู่ที่มันมีท่วงท่าที่การปฎิวัติซินไฮ่ไม่เคยมี กล่าวคือ คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและสัทธิศักดินานิยมอย่างถึงที่สุดไม่ยอมประนี ประนอม ส่วนที่นำหน้าในชนชั้นกรรมกรก็เริ่มรับรู้ฐานะทางประวัติศาสตร์และภาระ หน้าที่ทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นตน ค่อยๆ เปลี่ยนจากชนชั้นไร้จิตสำนึกในตัวเองเป็นชนชั้นมีจิตสำนึกของตัวเอง และใช้ท่วงท่าที่เป็นอิสระก้าวขึ้นสู่เวทีการเมือง ทำให้การปฏิวัติของประเทศจีนคืบหน้าไปสู่ขั้นตอนใหม่ ซึ่ง เป็นเครื่องบ่งชี้การเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติวัทธิประชาธิปไตยใหม่ ในขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหววัฒนธรรมใหม่ 4 พฤษภาคม อันไม่ประนีประนอม ยังเป็นการเคลื่อนไหวปลดปล่อยความคิดอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง หลังจาก การเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม แล้ว การเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ เลนินก็ได้กลายเป็นกระแสหลักของเวลานั้น


เหมาเจ๋อตงได้นำเอาความสามารถในการโฆษณาปลุกระดม ที่โดดเด่นเฉพาะตัวของเขาวิ่งเต้นตระเวนเอาความคิดรักชาติแทรกซึมลงไปในวง การสื่อสารวงการศึกษาและวงการอื่นๆ ทั่วนครฉางซา ใน ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกวงการก็ให้การสนองตอบ ด้วยความเร่าร้อน การประลองกำลังระหว่างขุนศึกจาง จิ้งหยาวกับผู้นำนักเรียนนักศึกษาเด็กท้องนาร่างผอมบางในครั้งแรก จางจิ้งหยาวพ่ายแพ้หมดรูป เพื่อที่จะขยายผลสะเทือนให้กว้างใหญ่ออกไป และต้านทานการกดดัน เหมาเจ๋อตงตัดสินใจจัดตั้งองค์กรการนำอย่างเป็นเอกภาพของนักเรียนนักศึกษา ทั่วมณฑล เขากระจายสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ยออกไป ตามโรงเรียนต่างๆ แยกย้ายกันไปดำเนินงานปลุกระดมและจัดตั้ง ไม่นาน สหพันธ์นักเรียนนัก ศึกษาหูหนาน ก็จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ประธานของสมาคมที่ได้รับเลือกชื่อ เผิงหวง เป็นสมาชิกของซินหมินเซี่ยฮุ่ย รับการนำจากเหมาเจ๋อตงโดยตรงหลังจากสหพันธ์นักเรียนนักศึกษาหูหนานก่อตั้ง ขึ้นแล้ว ก็มีมติให้หยุดเรียนทั่วมณฑล เข้าร่วมการเคลื่อนไหวรักชาติของประชาชนทั่วประเทศ


จากนั้นเพื่อช่วงชิงให้ได้รับความเห็นใจและสนับ สนุนจากประชาชนทั่วประเทศ เหมาเจ๋อตงยังจัดตั้งคณผู้แทนนักเรียนนักศึกษาแยกกันไปเป่ยผิง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว เหิงหยาง เฉินโจว จางเต๋อ เป็นต้น โฆษณาความชั่วช้าของจางจิ้งหยาวและจุดประสงค์ในการโค่นจาง ใน ขณะนั้น หูหนานและมณฑลใกล้เคียง การต่อสู้เพื่อโค่นจางจิ้งหยาวก็ปะทุขึ้นเป็นไฟล่ามทุ่ง ผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากมานานถึง 10 เดือน การเคลื่อนไหวขับจางจิ้งหยาวภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงก็สำเร็จ
ความปรีชาทางการเมืองและความสามารถในการจัดตั้งที่เหนือผู้อื่น ของเหมาเจ๋อตง ได้แสดงออกประจักษ์ชัดเป็นครั้งแรกในการต่อสู้คัดค้านลัทธิจักรวรรดินิยมและ คัดค้านลัทธิศักดินานิยมคราวนี้


กลยุทธ์เขียนเสือให้วัวกลัว
เป็นกลยุทธ์ที่ทำกร่างสร้างพลัง หรือแกล้งทำเป็นเข้มแข็งตรงกับคำพังเพยไทย เขียนเสือให้วัวกลัว เหมาเจ๋อตงใช้กลยุทธ์นี้ขณะที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู หมายเลข 1 ของมณฑลหูหนาน หรือกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกของชีวิตเขาในการออกศึกก็ว่าได้ ขณะนั้นสถานการณ์กำลังสับสนอลหม่านจากการทำศึกกลางเมือง ระหว่างขุนศึกก๊กต่างๆ ขุนศึกภาคเหนือ ซึ่งกุมอำนาจรัฐบาลถูกกลุ่มต่างๆรุมทึ้งจนต้องแตกทัพถอยร่นลงมาทางใต้ ซึ่งถูกไล่ขยี้หนีมาถึงเมืองฉางชาและพักพลอยู่นอกเมืองใกล้กับวิทยาลัย พวกทหารได้ฉกชิงปล้นอาหารจองประชาชนด้วยความหิวโหยอาจไม่ หยุดอยู่แค่นอกเมืองเท่านั้นอาจบุกเข้ามาในเมืองสร้างความวุ่นวายเดือดร้อน ผู้คนที่อยู่ในเมืองต่างหวาดวิตกว่าพวกทหารกองพลที่ 8


เรื่องนี้เหมาเจ๋อตง ซึ่งเป็นนักศึกษาหนุ่มแน่น จึงรีบเรียกประชุมกองร้อยนักศึกษาในสังกัด เพื่อหาทางแก้ไข โดยบอกว่าต้องออกไปรบกับพวกทหารเพื่อไมให้พวกมันเข้ามาก่อความเดือดร้อนแก่ ชาวเมือง เพื่อนนักศึกษาบางคนรีบคัดค้าดทันทีโดยทักท้วงว่า กองร้อยนักศึกษามีแต่ปืนไม้ที่ใช้หัดทหารเท่านั้น ไม่มีปืนจริงสักกระบอกจะคิดไปสู้รบกับทหารรัฐบาลขุนศึกที่มีอาวุธพียบลพร้อม อย่างนั้นไม่เป็นการเสียสติไปหรือ เหมาเจ๋อตงหรี่ตา มองหน้าเพื่อนๆ ขี้สงสัยโดยไม่กล่าวว่ากระไร พลางหยิบกระดาษพู่กันมาวาดรูปเสือตัวหนึ่งและวัวอีกตัวหนึ่ง


โดยแบ่งกลุ่มเพื่อนเป็นกลุ่มๆ กลุ่มหนึ่งแสร้งว่าเป็นทหารคอยส่งเสียงโห่ร้อง กลุ่มหนึ่งคอยยิงปืนขึ้นฟ้า ขู่ขวัญ กลุ่มหนึ่งก็ไปขอกำลังเสริมจากตำรวจเพื่อคอยคุมเชิง ทหารได้ยินก็ต่างกลัวคิดว่ากองกำลังมากมาย จึงยอมจำนน


บทบาทด้านการยอมรับศรัทธาจากผู้ตามและ สังคม

ในวัยเด็ก
ปีหนึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวหน้าใบไม้ร่วง ชาวนาเอาข่าวที่ตีจากรวงตากแดดไว้ที่ลานบ้าน ทันใดนั้น เมฆดำก็ลอยมาทุกคนต่างรีบเก็บข้าวหนีฝน แต่เด็กชายเหมาเจ๋อตงแทนที่จะรีบไปเก็บข้าวที่ลานบ้านของตน กลับวิ่งไปช่วยชาวนาอีกบ้านหนึ่งเก็บข้าวก่อน ผลก็คือ ข้าวของบ้านตนเปียกชุ่ม บิดาเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เหมาเจ๋อตง กลับตอบว่า “คนอื่นเขาแย่กว่าเรา ซ้ำยังต้องเสียภาษีด้วย เสียหายไปแม้สักเล็กน้อยเขาก็แย่ สำหรับข้าวของเรา ก็ช่างมันเถอะครับ”
ครั้งหนึ่งบิดาของเหมาเจ๋อตงซื้อหมูจากชาวบ้านมาตัวหนึ่งจ่ายเงินไปตามราคาในขณะนั้น เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านไปไม่กี่วัน บิดาให้เขาไปรับหมูตัวนั้นมา แต่พอเขาไปถึงบ้านนั้น แม่เฒ่าผู้หนึ่งเสื้อผ้ามอมแมมขาดกระรุ่งกระริ่งออกมารับหน้า ถอนหายใจรำพันกับเขาว่า “ดูเถอะ คงจะเป็นบุญของบ้าน หนู ที่ได้กำไรไปสบายๆ” เหมาเจ๋อตงสงสัย ก็ถามต้นสายปลายเหตุว่าเพราะอะไร แม่เฒ่าเล่าว่า “ตอนที่เราขายหมูให้พ่อหนู ราคามันต่ำกว่านี้ เวลานี้ราคาหมูสูงกว่าที่ตกลงกันไว้มาก” เหมาเจ๋อตงสงสาร บอกกับแม่เฒ่าว่า “ผมไม่เอาหมูกลับแล้ว ยายเอาเงินของพ่อผมคืนมา ยายก็เอาหมูไปขายให้ได้ราคาที่ต้องการก็แล้วกัน”


เรื่องราวที่เหมาเจ๋อตงใส่ใจ และช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ในวัยเด็กยังมีอีกมากมาย เช่น เขาเอาเงินในบ้านไปช่วยเหลือเด็กคนอื่นให้ได้เรียนหนังสือ เอาอาหารกลางวันของตนให้เพื่อนที่อดอยากกินเกือบจะตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ อยู่ด้วยกัน เคยถอดเสื้อนวมให้กับคนแปลกหน้าที่นอนหนาวสั่นอยู่ข้างทาง เป็นต้น ถ้าหากว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติของลูก ชาวนาคนนี้แล้ว ความรู้สึกสำนึกต่อชะตากรรมอันระทมทุกข์ของมวลประชาชนที่อดอยากยากจนอย่าง ลึกซึ้ง ก็เป็นพลังขับดันอย่างหนึ่งแห่งการต่อสู้ของเขาในเวลาต่อมา ในฐานะลูกชาวนา เหมาเจ๋อตงคุ้นเคยกับนิสัยใจคอ ความเคยชิน ความรักชอบของชาวนาอย่างสุดซึ้ง คุ้นเคยกับภาษา อารมณ์และแบบวิธีคิดของชาวนาเป็นอย่างดี คุ้นเคยความทุกข์ยาก ภายในส่วนลึกเขารักประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสามารถใกล้ชิดประชาชนเสาซาน หลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับประชาชน ในที่สุดก็ได้รับความเชื่อถือศรัทธาและความรักใคร่สนับสนุนจากประชาชน


ช่วงที่เป็นผู้นำกองทัพแดง
ขณะ ที่เหมาเจ๋อตงกล้าหาญทำสงครามกับทหารรัฐบาลที่มีมากกว่ากันหลายขุม และต้องเผชิญกับขุนศึกที่เก่งกาจจบการศึกษาจบการคึกษาจากโรงเรียนายทหารชี้ นนำทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เหมาเจ๋อตงกลับไม่ละเลยที่จะงัดกลยุทธ์ตำรับโบราณออกมาใช้ให้จั๋งหนับ หยิบมาใช้เมื่อไร เป็นได้เรื่องทุกครั้ง เพราะเหมาไม่ได้ใช้อย่างทื่อๆตามตำรา แต่รู้จักปรับปรุงพลิกแพลงแต่งเติมเปลี่ยนตำราตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป


ขณะนั้น เมื่อเขากุมอำนาจการชี้นำกองทัพแดงได้เด็ดขาดหลังจากการประชุมครั้งสำคัญที่ ตำบลจุนยี่ ระหว่างการเดินทัพทางไกล ขณะนั้น จอมพลเจี่ยงสั่งการด่วนให้ระดมกองทัพรัฐบาลทางภาคใต้ทั้งฟากตะวันออกและ ตะวันตกรวม 5 มณฑล กระจายกำลังกันโอบล้อมรุกคืบเข้าสู่ตำบลจุ่นยี่อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพแดงและเป็น ศูนย์รวมของบรรดาแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางเหตุการณ์สับสนอลม่านนี้เอง เหมาเจ๋อตง ผงาดขึ้นเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในการสั่งการวางแผนรับศึกมหาโหดครั้งนี้
เหมา เจ๋อตงสั่งการให้เคลื่อนทัพขึ้นเหนืออย่างรวดเร็วเพื่อสลัดให้พ้นจากการตาม ล่าของเหล่าทหารรัฐบาลที่โอบล้อมเข้ามาเหมือนแหยักษ์ การ จะยกพลขึ้นเหรือต้องข้ามแม่น้ำฉางเจียง ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นประเทศจีนออกเป็นเหนือกับใต้ การลองภูมิระหว่างจอมพลเจี่ยง กับเหมา เจ๋อตงครั้งแรก เกิดขึ้นในครั้งนี้


จอมพลเจี่ยงขึ้นชื่อเป็นขุนศึกอัจฉริยะคนหนึ่ง ซึ่งมีแผนการรบเหมือนเทวดา บอกให้ งานนนี้จอมพลเจ้าปัญญาต้องการเผด็จศึกคอมมิวนิสต์ให้ได้ในคราวเดียว จึงทุ่มเทพลมหาศาลนับแสนคนวางกำลังตรึงแม่น้ำฉางเจียงทางฝั่งเหนืออย่างไม่ ให้ปลาสักตัวขึ้นฝั่งมาได้เลย ขนาดปลาตัวกระจ้อยร่อยยังไม่อาจพ้นเงื้อมมือไปได้ เหมาเจ๋อตงจะนำทหารแดงนับหมื่นข้ามแม่น้ำได้อย่างไร


