ผู้คนทั้งที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ มีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับอาดัม สมิธ อยู่มากมายหลายประเด็น ถึงแม้จะเข้าใจถูกต้องตรงกัน อยู่ประเด็นหนึ่งว่า อาดัม สมิธ เป็นบิดาของวิชาเศรษฐศาสตร์
นอกจากความเข้าใจผิดที่ว่า อาดัม สมิธ เห็นธาตุแท้ของปัจเจกชนเป็นความเห็นแก่ตัวแต่ด้านเดียว และยกย่องส่งเสริมความเห็นแก่ตัวว่า เป็นความดีในทางเศรษฐกิจแล้ว ความเข้าใจผิดที่แพร่หลายอีกประการหนึ่งคือ อาดัม สมิธ เป็นพวกเสรีนิยมสุดขั้วที่คัดค้านบทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจทุกรูปแบบ และต้องการให้ปัจเจกชนมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจอย่างไร้ขอบเขต
สังคมในอุดมคติของอา ดัม สมิธ ที่เข้าใจกันอย่างผิดๆ จึงเป็นสังคมที่ปัจเจกชนแต่ละคนมุ่งทำร้ายและเอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้ตาม อำเภอใจ คนแข็งแรงทำร้ายคนอ่อนแอ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก โดยที่รัฐบาลไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่นี่เป็นเพียงความ ไม่เข้าใจและอคติของนักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการประชานิยม ราษฎรอาวุโส และนักการเมืองอนุรักษนิยมสุดขั้ว ที่คัดค้านต่อต้านโลกาภิวัตน์
ในผลงานเศรษฐศาสตร์ การเมืองเรื่อง The Wealth of Nations หรือ ความมั่งคั่งของชาติ อาดัม สมิธ ได้วิเคราะห์บทบาทและผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีต่อการทำงานของ กลไกตลาด และต่อการเจริญเติบโตของทุนนิยมในระยะยาว
อาดัม สมิธเห็นว่ารัฐบาลมีหน้าที่อย่างน้อย 3 ประการ ในระบบเศรษฐกิจ คือ
1. การป้องกันประเทศ
2. การให้บริการในสาขาที่เอกชนไม่สนใจทำหรือทำโดยไม่มีประสิทธิภาพ และ
3. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงตรงเคร่งครัด
ทุกวันนี้ นักเศรษฐศาสตร์รู้แล้วว่า การป้องกันประเทศเป็นบริการสาธารณะที่เอกชนไม่สามารถทำได้ เพราะเอกชนไม่มีมาตรการกีดกันผู้ที่ไม่ยอมจ่ายเงินซื้อบริการ กองทัพที่จัดตั้งโดยบริษัทเอกชน ไม่สามารถให้การปกป้องเฉพาะลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อบริการ และปล่อยให้กองทัพศัตรูต่างชาติ ทำร้ายพลเมืองที่ไม่ได้จ่ายเงิน ฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเข้ามาดำเนินการด้วยการบังคับจัดเก็บภาษีจากทุกคนเอามาจัดตั้ง และบริหารกองทัพ แล้วให้บริการป้องกันประเทศแก่พลเมืองทุกคนอย่างถ้วนหน้า
รัฐบาลอาจเข้ามาให้ บริการในสาขาที่เอกชนไม่ทำหรือทำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน สวนสาธารณะ สวัสดิการคนยากจน เด็ก สตรี คนชรา เป็นต้น เพราะเป็นบริการที่ไม่ทำกำไร หรือผู้ขายไม่สามารถกีดกันผู้ที่ไม่จ่ายเงินซื้อ
อาดัม สมิธ คัดค้านบทบาทของรัฐบาลที่เข้ามาแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ ในกรณีที่ขัดขวางบิดเบือน การทำงานของกลไกตลาดเท่านั้น ซึ่งก็คือ การให้อำนาจผูกขาดแก่นายทุนนักธุรกิจเฉพาะกลุ่ม ในรูปของอภิสิทธิ์ สัมปทาน สิทธิบัตร และสิทธิผูกขาดอื่น ๆ
มาตรการดังกล่าวอาจ ให้ประโยชน์แก่รัฐบาล และข้าราชการในรูปของรายได้ภาษีที่จัดเก็บจากกำไรส่วนเกิน ของธุรกิจผูกขาดนั้น หรือเงินสินบนที่นายทุนผูกขาดจ่ายใต้โต๊ะ