เหมาเจ๋อตง แทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารใดๆเลย เขาต้องพิสูจน์ให้ทหารแดงเชื่อมั่นในตัวเขาให้ได้ในโอกาสแรกที่ตนเองกุม อำนาจการบัญชาการด้านยุทธการ จอมทัพเหมาสั่งให้ทหารแดงจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีกำลังพลไม่มากนักบุกเข้าทะลวงค่ายศัตรูที่ถู่เฉิงกับเมืองชิสุ่ย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบยตะเข็บมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) กับมณฑลกุ้ยโจว โถมกำลังเข้าตีอย่างเอาเป็นเอาตายให้เห็นว่า มีความปราถนาแรงกล้าที่จะยึดเมืองเล็กๆทั้งสองแห่งนั้นไว้ให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้ฝ่ายรัฐบาลเข้าใจว่าทหารแดงกำลังรบอย่างจนตรอกและยอมตายเพื่อ อุดมการณ์ไม่คิดหนีสู้ไม่ถอย ฝ่ายจอมพลเจี่ยงไล่ล่า ทหารป่าตกหลุมพรางเข้าใจผิดว่า ทหารแดงคิดสู้ตายด้วยการตีเมืองทั้งสองแห่งนั้นอย่างดุเดือดจริงๆ จึงระดมพลยกกองทัพส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปช่วยทหารรัฐบาลที่อยู่เมืองถู่เฉิงกับ เมืองชิสุ่ย จังหวะสำคัญนั้นเอง เหมาเจ๋อตง ฉกฉวยนาทีทองนำกองทัพแดงส่วนใหญ่ชะแว้บผ่านการสกัดกั้นของทหารรัฐบาล ลุยข้ามน้ำชิสุ่ยหรือแม่น้ำแดงอันเป็นแควแยกของมหานทีแม่น้ำฉางเจียงไปได้ อย่างสะดวก ด้วยกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล ถึงแม้กองทัพแดงต้องสูญเสียไพร่พบส่วนหนึ่งไปในการบุกโจมตีเมืองเล็กๆสอง แห่ง แต่คำนวณและคุ้มค่าชีวิตมาก เมื่อกองทัพแดงส่วนใหญ่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปได้อย่างหวุดหวิดชนิดหายใจ คว่ำ ทหารแดงที่หลุดข้ามฝั่งแม่น้ำได้ จึงเลื่อมใส ศรัทธาในตัวของเหมาเจ๋อตงมากและยอมมอบกายถวายชีวิตให้แก่เหมาเจ๋อตงตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นมา ทหารหัวเห็ดเหล่านั้นกลายเป็นกองทัพพิทักษ์เหมาในกาลต่อมา ซึ่งช่วยค้ำจุนบัลลังก์ให้เหมาเจ๋อตงกลายเป็นประธานเหมาผู้ยิ่งยง ตลอดอายุขัยที่เหลือนานกว่า 40 ปี การเสียสละอีกครั้งของทหารเดงหน่วยนี้ ทำให้ทหารแดงส่วนใหญ่ที่ข้ามฟากไปแล้ว สามารถเดินรุดหน้าไปได้รวดเร็วจนทหารรัฐบาลตามไม่ทัน เพราะต้องพะวงกับทหารแดงหน่วยที่ข้ามกลับมาสกัดกั้นแบบยอมพลีชีพ

การวิเคราะห์
ผู้นำที่แท้คือผู้ที่ให้โดยไม่หวัง สิ่งใดตอบแทน แน่นอนที่สุดหาก เรามองว่า เป้าหมายของการแข่งขันก็คือชัยชนะ ผู้เข้าร่วมแข่งขันทุก คนต่างก็ล้วนแต่ต้องการชัยชนะด้วยกันทั้งนั้น แต่ สำหรับผู้นำที่แท้จริงแล้ว ชัยชนะที่เขาต้องการที่ จะได้มานั้น เขามองมันในฐานะที่เป็นรางวัลสำหรับทุกคน มิ ใช่เพียงเพื่อตัวเขาเท่านั้น ผู้นำที่แท้ต้องการจะเห็นคนทุกคนที่ก้าวเดินไปพร้อมกับเขา มีความสุข ได้รับชัยชนะ ถึงแม้ว่าสายตาของเขาจะจับจ้องอยู่ที่ชัยชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะเพื่อคนทุกคน เขาจะเป็นบุคคลที่คิดถึงตัวเองเป็นคนสุดท้ายเสมอ และ สิ่งที่สำคุญที่สุด ที่ผู้นำ พึงมีคือ ความมีคุณธรรม จริยธรรมและศีลธรรมอันดี ผู้นำที่ได้รับการยอมรับนับถือ มีอำนาจบารมีได้ เพราะความมีคุณธรรมจริยธรรม เป็นที่เลื่องลือ


การที่ผู้นำจำเป็นต้องเป็น ผู้ให้นั้น เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นว่าผู้นำที่แท้จะต้องไม่เห็นแก่ ตัว จะต้องไม่มองประโยชน์เฉพาะส่วนของตน หากผู้ใด ยึดประโยชน์ส่วนของตนเป็นที่ตั้งย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคนผู้ นั้นย่อมมิใช่ผู้นำที่แท้จริง ผู้นำจำเป็นจะต้อง เสียสละ (sacrifice) ภาวะผู้นำกับเรื่องการเสียสละ เป็นสิ่งที่ถือว่าคู่กัน ไม่มีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ใดๆ จะเกิดขึ้นได้ หากปราศจากซึ่งการทุ่มเทและการเสียสละ Ralph Emerson นักปรัชญาชาวอเมริกันได้กล่าวถึงสมดุลของการให้และการรับไว้ว่า ในขณะที่เราให้หรือเสียอะไรบางอย่างไป เราก็มักจะได้อะไรบางอย่างมา และในขณะที่เราได้บางสิ่งบางอย่างมา เราก็มักจะต้องเสียบางสิ่งบางอย่างไปเสมอและด้วย อมตะวาจานี้เราจึงพบว่า ผู้ที่ให้มักจะเป็นผู้ที่ได้รับอะไรๆ อยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มิได้คาดหวังอะไรเป็นสิ่งตอบแทน เข้าทำนองที่ว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ ซึ่ง ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขาได้รับนี้ก็คือศรัทธาอันเป็นผลเนื่องมาจากความสามารถ ที่จะ ซื้อใจผู้ตามได้ นั่นเอง


จากการศึกษาประวัติส่วนตัวแนวความคิดและบทบาทและผลงานต่างๆอันเป็นรากฐานแก่ประเทศจีน โดยเฉพาะบทบาททางด้านการเป็นผู้นำทางการเมืองของ เหมา เจ๋อตง โดยเปรียบเทียบกับทฤษฎีทางด้านผู้นำต่างๆ จะเห็นได้ว่าเหมา เจ๋อตง ถือว่าเป็นสุดยอดผู้นำทางการเมืองท่านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงต่างๆของประเทศจีนสู้การเป็นจีนยุคใหม่ที่เหมา เจ๋อตง ได้มีบทบาทในหลายๆด้าน ซึ่งทำให้ท่านเหมา เจ๋อตง ได้รับการยอมรับจนได้เป็นประธานนาธิบดีของประเทศจีน จนได้นานนามว่า “ ฮ่องเต้นักปฏิวิติ” โดยเฉพาะในยุคท่เรียกว่า “ การปฏิวัติวัฒนธรรม ” โดยที่ตำแหน่ง “ฮ่องเต้” นี้เป็นที่ยกย่องว่าสูงสุดและใหญ่ยิ่งที่สุดของกษัตริย์จีนตามที่เคยมีมาใน อดีต ด้วยเพราะในความปรีชาสามารถของท่าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใด คงเป็นเพราะพรสวรรค์ในตัวท่าน ที่ท่านเกิดมาเพื่อ ปลดปล่อยความลำบาก ยากเข็ญให้กับประชาชนชาวจีน ในฐานะผู้สถาปนาจีนใหม่ขึ้นมาภายใต้ระบอบสังคมนิยมและสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ ขึ้นมา

สามารถสรุปผลการวิเคราะห์ได้ดังนี้ เหมา เจ๋อตง มีภาวะความเป็นผู้นำ และเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปของประเทศจีน โดยสามารถอธิบายและบ่งบอกความเป็นสุดยอดผู้นำของ เหมา เจ๋อตง ได้อย่างชัดเจน จากผลการวิเคราะห์ดังนี้


ความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปของเหมา เจ๋อตง
เหมา เจ๋อตง มีความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปอย่างชัดเจน ผู้ศึกษาขอสรุปความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิง ปฏิรูปของ เหมา เจ๋อตง ได้ดังต่อไปนี้
ความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคม ถือได้ว่าเป็นผู้นำที่มีจริยธรรม รูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจน คือ เหมาเจ๋อตง เป็นผุ้นำชุมชนได้ดีและเป็นผู้จัดตั้งพรรคที่ดียิ่ง
บุคลิกภาพที่น่านับถือ (Charisma) เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และบุคลิกภาพที่ดี
การยอมรับ ความแตกต่างของบุคคล (Individualized consideration) เห็นได้จากความผิดแผกในตัวของเหมาเจ๋อตงและเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากสังคม
การกระตุ้น ให้ใช้สติปัญญา (Intellectual stimulation) เหมาเจ๋อตงมีการกระตุ้นสติปัญญาอยู่เสมอ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือเพื่อเป็นการศึกษาแนวคิดและยุทธวิธีต่างๆ และที่สำคัญในเรื่องของประวัติศาสตร์ต่างๆมากมาย
ความเอาใจใส่ผู้อื่น ถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้พูด หรือรับปากใครไว้ และต้องทำให้ได้
มีความกล้าในการตัดสินใจ เป็นสิ่ง ที่จำเป็นมากความเด็ดขาดเป็นสิ่งสำคัญที่สังคมจีนในขณะนั้นต้องการ แต่การกล้าตัดสินใจที่ดีนั้น ต้องขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ส่วนตน แม้ว่าบางครั้งต้องสูญเสียในความสุขส่วนตัวและครอบครัวของตนก็ตาม

วิเคราะห์บทบาทผู้นำทางการเมืองของ เหมาเจ๋อตง
จากการวิเคราะห์ชีวประวัติเหมา เจ๋อตง จะเห็นได้ว่าไม่ว่าการใช้ชีวิตส่วนตัว หรือการบริหารประเทศเหมาเจ๋อตง จะเป็นคนที่รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์วิเคราะห์เหตุการณ์ด้วยเหตุและผลมาโดย ตลอด โดย สติ ปัญญา ความอดทน มุ่งมั่น วิสัยทัศน์และความตั้งใจจริง รวมทั้งความคิดอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน ตามแบบฉบับของเขาที่ได้ดำเนินชีวิตและการบริหารประเทศจีน รวมแล้วนานกว่า 82 ปี
จะ เห็นได้ว่าการบริหารประเทศของเหมาเจ๋อตงมีการวิเคราะห์และหาเหตุผลอยู่เสมอ มา ถึงแม้ว่าท่านจะถึงแก่กรรมไปแล้วก็ตาม ท่านได้ทิ้งสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งแก่ประชนชาวจีน เพื่อไม่ให้สิ่งที่ท่านทำมาทั้งชีวิตไม่ให้เสียเปล่า โดยทิ้งไว้ให้กับยอดขุนศึกของท่านได้นำมาแก้ไขปัญหาได้อีก ขอยกตัวอย่าง กรณีแก๊ง 4 คน คือ เรื่องแก๊งสี่คนคือการชิงรักหักสวาท หักเหลี่ยมอำนาจกันระหว่างคนมีเหลี่ยมกับคนไม่มีเหลี่ยม เป็นเกมหักเหลี่ยมด้วยเล่ห์กลการเมืองที่ลึกซึ้งผิดกับยุคก่อนๆ ที่ว่ากันซึ่งหน้า ประธานเหมาเจ๋อตงจึงได้ใช้เป็น ที่คิดอ่านวางแผนกำจัดแก๊งสี่คน คืนความสงบสุขสู่ประเทศจีน แผนกำจัดแก๊งสี่คนก็คือแผนการเดียวกันกับแผนการที่จูกัดเหลียงขงเบ้งกำหนด ขึ้นเพื่อกำจัดอุยเอี๋ยน นายพลผู้เป็นทหารเสือและทหารเอกของกองทัพเสฉวน ที่ร่วมทัพบุกแคว้นเว่ยกับขงเบ้งในครั้งสุดท้าย

เหตุการณ์นี้ ได้ประจักษ์ต่อ ประชาชนจีนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ประธานเหมาได้มอบเป็นของขวัญให้แก่ประชาชนจีน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งที่ท่านทุ่มเทมาทั้งชีวิต ต้องไม่สูญเปล่า เพราะด้วยความปรีชาและความสามารถทางการเมืองของท่านเหมาเจ๋อตง นั่นเอง
วิเคราะห์ บทบาทผู้นำทางการเมือง ของ เหมาเจ๋อตง ได้ดังนี้
มีการคิดวางแผนที่เป็นระบบเป็นขั้นตอน ด้วยพื้นฐานของเหตุและผล
มีการใช้กลยุทธ์แบบพลิกแพลงเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ การเมืองขณะนั้นได้ดี
มีการวิสัยทัศน์กว้างไกล เล็งเห็นปัญหาที่แท้จริง
มีสติ ปัญญา ความอดทน มุ่นมั่นและความตั้งใจจริง
มีความเมตตา กรุณา ต่อประชาชนชาวจีนอย่างลึกซึ้ง
มีความเพียรพยายามที่จะนำชาวจีนไปสู่จีนใหม่ได้อย่างสำเร็จ
มีความแม่นยำในการตัดสินใจทางการเมือง
อุทิศชีวิตส่วนตน เพื่อการปฏิวิติวัฒนธรรมจีนให้ถึงที่สุด

จากการศึกษา จะเห็นว่าเหมาเจ๋อตง มีคุณลักษณะภาวะผู้นำมาแต่กำเนิด โดยมีความเฉลียวฉลาดเป็นพื้นฐาน และมีการพัฒนาต่อมาในช่วงวัยเรียน ได้มีโอกาสได้ศึกษาตำรับตำราต่างๆในเรื่องประวัติศาสตร์และกลยุทธ์ที่ชัดเจน จะเห็นได้จากการมีความสามารถในการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์และการปฏิวัติ วัฒนธรรมจีนใหม่ เป็นผู้นำของกลุ่ม จนกระทั่งเติบโตในลำดับต่อมาภายหลังจากการเป็นผู้นำกองกำลังต่างๆ จนได้เป็นผู้นำของทุกกองพล ความเป็นสุดยอดผู้นำนั้นออกมาโดยการพัฒนาตนเอง การใช้การบริหารเชิงกลยุทธ์เฉพาะตัว โดยมีการปรับเปลี่ยนแผนเพิ่มเติม เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในขณะนั้น อีกทั้งยังสามารถพัฒนาตนเองและพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี จาก ทฤษฎีภาวะผู้นำ ตามสถานการณ์ที่สำคัญ โดยมีพื้นฐานที่การตัดสินใจของผู้นำกับการปฏิบัติงานของกลุ่มผู้ตาม ซึ่งการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนี้ ส่งผลสำเร็จแก่เหมาเจ๋อตงมาก และก่อให้เกิดการยอมรับของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างยิ่ง ทฤษฎี นี้ได้วิเคราะห์จาก แบบจำลองปทัสฐานการมีส่วนร่วมของวรูมและเย็ททัน โดยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแบบต่างๆตามภาพ
การตัดสินใจ นั้นมีตัวแปรต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของเหมาเจ๋อตงทั้งสิ้น เหมาเจ๋อตุง เป็นสุดยอดผู้นำทีมี่การตัดสินใจที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ที่สามารถจูงใจประชาชนจีนทั้งประเทศให้มีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจของเขา ภายใต้ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในจีน อันได้แก่ ตัวแปรเหตุ ตัว แปรสอดแทรก ตัวแปรตาม และตัวแปรจากสถานการณ์ ผู้ ศึกษาจึงขอสรุปตัวแบบภาวะผู้นำของ เหมาเจ๋อตง ได้ดังนี้
การเป็นผู้นำที่สามารถแก้ไขปัญหาและทำการตัดสินใจด้วย ตนเอง โดยอาศัยข้อมูลต่างๆที่เขามีอยู่ในขณะนั้นจากการมีส่วนร่วมของผู้ตาม
การเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์หาเหตุผล จากข้อมูลที่จำเป็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วจึงตัดสินใจแก้ไขปัญหา ภายใต้ความร่วมมือของผู้ตาม
เป็นผู้นำที่มีการ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น และเชื่อมั่นสูง
เป็นผู้นำที่สามารถนำสมาชิกไปในทิศทางของเป้าหมายที่ ต้องการ
เป็นผู้นำที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและกลุ่ม
เป็นผู้นำที่มีคุณลักษณะการเป็นผู้นำที่ดี
ความมีประสิทธิผลของภาวะผู้นำ ของเหมาเจ๋อตง
1. ผู้นำที่มีประสิทธิผล (Effective Managers) คือ ผู้นำที่สามารถทำให้ผู้ตามมีผลงานดีและมีความพึงพอใจ ซึ่งเหมาเจ๋อตุงสามารถทำ ให้เกิดกองทัพแดง และแผ่อิทธิพลได้สำเร็จ
2. ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ (Successful Managers) คือ ผู้นำที่ได้รับการสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยบุคลิกและลักษณะความเป็นผู้นำของ เหมาที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้นแล้ว

การศึกษาและนำไปใช้ประโยชน์
สามารถนำผลการศึกษามาใช้ประโยชน์ในการเป็นผู้นำที่ดีได้ ดังนี้
1) ผู้นำต้องมีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา รู้จักคิดอย่างมีระบบ อีกทั้งต้องมีการวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ มีความใฝ่สูง หวังสูง หวังความเป็นเลิศ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ รู้จักเรียนรู้ความผิดพลาดจากประสบการณ์ รวมถึงความไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว
2) ผู้นำต้องมีความสามารถในการสื่อสาร มีการให้ความสำคัญกับมิตรภาพ มีความรู้เรื่องกลยุทธ์ต่างๆในการบริหารและต้องสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
3) ผู้นำต้องเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม รู้จักยอมรับ ศรัทธา ต่อตนเองและผู้อื่น
4) ผู้นำที่มีการตัดสินใจที่แน่วแน่ และมุ่งมั่น ไม่ลังเลต่อสิ่งที่ตัดสินใจไปและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
5) เป็นผู้นำที่สามารถจูงใจสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ตามตามสถานการณ์ได้สำเร็จ

พูนศุข พนมยงค์ สตรีผู้ไม่ขอรับเกียรติใด ๆ ทั้งสิ้น

เรื่อง : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
(หมายเหตุ คัดบางส่วนมาจาก นิตยสารสารคดี ฉ. 269 กรกฎาคม 2550)


ถ่ายที่ทำเนียบท่าช้างในปี ๒๕๔๔ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๖๐ ปีขบวนการเสรีไทย
(ภาพ : บุญกิจ สุทธิญาณานนท์)

ทายาทท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ ๘ มีอาการทางโรคหัวใจ จึงได้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ต่อมาในค่ำวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันปรีดี พนมยงค์ อาการของท่านผู้หญิงได้ทรุดหนักลงโดยลำดับ กระทั่งได้ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบ เมื่อเวลา ๐๒.๐๐ น. ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริอายุ ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน

ทั้งนี้ทายาทของท่านผู้หญิง ขอขอบคุณคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ได้พยายามดูแลรักษาจนสุดความสามารถอย่างดียิ่งทุกประการ

ในการจัดพิธีศพท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ทายาทจะปฏิบัติตาม “คำสั่งถึงลูก” ที่ท่านผู้หญิงได้เขียนไว้ด้วยลายมือ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๑ ความว่า

คำสั่งถึงลูก ๆ ทุกคน
เมื่อแม่สิ้นชีวิต ขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑) นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที เมื่อหมอตรวจว่าหมดลมหายใจแน่แล้ว
๒) ไม่ขอรับเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น
๓) ประกาศทางวิทยุ และลงหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติมิตรทราบ
๔) ไม่มีการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ไม่รบกวนญาติมิตรที่ต้องมาร่วมงาน
๕) มีพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยนิมนต์พระที่แม่นับถือแสดงธรรมกถา (เช่นเดียวกับที่จัดให้ปาล) และทำบัตรสำหรับหนังสือที่ระลึก
๖) ไม่รบกวนญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือเงินช่วยทำบุญ
๗) เมื่อโรงพยาบาลคืนศพมาก็ทำการฌาปนกิจอย่างเรียบง่าย
๘) ให้นำอัฐิและอังคารไปลอยที่ปากน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่เกิด
๙) หากมีเงินบ้าง ก็ขอให้บริจาคเป็นทานแก่มูลนิธิต่าง ๆ ที่ทำสาธารณกุศล
๑๐) ขอให้ลูกทุกคนปฏิบัติตามที่แม่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องฟังความเห็นผู้หวังดีทั้งหลาย ลูก ๆ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งแม่จงมีความสุขความเจริญ
พูนศุข พนมยงค์

ในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ผ่านทั้งความสุข ความทุกข์ยาก การถูกใส่ร้ายป้ายสีต่าง ๆ นานา และมรสุมชีวิตที่โถมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยังยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งร้ายรอบตัวได้อย่างเด็ดเดี่ยว มีสติมั่นคง และรักษาตัวเองให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้ตลอดชีวิต หญิงผู้นั้นนาม พูนศุข พนมยงค์

พูนศุข พนมยงค์ เป็นลูกพระยา เกิดในตระกูลชนชั้นสูงในสังคม แต่งงานกับนายปรีดี พนมยงค์ ลูกชาวนา ดอกเตอร์หนุ่มจากฝรั่งเศสซึ่งภายหลังกลายมาเป็นผู้ก่อการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เป็นภรรยารัฐมนตรี ภรรยาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภรรยานายกรัฐมนตรี เป็นท่านผู้หญิงอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง ๒๘ ปี สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ต่อสู้ลับ ๆ กับกองทัพญี่ปุ่น ช่วยให้ประเทศไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจ แต่ภายหลังสามีถูกใส่ร้ายว่ามีส่วนพัวพันในกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ ถูกทหารยิงปืนกลกราดเข้ามาในบ้านเมื่อเกิดรัฐประหาร ๒๔๙๐ ต่อมาถูกจองจำในข้อหากบฏ ลูกชายถูกจับติดคุก จนกระทั่งต้องหนีตามสามีลี้ภัยไปอยู่ต่างแดนด้วยความขมขื่นใจ สุดท้ายกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทยด้วยความสงบ ให้อภัยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ดำรงตนเป็นแบบอย่างให้แก่ชนรุ่นหลังได้กราบไหว้ด้วยความสนิทใจ แม้กระทั่งคำสั่งเสียในวาระสุดท้ายของชีวิต

“ไม่ขอรับเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น”

พูนศุข วัย ๑๓ ปี เมื่อครั้งเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์

วัยเด็ก

“ดิฉันเริ่มเข้าโรงเรียนเมื่ออายุได้ราว ๖ ขวบ คุณพ่อได้เลือกให้ดิฉันไปเรียนโรงเรียนฝรั่ง คือ โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ย่านถนนสีลม ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นโรงเรียนฝรั่งที่โก้มากและแพง เพื่อนร่วมชั้นของดิฉันมีคุณหญิงแร่ม พรหมโมบล คุณหญิงละไม หงส์ยนต์ คุณเจริญ ชูพันธุ์ ม.ล. ต่อ กฤดากร...”

พูนศุข ณ ป้อมเพชร์ เป็นบุตรคนที่ ๓ ของคุณหญิงเพ็ง (สุวรรณศร) และพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งเวลานั้นดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสมุทรปราการ เกิดในจวนเจ้าเมือง เมื่อวันอังคารขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีกุน ร.ศ. ๑๓๐ เวลา ๗ นาฬิกา ๒๐ นาที ตรงกับวันที่ ๒ มกราคม ปฏิทินขณะนั้นเป็น พ.ศ. ๒๔๕๔ (ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๓ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศพระบรมราชโองการใช้วันที่ ๑ มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่แทนวันที่ ๑ เมษายนที่เคยใช้มาแต่เดิม ทำให้วันที่ ๒ มกราคม ร.ศ. ๑๓๐ เปลี่ยนเป็น พ.ศ. ๒๔๕๕)

พออายุได้ ๔ เดือนเศษ บิดามารดาได้ขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) ในรัชกาลที่ ๖ เพื่อขอรับพระราชทานนามบุตรี ซึ่งต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม “พูนศุข”

เมื่อ ด.ญ. พูนศุขอายุได้ ๔ ขวบ บิดาได้ย้ายเข้ากรุงเทพฯ มาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของสยามประเทศ มีบ้านพักอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่คลองสาน พอย่างเข้า ๖ ขวบ ก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ซึ่งก่อตั้งโดยคณะนักบวชคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจากประเทศฝรั่งเศส

“ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟฯ เน้นด้านภาษา อย่างข้าพเจ้าเรียนแผนกภาษาอังกฤษ การเรียนการสอนทุกวิชาในห้องเรียน แม้แต่วิชาคณิตศาสตร์ก็สอนเป็นภาษาอังกฤษ นอกห้องเรียนนักเรียนก็ต้องพูดภาษาอังกฤษกัน... โรงเรียนสอนให้ข้าพเจ้าซื่อสัตย์ มีวินัย มีมารยาทในสังคม มีวิชาความรู้ ทำให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ภรรยาของนักการเมืองและแม่ของลูกได้อย่างมีความอดทน เชื่อมั่นและไม่ท้อแท้”

ความสัมพันธ์ระหว่างพูนศุขกับโรงเรียนแห่งนี้ดำเนินต่อมาอีกยาวนาน ลูกสาว ๓ คน คือ สุดา ดุษฎี และวาณีก็เรียนที่นี่ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เป็นศัตรูกับสัมพันธมิตร นักบวชชาวฝรั่งเศสในเมืองไทยถูกจับกุมคุมขัง บางคนถูกขับไล่ออกนอกประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เวลานั้นก็ได้ช่วยเหลือคณะนักบวชเหล่านี้มาโดย ตลอด จนเมื่อนายปรีดีประสบภัยทางการเมืองในเวลาต่อมา บรรดานักบวชแม่ชีในโรงเรียนก็ได้ดูแลลูก ๆ ของท่านเป็นอย่างดี

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ พูนศุข พนมยงค์ ได้รับเลือกจากสมาคมศิษย์เซนต์โยเซฟในพระบรมราชินูปถัมภ์ ให้เป็นศิษย์เซนต์โยเซฟตัวอย่าง สาขาการเมือง

ช่วงเวลาที่ศึกษาอยู่นี้ คุณพ่อคุณแม่ได้ย้ายบ้านมาอยู่ถนนสีลม พูนศุขเคยเล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า วัยเด็กท่านมีความเป็นอยู่แบบผู้มีอันจะกิน เรียกได้ว่าเป็นคุณหนู ใช้ชีวิตค่อนข้างหรูหรา มีคนรับใช้ใกล้ชิด เพราะมีพ่อเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ บ้านที่ถนนสีลมก็ได้ช่างชาวอิตาลีออกแบบ เกิดมาจำความได้ที่บ้านก็มีส้วมชักโครกใช้แล้ว ซึ่งสยามในเวลานั้นมีส้วมชักโครกนับชิ้นได้

และในช่วงเวลานี้เธอก็ได้พบกับชายคนหนึ่งชื่อ ปรีดี พนมยงค์ เป็นลูกชาวนา พ่อชื่อนายเสียง แม่ชื่อนางลูกจันทน์ พนมยงค์ จนเมื่อเรียนจบชั้น Standard 7 ก็ได้ลาออกจากโรงเรียนมาแต่งงานกับชายผู้นี้ พูนศุขเคยเล่าให้ฟังว่า

“เป็นญาติห่าง ๆ กัน นายปรีดีแก่กว่าฉัน ๑๑ ปี พ่อของฉันและพ่อของนายปรีดีเป็นญาติกัน จึงฝากฝังบุตรชายให้มาเรียนกฎหมายในกรุงเทพฯ นายปรีดีนี่มาอยู่ที่บ้าน จึงรู้จักกันตั้งแต่ฉันอายุเก้าขวบ พอเรียนจบได้เป็นเนติบัณฑิต แล้วก็ได้ทุนไปเรียนต่อทางกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลาเจ็ดปี พอนายปรีดีกลับมาฉันอายุ ๑๖ ปี นายปรีดีกลับมาถึงเมืองไทยวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๐ กว่าจะแต่งงานก็เดือนพฤศจิกายน ๒๔๗๑ ตอนที่นายปรีดีพาพ่อจากอยุธยามาขอหมั้น ฉันยังไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ตามปรกติ... เมื่อนายปรีดีมาสู่ขอ คุณพ่อฉันก็ยอมและไม่ได้เรียกร้องอะไรนอกจากแหวนเพชรวงหนึ่ง

“สมัยนั้นดอกเตอร์มีไม่กี่คน ผู้ที่มารดน้ำในงานแต่งงานบางท่านก็อวยพรว่า จะโชคดีมีโอกาสเป็นเสนาบดีแน่นอน ตอนนั้นนายปรีดีเพิ่งได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นรองอำมาตย์เอก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เราแต่งงานวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๑ เราหมั้นกันก่อนประมาณหกเดือน เพราะต้องรอเรือนหอที่คุณพ่อคุณแม่สร้างให้เป็นของขวัญ ซึ่งอยู่ในบ้านป้อมเพชร์ ถนนสีลม เวลานี้โดนรื้อกลายเป็นถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตรงหัวมุมถนนสีลมตัดกับถนนสายใหม่นั่นแหละ พอเรือนหอสร้างเสร็จเราก็แต่งงาน”

พิธีแต่งงานจัดขึ้นที่บ้านป้อมเพชร์ ฝ่ายเจ้าสาวสวมเสื้อสีชานอ้อย นุ่งซิ่นสีเดียวกัน ฝ่ายเจ้าบ่าวแต่งชุดราชปะแตน นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน คอยรับแขกผู้ใหญ่ที่ไปร่วมงาน โดยมีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นผู้สวมมงคลและเจิมหน้าผากร่วมกับท่านผู้หญิงยมราช (ตลับ สุขุม สกุลเดิม ณ ป้อมเพชร์) และหลวงวิจิตรวาทการได้แต่งโคลงบทหนึ่งมอบเป็นของขวัญ มีเนื้อความว่า


พูน เพิ่มเฉลิมเกียรติล้ำ ลือนาม
ศุข สบายภัยขาม คลาดพ้น
ปรี ดาอย่ารู้ทราม จิตต์เสน่ห์
ดี จักมียิ่งล้น หากรู้รักกัน

จากนั้นมาหนุ่มสาวคู่นี้ได้ครองรักร่วมกันมายืนยาวถึง ๕๔ ปี จนความตายมาพรากจาก ทั้งคู่เกิดมาเพื่อเป็นเนื้อคู่ของกันและกันโดยแท้ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาโดยตลอด และกาลเวลาได้พิสูจน์ถึงความรัก ความหนักแน่น มั่นคงของผู้เป็นภรรยา แม้ว่าฝ่ายสามีจะโดนมรสุมชีวิตกระหน่ำอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า

ปรีดีอุ้มลลิตา พูนศุขอุ้มปาล ถ่ายพร้อมกับญาติพี่น้อง ที่หัวหิน เมษายน ๒๔๗๕

อภิวัฒน์ ๒๔๗๕

“ชะตากรรม (destiny) ของพูนศุขภายหลังสมรสแล้วนั้น จึงพลอยเป็นไปตามชะตากรรมของปรีดี ส่วนชะตากรรมของปรีดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลกรรมแห่งการงานทาง ‘อภิวัฒน์’ ที่รับใช้ประเทศชาติและราษฎรไทย เพื่อที่จะก้าวหน้าไปตามแนวทางแห่งการกู้อิสรภาพของมนุษย์ให้พ้นจากการถูก เบียดเบียน และเพื่อให้ชาติไทยมีเอกราชและประชาธิปไตยสมบูรณ์”
ปรีดี พนมยงค์

ภายหลังออกเรือนมาเป็นแม่บ้าน พูนศุขได้ใช้เวลาว่างไปเรียนภาษาฝรั่งเศส และช่วยงานตรวจปรู๊ฟหนังสือในโรงพิมพ์นิติสาส์นของนายปรีดี ที่ตั้งขึ้นมาพิมพ์ตำรากฎหมายเป็นรายได้ทางหนึ่ง