แต่การสร้างอำนาจผูก ขาดดังกล่าวเป็นผลเสียต่อสังคมโดยรวม เพราะกลุ่มนายทุนจะสูบรีดเอากำไรส่วนเกิน ด้วยการผลิตสินค้าบริการ น้อยกว่าแต่ในราคาที่สูงกว่าที่สังคมต้องการ ผลก็คือ สังคมจ่ายมากเกินไป แต่ได้รับน้อยลง
การบังคับใช้กฎหมาย อย่างเที่ยงตรงเคร่งครัดเน้นถึงการคุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในทรัพย์สิน และการบังคับใช้สัญญาธุรกรรม อาดัม สมิธ ถือว่า นี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของสังคมทุนนิยมที่เข้มแข็งและเจริญก้าวหน้า
เมื่อปัจเจกชนมี อำนาจสิทธิขาดในทรัพย์สินและผลงานของตนเอง และทุกคนทำตามสัญญาธุรกรรม ที่ทำไว้กับคู่ค้าอย่างตรงไปตรงมา เช่น ผู้ขายส่งมอบ และผู้ซื้อจ่ายเงินรับสินค้าบริการในปริมาณ ราคา และระยะเวลาที่ตกลงกันไว้อย่างถูกต้อง การดำเนินธุรกิจ การผลิต และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะดำเนินไปได้
ในเงื่อนไขเช่นนี้ พฤติกรรมเห็นแก่ประโยชน์ตนของปัจเจกชนจะไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น หากแต่ถูกกฎหมายและกลไกการแข่งขันแปรเปลี่ยนให้เป็นผลดีต่อผู้อื่นและต่อ สังคม เพราะหนทางเดียวที่ปัจเจกชนจะแสวงหาประโยชน์เข้าตัวได้คือ ต้องทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการเท่านั้น
เช่น ผู้เป็นเจ้าของเงินต้องยอมให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์จากเงินของตนเพื่อให้ได้ ดอกเบี้ย เจ้าของที่ดินต้องยอมให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์จากที่ดินของตนเพื่อให้ได้ค่า เช่า ผู้ใช้แรงงานต้องแสวงหาการศึกษา ทักษะ และประสบการณ์ที่นายจ้างต้องการ ขณะที่นายจ้างในฐานะผู้ผลิตก็ต้องผลิตสินค้าบริการในคุณภาพ ปริมาณและราคาที่ผู้ซื้อต้องการ เป็นต้น นัยหนึ่ง ทุกคนต้องให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นเพื่อที่ตนเองจะได้ประโยชน์ตอบแทนเท่านั้น
ฉะนั้น ในสายตาของอาดัม สมิธ สังคมทุนนิยมที่เจริญก้าวหน้าจึงเป็นสังคมที่ ยุติธรรม อย่างแท้จริงบนพื้นฐานของรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีความศักดิ์สิทธิ์ของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และปัจเจกชนทำเพื่อประโยชน์ตน แต่ท้ายสุด สังคมก็ยังสามารถเจริญก้าวหน้าไปได้
หากรัฐบาลย่อหย่อนใน การบังคับใช้กฎหมาย ปล่อยให้มีการละเมิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและสัญญาธุรกรรม การพัฒนาทุนนิยมก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะปัจเจกชนแทนที่จะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ ปัจเจกชนกลับหันมาฉกฉวยประโยชน์จากผู้อื่นเป็นของตนโดยตรง เช่น จี้ปล้น ลักขโมย ฉ้อโกง หลอกลวง ผิดสัญญาธุรกรรม เอารัดเอาเปรียบกัน ซึ่งในที่สุด สังคมและระบบทุนนิยมก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้
มีแต่สังคมที่รัฐบาล อ่อนแอ ฉ้อโกงคอรัปชั่น ไร้ความรับผิดชอบ ปล่อยให้มีการละเมิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และฉ้อโกงสัญญาธุรกรรมเท่านั้น พฤติกรรมเห็นแก่ประโยชน์ตนของปัจเจกชน จึงจะลุกลามไปทำร้ายผู้อื่น นำไปสู่สังคม มือใครยาวสาวได้สาวเอา ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
และนี่เป็นสังคมที่ อาดัม สมิธ ประณามว่า ป่าเถื่อน