“เราแต่งงานตั้งปีครึ่งถึงมีลูก ฉันมีเวลาก็ไปเรียนภาษาฝรั่งเศสต่อที่สมาคมฝรั่งเศส ถนนสาทร เพื่อนร่วมชั้นที่เรียนด้วยกันที่สมาคมฝรั่งเศสมีอยู่หลายคน เท่าที่จำได้ก็มีคุณจำกัด พลางกูร คุณกนต์ธีร์ ศุภมงคล คุณป๋วย อึ๊งภากรณ์ บางคนมาจากเทพศิรินทร์ บางคนมาจากอัสสัมชัญ”

จนกระทั่งก่อนหน้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นายปรีดีได้บอกภรรยาว่าจะไปอยุธยา แต่ความจริงตัวเขากำลังจะเข้าร่วมก่อการครั้งสำคัญสะเทือนประวัติศาสตร์สยาม พูนศุขเล่าไว้ว่า

“ตอนนั้นอายุ ๒๐ ไม่รู้เรื่องว่าจะเกิดอะไร ก่อนหน้านี้นายปรีดีเคยมาขออนุญาตว่าจะไปบวช ฉันก็ยินดีอนุโมทนา นายปรีดีบอกว่าวันที่ ๒๓ จะไปหาบิดามารดาที่อยุธยาเพื่อขอลาบวช พอวันนั้นนายปรีดีกลับจากทำงานมาถึงบ้าน จากนั้นฉันก็นั่งรถไปส่งพร้อมลูกตัวเล็ก ๆ ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ก็ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกต ขากลับยังแวะเยี่ยมเพื่อนที่จุฬาฯ นั่นคือเหตุการณ์วันที่ ๒๓ พอตกกลางคืน ลูกคนที่ ๒ ร้องไห้ เวลานั้นมีลูกสองคน คือลลิตาและปาล ลูกปาลส่งเสียงร้องไม่หยุด คุณพ่อคุณแม่ที่อยู่บนตึกใหญ่ท่านก็ให้คนมาถามว่าเป็นอะไร ฉันก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ตลอดคืนใจคอไม่ดี เป็นห่วงนายปรีดีว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่

“จนเช้ารุ่งขึ้นของวันที่ ๒๔ มิถุนายน จำได้ว่าท้องฟ้ามืดครึ้มมีฝนตกปรอย ๆ ตามปรกติเราจะถ่ายรูปลูก ๆ เป็นระยะ ลูกปาลอายุครบหกเดือนจึงเอามาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ อุ้มลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่ตึกใหญ่ของคุณพ่อ พอสักครู่ท่านเจ้าพระยายมราช บ้านอยู่ศาลาแดงที่เป็นดุสิตธานีเวลานี้ ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นน้าของคุณแม่ ฉันเรียกท่านว่าคุณตา ก็มาที่บ้านป้อมเพชร์ ท่านถามว่ารู้เรื่องมั้ย เกิดเรื่องใหญ่ คนเรือของท่านที่อยู่ใกล้บางขุนพรหมมารายงานท่านว่า ที่วังบางขุนพรหมมีทหารมาจับทูลกระหม่อมชาย”

ย่ำรุ่งของวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎรอันประกอบด้วยทหารและพลเรือน ๑๑๕ นาย มากกว่าครึ่งอายุน้อยกว่า ๓๐ ปี โดยมีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะราษฎร และนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำฝ่ายพลเรือน ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยอย่างสายฟ้าแลบ ด้วยการลวงทหารจากกรมกองต่าง ๆ ให้มาชุมนุมพร้อมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และถือโอกาสประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองทันที และกำลังอีกส่วนหนึ่งไปเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์มาเป็น ตัวประกัน รวมถึงทูลกระหม่อมชาย หรือสมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเวลานั้นทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครแทนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ หัว ที่เสด็จแปรพระราชฐานอยู่ที่วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เช้าวันนั้นนายปรีดีจำเป็นต้องพูดปดกับภรรยาเพื่อรักษาความลับ เขาไม่ได้ไปอยุธยา แต่ไปลอยเรืออยู่ในคลองโอ่งอ่าง แจกแถลงการณ์ “ประกาศคณะราษฎร” ที่พิมพ์จากโรงพิมพ์นิติสาส์นของตัวเอง พูนศุขเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า

“มีรถทหารและทหารหลายคนมาอยู่ที่หน้าโรงพิมพ์ ฉันชักจะกลัว พอสักครู่คนที่โรงพิมพ์ก็วิ่งหน้าตื่นมาบอกว่า ทหารมาให้พิมพ์ใบปลิว จึงสั่งว่าทหารจะให้พิมพ์อะไรก็ทำให้หมด ตอนหลังจึงรู้ว่ามีการเรียงพิมพ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทหารมาถึงก็พิมพ์เลย ตอนบ่าย คุณพ่อกับเจ้าคุณที่ไปสืบกลับมา ได้ความว่ามีหัวหน้าชื่อพระยาพหลฯ ทำการจับเจ้านาย แล้วเปลี่ยนแปลงอะไรต่ออะไร

“คืนนั้นนายปรีดีให้คนมาส่งข่าวบอกว่าตอนนี้อยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม กองบัญชาการคณะราษฎร ไม่ได้กลับบ้านเลย ให้ช่วยส่งอาหารไปให้ นับแต่วันนั้นฉันก็ต้องจัดอาหารให้คนนำไปส่งนายปรีดีที่พระที่นั่งอนันต์ฯ จนกระทั่งวันที่ ๓ กรกฎาคม นายปรีดีจึงมีจดหมายมาถึงฉัน ขอโทษที่ไม่ได้เล่าความจริงให้ฟัง เพราะถ้าเล่าให้ฟังเดี๋ยวก็จะทำการไม่สำเร็จ ฉันอายุยังน้อยกลัวว่าจะไม่รักษาความลับ และอีกอย่างหนึ่งที่บ้านก็คุ้นเคยเจ้านายหลายวัง”

ข้อความตอนหนึ่งในจดหมายของปรีดีมีความว่า

“การที่ทำอะไรไปทั้งนี้ก็เพื่อเห็นแก่ชาติและราษฎรเป็นส่วนมาก เห็นว่าเกิดมาครั้งเดียว เมื่อมีโอกาสทำได้ก็ควรทำ ไม่ควรบำเพ็ญตนให้เป็นคนหนักโลก...ขอให้คิดถึงชาติและราษฎรให้มาก ๆ การทั้งหลายฉันได้เริ่มมาแต่ปารีส เมื่อมุ่งทางนี้อยู่แล้วและจะสละเกียรติยศทิ้งเสียอย่างไรได้ การเมืองก็การเมือง การส่วนตัวก็ส่วนตัว”

ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา อธิบดีศาลอุทธรณ์ขณะนั้น ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ ขณะที่ ปรีดี พนมยงค์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า สมุดปกเหลือง ซึ่งเป็นนโยบายที่ก้าวหน้ามากในสมัยนั้น นายปรีดีได้ร่างเค้าโครงฯ แบบสหกรณ์เต็มรูปแบบ แต่ไม่ทำลายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน โดยให้รัฐซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมด้วยพันธบัตร มีดอกเบี้ยประจำปี เพื่อให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งยังมีนโยบายจัดเก็บภาษีมรดกและหลักการประกันสังคมในชื่อร่าง พ.ร.บ. “ว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร”

“ราษฎรที่เกิดมาย่อมจะได้รับประกันจากรัฐบาล ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งสิ้นชีพ ซึ่งในระหว่างนั้นจะเป็นเด็กหรือเจ็บป่วย หรือพิการ หรือชรา ทำงานไม่ได้ก็ดี ราษฎรจะมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม สถานที่อยู่ ฯลฯ”

แต่แล้วได้มีกระแสต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจก้าวหน้าฉบับนี้โดยเฉพาะในหมู่ชน ชั้นสูง เพราะกลัวว่าจะมีการยึดทรัพย์คนรวย และไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งเจ้าและขุนนางยัง กุมอำนาจอยู่ จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๖ พระยามโนปกรณ์ฯ ได้ร่วมมือกับทหารบางกลุ่มสั่งปิดสภาผู้แทนราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และได้ออกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยกล่าวหาว่านายปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ และบีบบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศทันที พร้อมกับภรรยาที่ได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

“การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิต ไม่อาจคาดการณ์ว่า เมื่อใดจึงจะกลับมาอยู่พร้อมหน้า... ข้าพเจ้าฝากลลิตา (อายุ ๓ ขวบ) กับ ปาล (อายุขวบเศษ) ให้อยู่ในความดูแลของคุณแม่ หัวใจของข้าพเจ้าแทบสลายด้วยความเป็นห่วงลูก ข้าพเจ้าจูบลาลูกทั้งสองที่หน้าตึกบ้านป้อมเพชร์”

หกสิบปีต่อมา พ.ร.บ. ประกันสังคมจึงเกิดขึ้นในสังคมไทย ขณะที่กฎหมายมรดกและนโยบายปฏิรูปที่ดิน ยังห่างไกลความเป็นจริง

หลายสิบปีต่อมา ปรีดี พนมยงค์ ได้ปรารภถึงเค้าโครงการเศรษฐกิจแก่ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความมุ่งมาดจะทำลายลัทธิคนมีเงิน สิ่งที่ข้าพเจ้าพึงปรารถนาก็คือ เพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพของราษฎรเท่านั้น... ลัทธิคอมมิวนิสต์ในกรุงสยามมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะกล่าวตามความปรารถนาของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีจุดมุ่งไปในทางเดียวกับพรรคเลเบอร์ (พรรคกรรมกร) ในอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง”

ภาพถ่ายปรีดี-พูนศุข และลูกทั้ง ๖ คน เป็นภาพถ่ายครอบครัวภาพแรกและภาพเดียวที่อยู่กันพร้อมหน้า เพราะหลังจากนั้นครอบครัวก็เผชิญมรสุมทางการเมือง และตกอยู่ในสภาพ “บ้านแตกสาแหรกไม่ขาด”

ในห้วงสงคราม

“ตั้งแต่แต่งงานมา นายปรีดีมอบเงินเดือนให้ฉันหมดเลย เมื่อต้องการอะไรก็ให้ฉันหาให้ คือก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองมีรายได้จากโรงพิมพ์ นายปรีดีตั้งโรงพิมพ์นิติสาส์น พิมพ์ นิติสาส์น รายเดือน พิมพ์หนังสือชุด ประชุมกฎหมายไทย เพื่อเผยแพร่ มีคนสั่งจองซื้อมาก และรายได้อีกทางจากค่าสอนที่โรงเรียนกฎหมาย เวลานั้นได้ชั่วโมงละ ๑๐ บาท พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เลิกโรงพิมพ์ ยกให้เป็นโรงพิมพ์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมทั้งพนักงาน จึงไม่มีรายได้ทางโรงพิมพ์ต่อไปอีก พอเป็นรัฐมนตรีมีรายได้เดือนละ ๑,๕๐๐ บาทก็ให้ฉันอีก บางทีก็ลืมเงินเดือนไว้ที่โต๊ะทำงาน สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ต้องเอาไปให้ถึงบ้าน แล้วตอนหลังนายปรีดีก็ไม่รับเงินเดือนเอง ให้เลขาฯ นำเงินมาส่งให้ฉันเลย ตอนรับตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองก็มีเงิน ประจำตำแหน่ง แต่ไม่เคยเบิกมาใช้ จัดให้เป็นเงินสวัสดิการของมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ขาดแคลน”

๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ พันเอก พระยาพหลฯ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติทำการยึดอำนาจจากรัฐบาล และเชิญนายปรีดีกลับประเทศ ต่อมานายปรีดีได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๗

พูนศุข พนมยงค์ ในวัยเพียง ๒๘ ปี ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านผู้หญิง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๐ กันยายน ๒๔๘๒ พร้อมกับ ละเอียด พิบูลสงคราม ภรรยาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น

แม้ว่าจะได้เป็นท่านผู้หญิงอายุน้อยที่สุดคนหนึ่ง เป็นภรรยารัฐมนตรี ภรรยาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภรรยานายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา แต่ตลอดชีวิตของท่านยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกประการ ไม่เคยก้าวก่ายงานราชการของสามี ทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน จ่ายกับข้าวเอง เลี้ยงลูกทั้งหกเอง ทำอาหารให้ครอบครัวเยี่ยงชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ท่านมักพูดกับลูกหลานเสมอว่า หากใครหารูปถ่ายตอนแต่งชุดท่านผู้หญิงได้ จะให้รางวัล แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีใครหาพบ เพราะท่านไม่เคยแต่งชุดเหล่านี้เลย

ในปี ๒๔๘๐ สงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มตั้งเค้าขึ้นในทวีปยุโรป กองทัพเยอรมนีและอิตาลีประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและอังกฤษ ขณะที่ในเอเชีย กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศจีน เมฆหมอกแห่งสงครามปกคลุมไปทั่วโลก ในปี ๒๔๘๓ นายปรีดีผู้มีแนวคิดต่อต้านสงครามจึงได้เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก นิยายอิงประวัติศาสตร์สงครามยุทธหัตถีในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โดยแก่นของเรื่องว่าด้วยสันติภาพ พูนศุขมีหน้าที่ดูแลกองถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งยกกองไปถ่ายทำที่เมืองแพร่ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีโอกาสไปฉายที่นิวยอร์ก สิงคโปร์ และกรุงเทพฯ ในปี ๒๔๘๔ ซึ่งปรีดีเคยกล่าวถึงว่า

“ชัยชนะแห่งสันติภาพนั้นมิได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยไปกว่าชัยชนะแห่ง สงครามแต่อย่างใด”

แต่แล้วสงครามก็เดินทางมาถึงเมืองไทย เมื่อเช้ามืดวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกา และได้แบ่งกำลังบุกเข้าทางภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศไทยหลายจุด มีการปะทะต่อสู้กับทหาร ตำรวจ และพลเรือนไทยอย่างดุเดือด ขณะที่ในกรุงเทพฯ ก็มีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างฉุกเฉิน ซึ่งพูนศุขบันทึกไว้ว่า

“คืนนั้นเวลาประมาณสองยาม ได้มีโทรศัพท์จากวังสวนกุหลาบ เชิญนายปรีดีไปประชุมคณะรัฐมนตรี ในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ในพระนคร ไปราชการต่างจังหวัด พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส ซึ่งรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีได้ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ขณะนั้นนายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการประชุมคืนนั้น คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งไม่สู้ญี่ปุ่น กับอีกฝ่ายหนึ่งคือนายปรีดี ต้องการสู้เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตย...แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีกลับมาถึงที่ ประชุมในตอนเช้า ได้สั่งให้ผู้ที่ต่อสู้วางอาวุธ อ้างว่าราษฎรได้ตายไปเป็นอันมากและมีมติให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศ ไทย...นายปรีดีเสียใจที่คณะรัฐมนตรียอมจำนนต่อทหารญี่ปุ่น”

หนังสือพิมพ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อญี่ปุ่นยกทัพเข้ามารุกรานประเทศไทย

การสู้รบของทั้งสองฝ่ายยุติลง กองทัพญี่ปุ่นได้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ แปดวันต่อมา สภาผู้แทนราษฎรลงมติแต่งตั้ง ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แทนเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ผู้ถึงแก่อสัญกรรม ทำให้นายปรีดีพ้นสถานะรัฐมนตรีซึ่งเป็นที่พอใจของฝ่ายญี่ปุ่น ต่อมาในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ปีเดียวกัน รัฐบาลได้ทำสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่น และในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ รัฐบาลไทยได้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ คือ ญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลีอย่างเต็มที่

นายปรีดีจึงได้รวบรวมบรรดาผู้รักชาติ ทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน ทำการต่อต้านผู้รุกรานอย่างเงียบ ๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และติดต่อกับสัมพันธมิตรนอกประเทศ คือสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เพื่อให้รู้ว่าประเทศไทยมีขบวนการใต้ดินที่ต่อสู้กับญี่ปุ่นเพื่อเอกราช ภายใต้ชื่อว่า ขบวนการเสรีไทย โดยนายปรีดีเป็นหัวหน้าเสรีไทย มีรหัสว่า “รูธ” ขบวนการเสรีไทยมีเป้าหมายสูงสุดคือทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับว่า ประชาชนชาวไทยไม่เห็นด้วยกับการทำสงคราม และการประกาศสงครามของรัฐบาลในวันที่ ๒๕ มกราคมนั้นเป็นโมฆะ ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญและยากมาก ดังที่พูนศุขเคยให้สัมภาษณ์ว่า

“เมื่อทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตามจุดต่าง ๆ ในประเทศ ความรู้สึกของฉันก็เหมือนกับคนไทย ๑๔ ล้านคนในขณะนั้น คือเศร้าสลดที่เอกราชของชาติไทยเราถูกย่ำยี โดยปรกติแล้วฉันกับนายปรีดีพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เรื่องเสรีไทยนายปรีดีก็ไม่ได้ปกปิดฉัน เพราะปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยไม่ใช่เป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง หากเป็นหน้าที่รับใช้ชาติของคนไทยทุกคน ต่างกับเมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ที่ไม่ได้บอกให้ฉันรู้เลย และฉันก็ไม่ได้ซอกแซกถามในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง”

บรรยากาศในพระนครเวลานั้น ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยทหารญี่ปุ่น เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดสลับกับเสียงปืนต่อสู้อากาศยานของ ทหารญี่ปุ่นเป็นประจำ ทำเนียบท่าช้าง ถนนพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นบ้านพักผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้กลายเป็นที่ทำงานของขบวนการเสรีไทยอย่างลับ ๆ ส่วนการติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรในต่างประเทศมีเสรีไทยสายอังกฤษและ สายอเมริกาเป็นตัวเชื่อม โดยบางคนลักลอบเข้ามาทางเรือดำน้ำแล้วขึ้นฝั่งแถวเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ บางคนแอบกระโดดร่มเข้ามา อย่างนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทำให้เสรีไทยในประเทศและสัมพันธมิตรนอกประเทศสามารถติดต่อกันได้ พูนศุขเล่าให้ฟังว่า

“ตอนแรกอยู่ที่ทำเนียบท่าช้าง ซึ่งรัฐบาลให้เป็นบ้านพักรับรองของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ ตอนนั้น แต่เราไม่ได้ขุดหลุมหลบภัย ท่าช้างนี่ชั้นล่างอยู่ติดพื้นดิน แล้วก็ชั้นสอง ชั้นสาม ก็เอากระสอบทรายมากองสูงท่วมหัวที่ชั้นล่าง ทำเนียบท่าช้างอยู่ใกล้ ๆ จุดยุทธศาสตร์ เยื้องสถานีรถไฟบางกอกน้อย เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดบ่อยมาก เวลานั้นลูก ๆ ก็ยังเล็ก เวลาเครื่องบินมาก็อุ้มลูกจากที่นอนมาหลบที่หลังเนินกระสอบ ก็เลยอพยพไปอยู่อยุธยาสักพักหนึ่ง พอการทิ้งระเบิดค่อยเพลาลงไป ก็กลับมาอยู่กรุงเทพฯ จ้างครูมาสอนลูกเรียนหนังสือ ปรากฏว่าพอถึงปี ๒๔๘๘ ปลายสงคราม เครื่องบินมาทิ้งระเบิดหนักขึ้นอีก ทั้งตอนกลางคืนและกลางวัน ตึกรามบ้านช่องพังจำนวนมาก ต้องวิ่งหนีกัน เด็กเล็กลูกคนอื่นมาเรียนกับลูกเราด้วยก็ไม่ปลอดภัย นายปรีดีก็ทูลเชิญสมเด็จพระพันวัสสาฯ ไปประทับที่พระราชวังบางปะอินเพื่อความปลอดภัย และเราก็อพยพตามไปถวายการรับใช้ด้วย นายปรีดีได้ติดต่อกับสัมพันธมิตร บอกให้ทราบว่าบางปะอินเป็นที่ประทับของเจ้านาย อย่ามาทิ้งระเบิด ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ แต่บริเวณทำเนียบท่าช้างยังทิ้งระเบิดกัน นายปรีดียังอยู่ประจำที่นั่น ทิ้งระเบิดริมน้ำ เขื่อนพังทลาย แต่ตัวอาคารใหญ่ไม่เป็นอะไร พอหวอมา ชาวบ้านแถวนั้นเข้ามาหลบในบ้านเต็มไปหมด เพราะว่ามีค่ายเชลยอยู่ที่ธรรมศาสตร์ คิดว่าเครื่องบินคงไม่มาทิ้งระเบิดเชลยศึกซึ่งเป็นพวกเดียวกัน”

ในช่วงเวลานั้นพูนศุขได้ช่วยสามีติดตามสถานการณ์ข่าวสารการสู้รบในสมรภูมิ ต่าง ๆ ทั่วโลกจากการฟังวิทยุ ทั้งที่ทางการห้ามราษฎรฟังวิทยุของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นายปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ มีสิทธิพิเศษใบอนุญาตถึงฟังได้ และคอยอำนวยความสะดวกแก่เสรีไทยที่มาประชุมกันที่ทำเนียบท่าช้าง บางครั้งก็ช่วยเขียนรหัสด้วยลายมือภาษาอังกฤษโดยไม่ใช้พิมพ์ดีด

“ใช้วิธีเขียนเป็นตัวหนังสือ คือฉันเขียนตัวบรรจง จึงช่วยเขียนรหัสด้วยลายมือ เป็นภาษาอังกฤษแบบตัวพิมพ์ใหญ่ก่อนที่จะนำไปเข้าเป็นโค้ดลับเพื่อเป็นการ พรางหลักฐาน เพราะหากถูกจับได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นลายมือใคร และตอนนั้นใช้พิมพ์ดีดไม่ได้ หากพวกญี่ปุ่นเขาจับได้ สมัยนั้นมันตรวจกันรู้นี่ว่าเป็นพิมพ์ดีดจากไหน บางครั้งก็เขียนคำสั่งของนายปรีดีที่จะส่งไปต่างประเทศ ส่วนฝ่ายถอดรหัสนั่นมีพวกเสรีไทยสายอังกฤษหรือสายอเมริกาเป็นคนจัดการ”

พูนศุขอธิบายให้ฟัง ทั้งยังเล่าว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งตื่นเต้นที่สุด คือวันหนึ่งนายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้เดินทางมาเมืองไทย ตามธรรมเนียมการทูต นายพลโตโจต้องมาลงนามแสดงความเคารพผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ทำเนียบท่า ช้าง

“ช่วงนั้นหน้าสิ่วหน้าขวานมากที่สุดเชียว นายพลโตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็มาเซ็นชื่อเยี่ยมที่ทำเนียบของนายปรีดี ผู้สำเร็จราชการฯ แล้วก็เดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่พวกเสรีไทยใช้เป็นที่ทำงาน โตโจคงอยากเห็นทัศนียภาพแม่น้ำเจ้าพระยา น่ากลัวเหมือนกัน แต่โชคดีที่พวกญี่ปุ่นคงไม่ระแคะระคาย”

สงครามโลกครั้งที่ ๒ ดำเนินอยู่ ๔ ปีจึงยุติลง เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๘ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ และฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งสาส์นด่วนถึงนายปรีดีให้รีบประกาศว่า การประกาศสงครามของไทยเป็นโมฆะ ดังนั้นในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ปรีดี พนมยงค์ ได้ประกาศสันติภาพขึ้น โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า

“ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เป็นโมฆะไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย”

จากคำประกาศสันติภาพและการมีอยู่ของขบวนการเสรีไทย ทำให้ประเทศสัมพันธมิตรยอมรับสถานะเดิมของประเทศไทยที่มีเอกราชและอธิปไตย โดยสมบูรณ์ ไม่ต้องตกเป็นประเทศแพ้สงครามเหมือนญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี

“ลึก ๆ แล้วฉันดีใจและโล่งใจยิ่งกว่าวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้เสียอีก การประกาศสันติภาพเท่ากับเป็นการรับรองสถานะว่าประเทศไทยยังคงดำรงเอกราชและ อธิปไตย” พูนศุขกล่าวไว้เช่นนั้น

เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ได้มีการตั้งศาลอาชญากรสงครามที่กรุงโตเกียว เพื่อไต่สวนคดีบุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้เกิดสงครามโลกในภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก นายปรีดีเป็นคนคัดค้านไม่ยอมส่งจอมพล ป. กับพวกไปให้ศาลอาชญากรสงครามตัดสิน มิเช่นนั้นจอมพล ป. อาจถูกตัดสินประหารชีวิตหรือถูกจองจำเป็นเวลานาน ในฐานะอาชญากรสงครามคนหนึ่ง เรื่องนี้พูนศุขได้อธิบายให้ฟังว่า

“รัฐบาลได้ตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศไทย พิจารณาตัดสินคนไทยด้วยกันเอง ถ้าส่งไปเมืองนอกก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นโดนจับหลายคน หลวงวิจิตรฯ เอย ใครต่อใครเอย เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ฆ่ากันไม่ลงหรอก”

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ พลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙

มรสุมชีวิต

“อย่ายิง อย่ายิง ! ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก”

ปลายปี ๒๔๘๘ นายปรีดีได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จ นิวัตพระนครเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม และในโอกาสนี้ได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถวายพระราชอำนาจคืนตามพระราชประเพณี ต่อมาพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายปรีดีเป็นรัฐบุรุษอาวุโส มีหน้าที่ปรึกษาราชการแผ่นดินสืบไป

หลังสงครามสงบลง สันติภาพกลับคืนมา แต่บ้านเมืองยังวุ่นวาย ถูกรุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ภาวะข้าวยากหมากแพงอันเป็นผลพวงจากสงคราม และความไม่มั่นคงทางการเมือง ฝ่ายทหารไม่พอใจรัฐบาลพลเรือนสมัยนั้นที่อำนาจทางการเมืองของตนถูกลดบทบาทลง ขณะที่พรรคการเมืองก็มีการแบ่งขั้วชัดเจน มีความขัดแย้งกันตลอดเวลา

และแล้ววันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ต้องพระแสงปืนสวรรคต พรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้ถือโอกาสใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาว่านายปรีดีมีส่วนพัวพันกรณีสวรรคต ถึงกับจ้างคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง”

นายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม และ พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ในเวลานั้นนายปรีดีและภรรยาได้เดินทางไปเยือนมิตรประเทศ ๙ ประเทศในเอเชีย ยุโรปและอเมริกาตามคำเชิญ เป็นเวลานาน ๓ เดือน

แม้ว่าเวลานั้น ปรีดี พนมยงค์ จะไม่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลไทย แต่ในสายตาของต่างประเทศนายปรีดีกลับเป็นผู้นำที่โดดเด่นและมีบารมีมากที่ สุดคนหนึ่งในเอเชีย โดยเฉพาะบทบาทหัวหน้าเสรีไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงไม่น่าแปลกใจที่ต่างประเทศจะให้การต้อนรับทั้งสองอย่างสมเกียรติ

เยือนกรุงนานกิง พฤศจิกายน ๒๔๘๙

เริ่มจากไปเยือนประเทศจีนที่กรุงนานกิง ได้รับการเลี้ยงรับรองจากประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค ต่อเครื่องบินมากรุงมะนิลา ประธานาธิบดีโรซาสแห่งฟิลิปปินส์ให้การต้อนรับ จากนั้นข้ามไปเยือนสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรูแมนเปิดทำเนียบขาวต้อนรับอย่างดี แล้วข้ามทะเลไปประเทศอังกฤษ มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวันกับพระเจ้ายอร์ชที่ ๖ สมเด็จพระราชินี เจ้าฟ้าหญิงเอลิซาเบธ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต และลอร์ดหลุยส์ เมาน์ทแบตเตน ผู้บัญชาการสูงสุดของสัมพันธมิตรในภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก ในพระราชวังบักกิงแฮม และที่กรุงปารีส ประธานาธิบดีลิออง บรัม แห่งฝรั่งเศสได้เลี้ยงรับรองที่กระทรวงต่างประเทศ

นอกจากนั้นยังมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระราชชนนีที่ประทับใน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเดินทางต่อไปยังประเทศเดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์เป็นประเทศสุดท้าย ก่อนจะนั่งเครื่องบินกลับประเทศไทย มาแลนดิงลงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท่าเรือคลองเตย และได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามจากพี่น้องชาวไทย

ประชาชนจำนวนมากมารอรับนายปรีดี พนมยงค์ ที่ท่าเรือคลองเตย ภายหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ มกราคม ๒๔๙๐

นายปรีดีกลับมาเมืองไทยในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองตกต่ำสุดขีด ข่าวลือการทำรัฐประหารเกิดขึ้นเป็นระยะ แต่แล้ววันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ รอยด่างของประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคณะรัฐประหารนำโดย พลโท ผิน ชุณหะวัณ ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล

ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว หลวงอดุลฯ หรือ พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบก ได้มาหานายปรีดีที่บ้านพักทำเนียบท่าช้างเพื่อแจ้งข่าวว่าจะมีการทำรัฐ ประหาร แต่หลวงอดุลฯ ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว จึงมิได้เฉลียวใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น พูนศุข พนมยงค์ ในวัย ๓๕ ปี เล่าเหตุการณ์คืนนั้นให้ผู้เขียนฟังว่า

“วันนั้นฉันไม่สบายไปถอนฟันมา ก็ไม่ได้รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน วันนั้นหลวงอดุลฯ กับหลวงธำรงฯ มารับประทานอาหารเย็น ฉันก็เข้านอนก่อนเพราะเป็นไข้ ต่อมาประมาณสองยามฉันก็สังเกตมีแสงไฟสาดเข้ามาในห้องนอน ทีหลังถึงรู้ว่าเป็นไฟจากรถถังที่จอดอยู่หน้าธรรมศาสตร์ แสงไฟจ้าเชียว แปลกใจ ก็ลุกขึ้นมา ลมพัดหนังสือพิมพ์กระจาย ไม่ใช่พัดลมน่ะ เป็นลมจากแม่น้ำ แล้วฉันก็ลงไปชั้นล่าง พบเด็กที่อยู่กับเรายืนอยู่กับตำรวจที่เป็นยามประจำบ้าน ตอนนั้นยังไม่ได้ยิง ฉันก็ถามว่าท่าน (นายปรีดี) อยู่ไหน เด็กบอกว่าท่านไปแล้ว สักครู่หนึ่งทหารก็ยิงเข้ามา เราก็เลยวิ่งมารวมอยู่ห้องนอนลูกริมแม่น้ำ

“ทหารยิงเข้ามาในบ้าน เจาะเข้ามาในห้องพระ รูขนาดนกกระจอกทำรังได้ แต่ไม่ทะลุ เราก็รวบรวมลูกมาอยู่ที่ห้องเดียวกัน แล้วก็บอกให้ลูกนอนหมอบราบไปบนเตียงนะ ฉันก็ตะโกนออกไปว่า อย่ายิง อย่ายิง ที่นี่มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก เขายิงรัว แหม รู้สึกว่าหลายสิบนัดนะ เสียงมันอาจจะสะท้อนด้วย ฉันยังมีใจเป็นธรรมนะ คิดว่าไม่ได้ยิงกราด ผลสุดท้ายเขาก็พังประตูเข้ามา ฉันก็ลงไปพบ มีคณะนายทหารที่เราไม่รู้จัก เขาบอกว่าจะมาเปลี่ยนรัฐบาล ฉันก็ว่าทำไมมาเปลี่ยนที่นี่ ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่สภาเล่า คณะทหารค้นทั่วบ้าน ไม่มีตัวนายปรีดีแล้วนะ ท่านลงเรือรับจ้างที่อยู่ข้าง ๆ ท่าช้างวังหน้าหลบหนีไปแล้ว

“สักตีสี่ หลวงอดุลฯ มาหาฉัน บอกว่าผมไล่พวกกบฏไปหมดแล้ว ให้ไปอยู่ที่ป้อมพระสุเมรุ ตอนนั้นยังเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่นี่ ท่านก็ออกชื่อผู้ที่มายิงบ้านเรา พอเช้ามีบรรณาธิการ บางกอกโพสต์ มาสัมภาษณ์และได้นำประโยคที่ฉันถามพวกทหารตอนที่เข้ามาค้นไปลงหน้าหนึ่ง เสร็จแล้วตอนสาย ๆ ร.อ. สมบูรณ์ (พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ) เอารถถังมา เพื่อนสนิทของฉัน คุณฉลบชลัยย์ (ภรรยาคุณจำกัด พลางกูร) วิ่งออกไปยืนขวางพวกทหาร ห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณโรงรถเพราะเป็นมุมอับ เกรงว่าจะเอาสิ่งของต้องห้ามมาใส่ จึงให้คนในบ้านร่วมเป็นพยานการตรวจค้น ซึ่งก็ไม่มีอะไร เราไม่ได้เป็นฝ่ายก่อการกบฏ พวกเขาเป็นผู้มาทำลายเรา แล้วยังมาค้น”

วันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์นายปรีดีได้ฝากคนมาแจ้งให้ภรรยาทราบว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้อยู่กับพวกทหารเรือ”

นายปรีดีหลบไปอยู่ที่กรมสรรพาวุธ บางนา ต่อจากนั้นไม่นานด้วยความช่วยเหลือของ พล.ร.ต. ทหาร ขำหิรัญ อดีตผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ และผู้บัญชาการกรมนาวิกโยธิน นายปรีดีได้หลบภัยไปอยู่ที่กรมนาวิกโยธิน สัตหีบ มีเสรีไทยหลายคนเดินทางมาปรึกษาหารือกับนายปรีดี จนเมื่อฝ่ายรัฐประหารสืบทราบว่านายปรีดีหลบอยู่ในฐานทัพเรือ จึงมีหนังสือมาขอตัว

ปรีดีคิดว่าหากอยู่ต่อไปจะทำความเดือดร้อนให้แก่ทหารเรือ จึงตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองไทย โดยได้ติดต่อ น.อ. สแตรทฟอร์ด เดนนิส ซึ่งเคยร่วมต่อสู้ระหว่างสงคราม และเป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ เพื่อให้ช่วยติดต่อทางอังกฤษ ขอลี้ภัยทางการเมืองในสิงคโปร์ที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และไม่นานปรีดีได้ลักลอบออกจากท่าเรือกรุงเทพฯ ไปขึ้นเรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษมุ่งหน้าไปสิงคโปร์

การรัฐประหารครั้งนั้นนำโดย พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ อดีตนายทหารนอกราชการ พ.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ พ.อ. กาจ กาจสงคราม พ.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.อ. ถนอม กิตติขจร พ.ท. ประภาส จารุเสถียร ฯลฯ หลังจากนั้นได้เชิญนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ก่อนที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง


ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย

“นายปรีดีได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าจัดหาลู่ทางการหลบหนีครั้งใหม่ เพราะไว้ใจและเชื่อใจข้าพเจ้าว่าจะทำสำเร็จ ข้าพเจ้าวางแผนปฏิบัติการไว้เป็นวันที่ ๖ สิงหาคม อันเป็นวันครบรอบวันตายของป้าลูกจันทน์ มารดานายปรีดี ข้าพเจ้าภาวนาให้ป้าลูกจันทน์คุ้มครองให้นายปรีดีรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง”

เมฆหมอกแห่งเผด็จการทหารได้ปกคลุมประเทศอีกครั้งหนึ่ง คณะรัฐประหารประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ฉีกรัฐธรรมนูญปี ๒๔๘๙ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด มีการลอบสังหาร จับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้าม คือพรรคพวกของนายปรีดีจำนวนมาก พูนศุขและลูก ๆ จำต้องหลบหนีไปอยู่ที่สัตหีบพักหนึ่ง เพราะคณะรัฐประหารใช้วิธี “จับผัวไม่ได้ก็จับเอาเมียไปขังแทน” และรัฐบาลยังได้ตัดเงินบำนาญของนายปรีดีในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษ อาวุโส จนรายได้ของครอบครัวจากส่วนนี้หายไปทันที

พอเหตุการณ์ผ่านไปสักระยะ พูนศุขจึงกลับมาอยู่บ้านและย้ายจากทำเนียบท่าช้างมาอยู่ที่บ้านป้อมเพชร์ ถนนสีลม พยายามใช้ชีวิตตามปรกติ จัดการให้ดุษฎีและวาณีลูกสาว ๒ คนเล็กเป็นนักเรียนประจำ และสุดาเป็นนักเรียนไปกลับที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ศุขปรีดาลูกชายคนที่ ๒ เรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ส่วนปาลบุตรคนโตเรียนชั้นเตรียมปริญญาปีสุดท้ายของโรงเรียนเตรียมปริญญา มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) ขณะที่ร้านกาแฟหน้าบ้านมีตำรวจสันติบาลเฝ้าอยู่ตลอดเวลา พอออกจากบ้านก็ถูกสะกดรอยตลอดจากบุคคลลักษณะ “ชายแปลกหน้า ใส่หมวก สวมแว่นตาดำ” จนกระทั่งวันหนึ่งท่านกับลูกปาลไปหาหมอที่คลินิกแถวบางรัก ก็มีรถตำรวจขับตามหลังมา ด้วยความอึดอัดเต็มที่ ขากลับจากหาหมอ

“ข้าพเจ้าบอกให้ปาลขับรถผ่านไปที่ถนนคอนแวนต์ แล้วเลี้ยวเข้าบ้านหลวงชาติตระการโกศล (เจียม ลิมปิชาติ) อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ซึ่งภรรยาของท่านเป็นญาติข้าพเจ้า” เพื่อที่ตำรวจจะได้มีบันทึกรายงานว่าเย็นนั้น พูนศุขไปไหนมาบ้าง

เวลานั้นนายปรีดีลี้ภัยจากสิงคโปร์ไปอยู่ฮ่องกงและข้ามไปประเทศจีน ซึ่งพูนศุขได้เล่าให้ฟังว่า

“เมืองจีนตอนนั้นยังไม่เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นยุคสมัยของเจียงไคเช็คยังมีอำนาจ อันที่จริงนายปรีดีต้องการลี้ภัยที่ประเทศเม็กซิโก แต่รองกงสุลอเมริกันที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นพวกซีไอเอ ขีดฆ่าวีซ่าผ่านแดนอเมริกา ทำให้นายปรีดีไม่สามารถไปเม็กซิโกได้ รองกงสุลอเมริกันคนนี้คือนายนอร์แมน ฮันนา ต่อมาเป็นทูตประจำประเทศไทย”

ที่ประเทศจีนปรีดีรับฟังข่าวสารจากเมืองไทยเป็นระยะ และมีความคิดเสมอว่าจะกลับไปฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทยอีกครั้ง จนเมื่อพลพรรคในประเทศได้แจ้งข่าวมาว่าสถานการณ์พร้อมแล้ว จึงได้ลักลอบเข้าเมืองไทย โดยมีทหารเรือเป็นกำลังสำคัญในการสู้รบกับฝ่ายรัฐประหาร ใช้ชื่อเรียกว่า ขบวนการประชาธิปไตย

นายปรีดีได้กลับมาเยี่ยมบ้านเพียงครู่ พูนศุขแสดงการคัดค้านด้วยความห่วงใยเพราะทราบดีว่าสถานการณ์ครั้งนี้เดิมพัน ชีวิตของสามีสูงยิ่ง แต่นายปรีดียืนกรานที่จะกระทำการครั้งนี้ โดยวางแผนจะยึดอำนาจรัฐกลับคืนมาให้สำเร็จและฟื้นฟูประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่

เวลาสามทุ่มของวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ นายปรีดีพร้อมด้วยมิตรร่วมรบได้มุ่งหน้าจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการ เมือง บุกเข้าไปปลดทหารรักษาพระบรมมหาราชวัง ใช้เวลาไม่นานก็สามารถตั้งกองบัญชาการที่นั่นได้สำเร็จ และยึดสถานีวิทยุของกรมโฆษณาการไว้ได้ มีการต่อสู้กันประปรายระหว่างสองฝ่าย

จนกระทั่งเวลา ๖.๐๐ น. ของวันรุ่งขึ้น กำลังทหารเรือบางส่วนถูกสกัดกั้น และ พล.ต. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สั่งให้ยิงปืนใหญ่ถล่มประตูพระบรมมหาราชวัง มีการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างทหารบกกับทหารเรือตลอดแนวถนนราชปรารภ มักกะสัน ถนนเพชรบุรี นายปรีดีได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ตอนนั้นไว้ว่า

“เมื่อเห็นว่ากำลังสนับสนุนของเราเดินทางมาไม่ทันเวลา และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัตถุที่ล้ำ ค่าของชาติในพระบรมมหาราชวัง ข้าพเจ้าจึงสั่งการให้กองกำลังถอยร่นมาอยู่ในกองบัญชาการทหารเรือที่ พระราชวังเดิม ...ระหว่างนั้น กองกำลังของฝ่ายรัฐบาลควบคุมพระนครไว้ได้ทั้งหมดแล้ว การก่อการเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ของข้าพเจ้าจึงประสบความล้มเหลว ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า ‘กบฏวังหลวง’ “

คืนนั้นคนสนิทได้พานายปรีดีหนีการไล่ล่าไปหลบซ่อนตามบ้านญาติหลายแห่ง จนในที่สุด โดยความช่วยเหลือของนายสุธี โอบอ้อม คนที่รู้จักกันมานานสามชั่วคน ก็ได้มาหลบอยู่ที่บ้านสวนฉางเกลือ ในอาณาบริเวณ ๒๐ กว่าไร่ของบริษัทเกลือไทย ฝั่งธนบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันคืออาคารสุภาคาร ริมสะพานสาทร

ช่วงชีวิตนี้พูนศุขได้บันทึกไว้ว่า

“ผู้ที่เอื้อเฟื้อสถานที่หลบซ่อนให้นายปรีดี คือ คุณอุดร รักษมณี เพื่อนรักของสุธี โอบอ้อม นายปรีดีและข้าพเจ้าไม่รู้จักกับคุณอุดร รักษมณี มาก่อนเลย คืนวันที่ ๒ ของการไปอยู่ที่บ้านสวนฉางเกลือ ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมนายปรีดี นายปรีดีปรารภว่า เกรงใจเจ้าของบ้านเหลือเกิน ไม่ทราบว่าจะอยู่ได้นานเท่าใด แต่แล้วนายปรีดีจำต้องหลบซ่อนอยู่ที่บ้านสวนฉางเกลือเป็นเวลา ๕ เดือนกว่า

“ตอนกลับจากเยี่ยมนายปรีดีที่บ้านสวนฉางเกลือ คุณอุดรนั่งเรือจ้างมาส่งข้าพเจ้าที่ท่าเรือสาทร ใกล้ฟ้าสาง รถรางบนถนนสีลมออกเดินรถแล้ว ผู้คนเริ่มออกมาทำกิจวัตรประจำวันแต่เช้ามืด ข้าพเจ้าเดินจากบางรักผ่านป่าช้ากวางตุ้ง ป่าช้าสารสิน ป่าช้าซาเวียร์ และป่าช้าคาทอลิกเพียงคนเดียว กลับมาถึงบ้านป้อมเพชร์”

หลังขบวนการประชาธิปไตยประสบความล้มเหลว รัฐบาลเผด็จการทหารได้ตีพิมพ์หมายจับรูปนายปรีดีติดประกาศไปทั่ว ทำการปราบปรามฝ่ายนายปรีดีอย่างเหี้ยมโหด มีการจับกุมคุมขัง และลอบสังหารอดีตเสรีไทย นักศึกษาธรรมศาสตร์ ทหารเรือ นักการเมืองเป็นจำนวนมาก นายปรีดีรับฟังข่าวคราวการสูญเสียมิตรสหายด้วยความเจ็บปวด โดยเฉพาะการที่ตำรวจสังหารนายทวี ตะเวทิกุล และอุ้ม ๔ อดีตรัฐมนตรีและ ส.ส. อีสาน คือ คุณทองอินทร์ ภูริพัฒน์ คุณถวิล อุดล คุณจำลอง ดาวเรือง และคุณทองเปลว ชลภูมิ ไปฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ โดยตำรวจอ้างว่าเป็นฝีมือของ “โจรจีนมลายู”

ความเจ็บปวดครั้งนี้ถึงกับทำให้นายปรีดีระบายออกมาว่า

“ฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป จะอยู่ไปทำไม เราทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อน...ต้องตาย”

ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากได้แต่ปลอบประโลมเตือนสติให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะความตายคือการยอมรับความพ่ายแพ้

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย วัย ๓๗ ปีของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ที่ถูกสะกดรอยทุกฝีก้าว และต้องเลี้ยงลูกทั้ง ๖ คน กลับมีสติมั่นคง จิตใจเข้มแข็ง คิดวางแผนจะช่วยสามีให้รอดปลอดภัยได้อย่างไร สุดท้ายพูนศุขเป็นคนวางแผนให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างปลอดภัย

แผนการเริ่มต้นด้วยการนัดแนะกับคนไว้ใจได้ที่สวนลุมพินี โดยให้ลูกปาลขับรถออกมาจากบ้าน และขับไปจอดในบ้านพี่สาวคนหนึ่งที่ถนนสุรวงศ์ แล้วแอบออกหลังบ้านขึ้นรถสามล้อมาที่สวนลุมเพื่อหลบหนีการสะกดรอยของสันติ บาล เมื่อได้ประชุมกับคนที่เกี่ยวข้องเป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว พอตอนเย็นวันที่ ๖ สิงหาคม เรือประมงที่พูนศุขได้ยืมมาจากคุณมิ่ง เลาห์เรณู ส.ส. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แล่นทวนน้ำมารับนายปรีดีที่ท่าเรือบ้านสวนฉางเกลือ โดยมี ร.ต. อมฤต วิสุทธิธรรม ร.น. เป็นกัปตันเรือ

“ที่เลือกเดินทางเวลานี้ ก็เพื่อให้มาถึงด่านศุลกากรด่านแรกตอนค่ำก่อนด่านปิดไม่กี่นาที ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ต้องเสี่ยงต่อการตรวจอย่างละเอียดลออ วิธีการนี้ได้ผลดี เราผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เรือประมงลำเล็กไปถึงป้อมพระจุลฯ ซึ่งเรือตอร์ปิโดของหน่วยลาดตระเวนจอดอยู่ เพื่อตรวจตราบรรดาเรือต่าง ๆ กัปตันนำเรือประมงเข้าหาเรือตอร์ปิโดอย่างใจเย็น และนายทหารชั้นประทวน ๒ คนก็ลงมาตรวจเรือ เมื่อเขาไม่พบสิ่งใดผิดปรกติเกี่ยวกับสินค้าหนีภาษี ผู้บังคับการจึงสั่งให้ปล่อยเรือของเราผ่านไปได้ เราจึงเดินทางแล่นเลียบชายฝั่ง มุ่งเดินทางต่อไปทางใต้”

เรือประมงไปส่งนายปรีดีที่สิงคโปร์ และนายปรีดีได้หลบลงเรือทะเลไปเกาะฮ่องกง ก่อนจะขึ้นเรือเดินทางไปที่เมืองชิงเต่าบนแผ่นดินใหญ่ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๔๙๒ เพื่อขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศจีนซึ่งขณะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่งยึด อำนาจจากรัฐบาลเจียงไคเช็ค นายปรีดีได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เพราะรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีมาตราหนึ่งกำหนดไว้ว่า

“บุคคลชาวต่างประเทศผู้ที่ได้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมและถูกข่ม เหงกลั่นแกล้งจากฝ่ายอธรรม จนไม่อาจจะพำนักอยู่ในประเทศของตนได้ ทางประเทศจีนถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นอาคันตุกะของประเทศ”

เรือประมงที่พานายปรีดีหนีออกนอกประเทศในปี ๒๔๙๒

“กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร”

“ฉันไม่ได้คิดกบฏกับใคร ลูกก็ไม่เกี่ยว ไม่พัวพันกันเลย แต่เขาก็จับฉันไปทำลายจิตใจ ทำลายทุกอย่างหมด”

หลังจากปรีดีลี้ภัยไปอยู่เมืองจีน พูนศุขต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่เลี้ยงลูกทั้ง ๖ คน หารายได้มาจุนเจือครอบครัวด้วยการทำขนมเค้กขาย และติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด พูนศุขเคยพูดถึงลูก ๆ ว่า

“ลูกทั้ง ๖ คนเลี้ยงมาเอง แต่ก็มีพี่เลี้ยงเป็นผู้ช่วย ฉันให้นมลูกคนละประมาณ ๑ ถึง ๓ เดือน ต่อมาไม่มีน้ำนมก็ให้นมผง แล้วก็เสริมอาหารประเภทน้ำข้าว กล้วยน้ำว้า มะละกอ... ลูกฉันทั้ง ๖ คน เว้นคนโต (ลลิตา) ซึ่งสมองไม่พัฒนา ทุกคนมีการมีงานที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและต่อสังคม แค่นี้สำหรับผู้เป็นแม่ก็พอใจแล้ว”

จนกระทั่งในปี ๒๔๙๕ เกิดสงครามที่คาบสมุทรเกาหลี ระหว่างฝ่ายเกาหลีเหนือที่มีจีนและสหภาพโซเวียตสนับสนุน กับฝ่ายเกาหลีใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกาและสหประชาชาติ ซึ่งในเวลานั้นกองทัพไทยได้ส่งทหารเข้าร่วมรบด้วย

ปัญญาชนหลายคนในเมืองไทยได้ร่วมกันจัดตั้ง “คณะกรรมการสันติภาพสากลแห่งประเทศไทย” เพื่อเรียกร้องสันติภาพและต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู มีการล่ารายชื่อผู้ที่เห็นด้วยกับสันติภาพ แต่ก็ถูกรัฐบาลทหารกวาดจับ หาว่าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ ในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ รัฐบาลได้จับกุมนักศึกษา นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง ทนายความ อาทิ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ปาล พนมยงค์ ในข้อหายุยงให้เกิดความแตกแยกไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง ทั้งหมดถูกตั้งข้อหา “กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “กบฏสันติภาพ” พูนศุขรำลึกความหลังให้ฟังว่า

“ตอนนั้นลูกปาลถูกเกณฑ์ทหารและอยู่ระหว่างลาป่วย ตำรวจก็มาจับตัวถึงในบ้าน ฉันพยายามทำใจเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้า พอพวกนั้นกลับไปฉันวิ่งขึ้นไปร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ ลูกปาลถูกข้อหากบฏสันติภาพ”

พูนศุขหารู้ไม่ว่า ไม่เพียงลูกชายที่ถูกพรากไป แต่อีกไม่นานตัวเองก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกัน

“หลังจากตำรวจเอาลูกฉันไป สองวันต่อมา ฉันเป็นเถ้าแก่หมั้นคุณศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์) ตำรวจก็มาจับในงานไปสอบสวนที่สันติบาล ตอนนั้นลูกสาวสองคนยังเล็กอยู่ เลยต้องเอามานอนที่สันติบาลด้วยสองคืน”

พูนศุข และปาล ลูกชายคนโตถูกตำรวจสันติบาลค้นบ้านและจับกุมในข้อหา “กบฏภายในและภาพนอกราชอาณาจักร” พูนศุขถูกจองจำอยู่ในกรงขัง 48 วัน เพื่อให้ยอมสารภาพว่านายปรีดีอยู่ที่ไหน

วันนั้นตำรวจนำตัวไปตรวจค้นที่บ้าน ระหว่างทางพูนศุขจึงแวะรับลูกดุษฎีและวาณีที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ และคืนนั้นต้องพาไปนอนในคุกด้วยกันเพราะที่บ้านไม่มีใครดูแล พูนศุขถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับหัวแม่มือและนิ้วทั้งสิบกดลงบนจานหมึกสีดำ พิมพ์ลายนิ้วมือในกระดาษ ราวกับเป็นผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์

“นายตำรวจที่ทำหน้าที่สอบสวนฉันคือพระพินิจชนคดี พี่เขยของ ม.ร.ว. เสนีย์ และ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เชี่ยวชาญในการสร้างพยานเท็จกรณีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ ๘ เขาถามว่ารู้จัก พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ ผู้บัญชาการนาวิกโยธิน ที่ตอนนั้นทางการกำลังล่าตัวอยู่ไหม คือภายหลังการทำรัฐประหารจนทำให้นายปรีดีต้องออกนอกประเทศไปนั้น สถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่น่าวางใจ ยังมีการติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้อง หากจับสามีไม่ได้ก็มาจับภรรยาไปแทน ฉันจึงไปอาศัยบ้านพักคุณทหารอยู่ที่สัตหีบชั่วคราว คุณทหารต้อนรับฉันกับลูก ๆ อย่างดี เราอยู่ที่สัตหีบเกือบสามเดือน คุณทหารเป็นผู้ก่อการ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีบุญคุณกับครอบครัวเรามาก ตอนหลังคณะรัฐประหารจะจับคุณทหาร แต่จับไม่ได้ คุณทหารหลบไปที่เมืองปราณฯ หรืออยู่ที่ไหนสักแห่งไม่แน่ชัด

“ทีนี้มีคนมาติดต่อ บอกว่าคุณทหารเข้าป่า ฉันก็ฝากข้าวของไปให้ เขียนโน้ตใส่เศษกระดาษฝากคนไป บอกว่าถ้ามีหนทางอะไรก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ พอคุณทหารถูกจับได้ ก็พบเศษกระดาษที่มีลายมือของฉัน ดังนั้นเมื่อตำรวจถาม ฉันก็ไม่ปฏิเสธ เขาถามว่านี่ใช่มั้ยลายมือฉันไหม ฉันก็รับว่าใช่ ฉันเขียนจริง ๆ ข้อหาฉันมีข้อนี้เท่านั้นเท่าที่ดูในสำนวนฟ้อง นอกนั้นถามว่านายปรีดีอยู่ที่ไหน ฉันไม่ทราบทั้งนั้น ตอบไม่ได้”

หลังจากนายปรีดีหนีออกนอกประเทศเป็นเวลา ๓ ปีกว่าแล้ว พูนศุขก็ไม่เคยได้ทราบข่าวของสามีอีกเลย ขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิง

“ฉันไม่ได้คิดกบฏกับใคร ลูกก็ไม่เกี่ยว ไม่พัวพันกันเลย แต่เขาก็จับฉันไปทำลายจิตใจ ทำลายทุกอย่างหมด อิสรภาพเรื่องเล็ก จิตใจนี่เรื่องใหญ่ ถูกขังติดลูกกรงเหล็กอยู่ ถ้าเผื่อไฟไหม้เราก็ตายในนั้น และฉันเป็นคนที่กินกาแฟยาก พอคนในบ้านเอากาแฟที่บ้านชงใส่กระติกมาให้ ก็ยังเอาเข้าไม่ได้”

พูนศุขติดคุกได้ ๑๒ วัน ตำรวจก็พาไปศาลอาญาเพื่อขออำนาจฝากขังต่อ และทุก ๑๒ วันเธอก็ต้องถูกนำมาฝากขังต่อ ด้วยข้ออ้างของตำรวจว่าพยานที่รู้เห็นการกระทำของเธออยู่ต่างประเทศ มาให้การไม่ได้

“ตำรวจพาไปศาล ผู้ต้องหาหญิงคนเดียว ไม่รู้ใช้กำลังเท่าไหร่ ไปศาลแล้วพวกหนังสือพิมพ์ก็จะมาถ่ายรูป ตำรวจพยายามจะเอาฉันหลบกล้อง พอถึงศาลแล้วก็เห็นพวกผู้ต้องหาคนอื่น ๆ นั่งเป็นแถว แต่ของฉันไปนั่งเฉพาะ มีตำรวจคุม แหม ทุเรศจริง ๆ เชียว ทำกับฉันขนาดนี้

“ตอนนั้นไม่กลัวเลยนะ หลังจากติดคุกได้ ๘๔ วัน อัยการยกฟ้องฉัน ตอนนั้นมีตำรวจคนหนึ่งเป็นสารวัตร (พ.ต.ต. เสริม พัฒนกำจร) ขณะนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แหม ดีกับฉันเหลือเกิน เวลานั้นท่านเป็นนายพันตำรวจตรี ก็คุมฉันบ้างบางเวลา ท่านก็อุตส่าห์วิ่งไปหาเพื่อนที่เป็นอัยการ ไปสืบดูว่าฉันจะถูกฟ้องหรือเปล่า อุตส่าห์ไปเหน็ดเหนื่อยกันดึกดื่น ผลสุดท้ายฉันไม่ถูกฟ้อง”

เมื่อฝากขังครบ ๘๔ วัน ตำรวจก็เสนอสำนวนสอบสวนไปกรมอัยการเพื่อให้ฟ้องพูนศุขข้อหากบฏ แต่กรมอัยการพิจารณาสมควรไม่สั่งฟ้องเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ขณะที่ปาลและพวกถูกอัยการสั่งฟ้องในข้อหา “กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร” พูนศุขเล่านาทีที่ทราบข่าวให้ฟังว่า

“พอศาลตัดสินแล้วจะเอาลูกขึ้นรถไปเรือนจำลหุโทษ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก ฉันก็ขึ้นรถไปด้วย นายตำรวจคนหนึ่งก็พูดขู่ว่า นี่จะเอาไปคุกแล้วนะวันนี้ ฉันก็บอกว่าคุณไม่รู้ประวัติของฉันดี คุณนึกว่าฉันกลัวคุกเหรอ คุณปู่ของฉัน คือพระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา เป็นแม่กองสร้างคุกแห่งนี้ และเป็นผู้บัญชาการคนแรกของทัณฑสถานแห่งนี้ และคุณพ่อของฉัน พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกและคนสุดท้ายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วฉันจะกลัวคุกได้อย่างไร”

พูนศุขนั่งรถมาส่งลูกชายคนโตเดินเข้าเรือนจำด้วยความสะเทือนใจ ลูกติดคุก สามีก็หายไปไม่รู้เป็นตายร้ายดีประการใด เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่า บีบคั้นทั้งร่างกายและจิตใจของเธอเกินกว่าที่จะอยู่เมืองไทยซึ่งไม่มีใคร รับประกันความปลอดภัยได้ น้ำหนักลดฮวบฮาบลงเหลือเพียง ๔๒ กิโลกรัม ในเดือนเมษายน ๒๔๙๖ พูนศุขจึงตัดสินใจเดินทางไปหาลูกสุดาที่เรียนอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส

ในเวลานั้น พูนศุข พนมยงค์ คงไม่ทราบว่าการเดินทางครั้งนั้นเป็นการไปใช้ชีวิตในต่างแดนยาวนานถึง ๓๔ ปี

ปรีดี-พูนศุข ช่วงชีวิตที่ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศจีน ระหว่างปี ๒๔๙๖- ๒๕๑๒

ชีวิตในต่างแดน

“ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น น้องได้ปฏิบัติเปนภรรยาที่ดียิ่ง พร้อมด้วยความอุททิศตนเสียสละทุกอย่างเพื่อพี่ และเพื่อราษฎรไทย แม้ว่าขณะนี้น้องได้รับความลำบากเนื่องจากความอยุติธรรมของศัตรูที่ปองร้าย แต่วันใดวันหนึ่งในภายหน้า คุณความดีของน้องก็จะต้องปรากฏขึ้นแก่มวลราษฎรไทย”

จดหมายจากปรีดีถึงพูนศุข เนื่องในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปีของการสมรส

พูนศุขและลูก ๆ พำนักที่กรุงปารีสได้ไม่นาน อยู่มาวันหนึ่งเธอก็ได้รับจดหมายจากปรีดีซึ่งขาดการติดต่อนานถึง ๔ ปี ในเนื้อความจดหมายนายปรีดีแจ้งให้ภรรยาเดินทางไปประเทศสวีเดน ติดต่อสำนักผู้แทนการทูตจีน เพื่อเดินทางเข้าประเทศจีน

เวลานั้นไม่มีใครรู้ว่านายปรีดีลี้ภัยอยู่ในประเทศจีน ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ครองอำนาจ เป็นที่หวั่นกลัวของประเทศตะวันตก การเดินทางไปประเทศจีนเป็นเรื่องอันตรายและเป็นไปได้ยาก พูนศุขทราบดีว่าเพื่อความปลอดภัย การเดินทางไปเมืองจีนจึงต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด

พูนศุขพร้อมด้วยดุษฎีและวาณีเดินทางไปยังกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เพื่อพบทูตจีนผู้ได้มอบตั๋วเครื่องบินให้สามแม่ลูกเดินทางไปกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ จากที่นั่นเป็นหนทางที่จะข้ามไปสหภาพโซเวียต พอถึงกรุงมอสโก เจ้าหน้าที่สถานทูตจีนมารอรับ แล้วออกเดินทางโดยรถไฟขบวนยาวที่สุดในโลกจากยุโรปตะวันออกสู่ทวีปเอเชียเป็น เวลา ๗ วัน ๗ คืน

พอข้ามแดนมาถึงประเทศจีน นายปรีดีมายืนรอรับที่เมืองหม่านโจ๊วหลี่ และพาครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่กรุงปักกิ่ง นับเป็นครั้งแรกที่พ่อแม่ลูกได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้งหลังจาก เหตุการณ์รัฐประหารในปี ๒๔๙๐

ไม่นานหลังจากนั้น ประธานเหมาเจ๋อตง ผู้นำจีน ได้มีโอกาสพบกับนายปรีดี ณ กรุงปักกิ่ง ประโยคแรกที่ประธานเหมาเอ่ยขึ้นคือ

“รู้สึกยินดีที่ได้พบกับท่านปรีดี ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย ส่วนตัวผมเอง แต่เดิมมีอาชีพเพียงเป็นครูประชาบาลชั้นประถมเท่านั้น”

ระหว่างใช้ชีวิตร่วมกันที่กรุงปักกิ่งก็ได้ทราบข่าวจากวิทยุว่า ปาลถูกศาลตัดสินจำคุก ๒๐ ปี ซึ่งต่อมาได้รับการลดโทษลงเหลือ ๑๓ ปี ๔ เดือน จนเมื่อถูกขังอยู่เกือบ ๕ ปี ในปี ๒๕๐๐ ปาลกับผู้ต้องหาคดีกบฏสันติภาพก็ได้รับการพระราชทานนิรโทษกรรม เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองกึ่งพุทธกาล

ต่อมาเมื่อนายปรีดีอายุมากขึ้น ประกอบกับปัญหาสุขภาพไม่สามารถทนความหนาวจัดในกรุงปักกิ่งที่อุณหภูมิติดลบ ๑๕ องศาได้นาน ๆ ตลอดช่วงฤดูหนาว จึงได้ทำเรื่องถึงทางการจีน และได้รับอนุญาตให้ย้ายบ้านพักมาอยู่ในเมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้งทางภาคใต้ที่มีสภาพภูมิอากาศอบอุ่นกว่า

ในช่วงเวลานั้น ลูก ๆ ของพูนศุข-ปรีดีต่างก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญากันทุกคน ปาลจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สุดาจบปริญญาโทอักษรศาสตร์ที่ฝรั่งเศส ขณะที่ศุขปรีดาจบทางด้านภาษาที่กวางโจว ดุษฎีจบทางด้านดนตรีและวาณีจบปริญญาโทอักษรศาสตร์ที่กรุงปักกิ่ง ส่วนลลิตาลูกสาวคนโตมีปัญหาด้านสมองไม่พัฒนาตั้งแต่เด็ก

จนถึงปี ๒๕๑๓ นายปรีดีจึงขออนุญาตรัฐบาลจีนย้ายครอบครัวมาอยู่ในเมืองอองโตนี ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพราะรู้สึกเกรงใจทางจีนที่ให้การดูแลอย่างดีเยี่ยมมานานแล้ว ประกอบกับการติดต่อกับประเทศไทยลำบากมาก เพราะจีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบ แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายจากเมืองไทยจะมาเยี่ยมก็ถูกทางการเพ่งเล็งอยู่ตลอด การฟังข่าวสารจากหนังสือพิมพ์หรือวิทยุก็ไม่สะดวก และถึงเวลาที่จะต้องเลือกดำเนินชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าอยู่ในกรุงปารีสจะสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้สะดวกกว่า พูนศุขเคยกล่าวว่า

“ฉันไม่ลืมบุญคุณรัฐบาลจีนและราษฎรจีน ฉันเป็นคนไม่ลืมบุญคุณคน ตอนที่ทางจีนเกิดอุทกภัยเมื่อหลายปีมาแล้ว ฉันก็ส่งเงินตามมีตามเกิดไปช่วยเหลือ เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ส่งไปอีก”

สนทนากับคนรุ่นใหม่ในสวนบ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส

กรุงปารีสเป็นเมืองที่นายปรีดีคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน เขาเคยมาศึกษาระดับปริญญาเอกเป็นเวลานานถึง ๘ ปี เป็นสถานที่ที่บรรดาผู้ก่อการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ เคยมาปรึกษาหารือกันเป็นประจำ เมื่อนายปรีดีอพยพครอบครัวมาอยู่ที่นี่อีกครั้งหนึ่ง เขาก็ได้มีโอกาสพบปะสนทนากับญาติสนิทมิตรสหาย ลูกศิษย์ลูกหา นักศึกษาที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอ และใช้เวลาเขียนสำนวนคดีฟ้องหมิ่นประมาทผู้ที่กล่าวหาว่าท่านพัวพันในกรณี สวรรคต ซึ่งทุกคดีที่ปรีดีเป็นโจทก์ฟ้อง ศาลตัดสินให้ชนะคดีทั้งหมด

“แต่การย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศส ครอบครัวพนมยงค์ต้องประหยัดมัธยัสถ์อย่างมาก เพราะอาศัยเพียงรายได้จากบำนาญของปรีดี และค่าเช่าบ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่มาก ดุษฎี ลูกสาวของท่านเคยเขียนไว้ว่า

“ชีวิตของคุณพ่อดำรงอยู่ด้วยเงินบำนาญเพียงเดือนละ ๔ พันกว่าบาท ทำให้ลูก ๆ ทุกคนต้องทำงานเพราะเงินเพียงเท่านี้อยู่ไม่ได้แน่ เราต้องทำงานทุกอย่าง สมาชิกในครอบครัวของเราทำกระทั่งไปทำงานในร้านอาหาร และรับจ้างทำความสะอาดตามบ้าน ทำอาหารขาย ฯลฯ”

จนถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ อันเป็นวันครบรอบ ๕๐ ปีแห่งการสมรสของพูนศุข-ปรีดี ซึ่งเรียกว่า “การสมรสทองคำ” ทั้งคู่ได้ฉลองสมรสโดยการบำเพ็ญกุศลสาธารณสงเคราะห์โดยส่งผ่านสภากาชาดไทย ที่นายปรีดีเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในเวลานั้นเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท

พูนศุข-ปรีดี ถ่ายเมื่อปรีดีอายุครบ ๘๐ ปี วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๓ ณ บ้านพักอองโตนี

วาระสุดท้าย

“เราได้อยู่ด้วยความเข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกัน แม้ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองทำให้เราต้องแยกกันอยู่บางขณะ แต่ในที่สุด เราก็ได้มาอยู่ร่วมกันในบั้นปลายของชีวิต จนเธอได้จากไปตามกฎธรรมชาติ เธอเป็นคู่ชีวิตและมิตรที่ซื่อสัตย์ไม่ว่าเราจะอยู่ใกล้หรือไกลกัน เธอเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยไม่หยุดยั้ง เป็นตัวอย่างในความเป็นอยู่สมถะ เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ บำเพ็ญชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รับใช้ประเทศชาติด้วยความเสียสละและมีความกตัญญูต่อผู้มีคุณ ถึงคราวมีเคราะห์กรรมก็ไม่หวั่นไหว”

เดือนกันยายน ๒๕๒๔ พูนศุข-ปรีดีก็ต้องประสบความสะเทือนใจครั้งใหญ่ เมื่อปาลบุตรชายได้จากไปด้วยโรคมะเร็งในวัย ๕๐ ปี พูนศุขเผยความในใจว่า

“ปาลเป็นลูกชายคนโตของพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่หวังจะฝากผีฝากไข้ลูกในบั้นปลายชีวิต แต่ลูกก็ได้ด่วนจากพ่อแม่ไปก่อนตามกฎแห่งธรรมชาติ ซึ่งไม่มีอำนาจหรือสิ่งใดที่จะเหนี่ยวรั้งได้”

ก่อนจะส่งร่างของลูกสู่ตึกกายวิภาค คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถานที่บริจาคร่างกายของปาล แม่พูนศุขได้จูบลาลูกเป็นครั้งสุดท้ายและบอกลูกว่า

“ชาตินี้ลูกมีกรรมเกิดมาอาภัพและลำบาก ถ้าชาติหน้ามีขอให้ลูกมีชีวิตที่สบายกว่านี้”

บรรจุศพ ปรีดี พนมยงค์ ณ สุสาน Pere Lachaise กรุงปารีส ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๖

สองปีต่อมา ปรีดีคู่ชีวิตก็ได้ละสังขารอย่างสงบในบ้านอองโตนี ด้วยวัย ๘๓ ปี พูนศุขเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลานั้นว่า

“อยู่ดี ๆ ก็นั่งเขียนหนังสือนั่นแหละ เขียนเสร็จแล้ว จะให้ลูกคนหนึ่งตรวจทาน ก็ให้ฉันออกไปตาม แต่ลูกไม่อยู่ออกไปทำงานก่อน ฉันก็กลับเข้ามา เห็นนายปรีดีถอดแว่น พูดอะไรสองสามคำ ฉันก็จำไม่ได้ แล้วเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้คอพับแล้วนิ่งไป ฉันก็รีบไปหยิบยาฉุกเฉินที่หมอเขาให้ไว้ แล้วก็รีบโทรศัพท์ ลูกอีกคนก็เช่าบ้านอยู่ข้าง ๆ เพราะบ้านเราเล็ก เขามีครอบครัว ให้คนไปตาม เผอิญมีหลานเรียนแพทย์จุฬาปี ๔ มาพักอยู่ที่บ้าน ก็ให้เขามาช่วยผายปอด แล้วก็โทรศัพท์เรียกแพทย์ฉุกเฉิน หมอสั่งไว้ให้เรียกรถแอมบูแลนซ์ก่อน เพราะว่าแอมบูแลนซ์ของเขามีเครื่องเคราครบ เขาก็มาปั๊มหัวใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว นายปรีดีไม่ได้ทรมานเลย สิ้นใจอย่างสงบ หมอประจำตัวมาทีหลังบอกว่าตายอย่างงดงาม...ร่างนอนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ใส่หีบตั้งห้าวัน มีคนไทยจากที่ต่าง ๆ ในฝรั่งเศสและยุโรปมาเยี่ยมเคารพ ท่านเสียวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ถึงได้ลงหีบ นอนอยู่บนเตียงนอนเฉย ๆ นี่ เหมือนคนนอนหลับ เล็บ แก้ม ไม่ได้ซีดเลย ผม หนวด เล็บ ยังงอกยาวออกมาเหมือนยังมีชีวิตอยู่ เจ้าหน้าที่บอกไม่ให้เราถูกตัว แล้วมียาอะไรไม่รู้วางไว้ ทำสะอาด พอดีเดือนพฤษภาคมอากาศเย็น ความจริงถ้าเป็นโรคอื่นไม่ได้นะ เมืองฝรั่งไม่ให้ตั้งศพอยู่ที่บ้าน

“ท่านทูตมาส่วนตัว เพราะว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีความเห็น ท่านไม่พูดก็เลยไม่ทำอะไร มีเพื่อนลูกอยู่ต่างประเทศโทรศัพท์ถามว่ารัฐบาลสั่งทำมั้ย ไม่มีเลย รัฐบาลไม่สั่งอะไรเลย รัฐบาลใบ้ เห็นใจทูตนะ เราเลยขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว พอดีท่านปัญญาฯ กำลังอยู่ที่อังกฤษ ท่านรู้ข่าว ท่านก็โทรศัพท์มาแสดงความเสียใจ เราจึงนิมนต์ท่านมาเป็นประธานประชุมเพลิง ยังมีพระจากเมืองอังกฤษอีกสามรูปมาสวดให้ เอาผ้าไตรมาช่วย เดินทางมาเอง แล้วมีพระในฝรั่งเศสอีก ท่านปัญญาฯ เป็นประธาน ท่านก็กล่าวสดุดี มีคนไทยในฝรั่งเศสและในยุโรปไปเผากันเยอะ นักบินและเจ้าหน้าที่การบินไทยที่เผอิญไปปารีสขณะนั้น อุตส่าห์ไปเผากันหมด คนรู้จัก ไม่รู้จักนะ อุตส่าห์ไปกัน ก็เผากันเดี๋ยวนั้น เก็บกระดูกเดี๋ยวนั้น ละเอียดเชียว สั่งไว้นี่ บอกให้เป็นขี้เถ้า ไม่มีชิ้นเลย แล้วยังมีอดีตทูตฝรั่งเศสในเมืองไทย นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ส่งพวงหรีดมาแสดงความเสียใจ”

เมื่อจัดการศพของสามีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พูนศุขจึงตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นการถาวรในปี ๒๕๓๐ ใช้ชีวิตอย่างสงบในบ้านพักย่านถนนสวนพลู และช่วยงานสังคมเป็นระยะโดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับนายปรีดี พนมยงค์ อาทิการจัดงานเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปีชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ในปี ๒๕๔๓ พูนศุขเคยเล่าถึงชีวิตประจำวันให้ฟังว่า

“ตี ๓ ตี ๔ ก็ตื่นแล้ว เปิดวิทยุฟังข่าวบ้างหรือดูรายการโทรทัศน์บ้าง ยังไม่ถึง ๖ โมงก็ลงมาข้างล่างเตรียมอาหารเช้าสำหรับตัวเอง อ่านหนังสือพิมพ์รายวัน ฟังวิทยุ อ่านหนังสือธรรมะบ้าง แล้วเดินเล่นในบริเวณบ้าน พอตอนสาย ๆ มีญาติมิตรมาเยี่ยมเสมอ บางวันอาจมีงานเกี่ยวกับนายปรีดีที่ต้องไปร่วม หรือถ้าเป็นวันศุกร์มีตลาดนัดที่จุฬาฯ ก็จะไปจ่ายตลาดซื้อของกิน หลังอาหารกลางวันเป็นเวลาพักผ่อนก็จะไม่รับแขกจนถึงเวลาบ่าย ๔ โมง ถ้าวันไหนมีงานศพของผู้ที่รู้จักคุ้นเคยก็จะไปลาและอโหสิกรรมกันเป็นครั้ง สุดท้าย เย็น ๆ เดินเล่นอีกรอบหนึ่ง ก็ถึงเวลาอาหารค่ำ รับประทานอาหารเบา ๆ หรืออาหารที่เหลือตั้งแต่กลางวันประเภทน้ำพริกมะม่วงกับปลาสลิด สลับกับสลัด ดูข่าวภาคค่ำเสร็จแล้ว ประมาณ ๓ ทุ่มก็สวดมนต์เข้านอน”

ในวัย ๙๐ ปี พูนศุขผู้มีความทรงจำแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ ได้เขียนบันทึกไว้ว่า “ข้าพเจ้าทบทวนเหตุการณ์หนหลังด้วยใจอันสงบ มิได้โกรธแค้นหรือคิดอาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ขณะเดียวกัน รำลึกถึงทุกท่านที่เสี่ยงภยันตรายช่วยเหลือนายปรีดีให้พ้นภัยในครั้งกระนั้น ด้วยความขอบคุณ”

วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ พูนศุข พนมยงค์ มีอาการทางโรคหัวใจทรุดหนักลง กระทั่งถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบเมื่อเวลา ๐๒.๐๐ น. (ย่ำรุ่งของวันที่ ๑๒) ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริอายุ ๙๕ ปี ๔ เดือน ๙ วัน

ชีวิตของพูนศุขได้อาศัยหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ในการฝ่าฟันมรสุมชีวิตมาโดยตลอด

หลักธรรมที่ว่านี้คือ

“ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

พิธีไว้อาลัย พูนศุข พนมยงค์ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์

บรรณานุกรม :
๑๐๑ ปีปรีดี - ๙๐ ปีพูนศุข. กรุงเทพฯ : ลลิตา สุดา ศุขปรีดา ดุษฎี วาณี, ๒๕๔๕.
๗ รอบ พูนศุข พนมยงค์. กรุงเทพฯ : ลลิตา สุดา ศุขปรีดา ดุษฎี วาณี, ๒๕๓๙.
นรุตม์. หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๓๗.

ขอขอบคุณ :
ครอบครัวปรีดี-พูนศุข พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ดร. ปรีชา สุวรรณทัต ดร. จริย์วัฒน์ สันตะบุตร