ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา รายการโลก 360 องศา มีโอกาสได้เดินทางไปถ่ายทำยังประเทศต่างๆ ในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก
ทำ ให้มีโอกาสได้เรียนรู้และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเมืองใหม่ที่เพิ่งไป ถึงกับเมืองก่อนหน้าที่เคยได้ไปเยือน หลายเมืองในต่างประเทศมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน มีอดีตอันรุ่งโรจน์ และขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถเก็บรักษาภาพความรุ่งเรืองในอดีตเอาไว้ได้ พร้อมๆ กับการพัฒนาเมืองให้เจริญรุดหน้าในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ได้เช่นกัน
เมื่อ เอ่ยชื่อ “ดูไบ” เชื่อว่าคงอยู่ในความสนใจของใครหลายๆ คน ทั้งชาวไทยและชาวโลกในขณะนี้ ดูไบเป็นหนึ่งในเมืองที่รายการโลก 360 องศา ไปเยือนแล้วค้นพบว่า เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เคยมีความรุ่งเรืองในอดีต และขณะเดียวกันในปัจจุบันก็กำลังเพียรพยายามพัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางการ ท่องเที่ยวและธุรกิจของโลก ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังส่งผลสืบเนื่อง เฉกเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ในแทบทุกประเทศ
หลายคนอาจเข้าใจว่า “ดูไบ” เป็นชื่อของประเทศ แต่แท้จริงแล้วดูไบเป็นชื่อรัฐ 1 ใน 7 ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน อีกทั้งเคยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจในอดีตสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นประกอบด้วย 7 รัฐ มีรัฐอาบูดาบีซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นเมืองหลวงของประเทศ โดยมีดูไบเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ห่างจากเมืองหลวงอาบูดาบีประมาณ 180 กิโลเมตร มีพื้นที่ราว 3,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 1.7 ล้านคน โดยประชากรส่วนใหญ่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาอิสลาม แต่ละรัฐของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นปกครองโดย Sheikh หรือเจ้าผู้ครองนครรัฐนั่นเอง และ Sheikh ของดูไบคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย ดูเหมือนว่าดูไบจะโดดเด่นในสายตาชาวโลกมากกว่าเมืองหลวงของประเทศเสียอีก
บันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงความรุ่งเรืองของดูไบในอดีตนับตั้งแต่ราว ปีค.ศ. 1833 ชนเผ่า Bani Yas ซึ่งนำโดยคนในตระกูล Maktoum ที่ยังคงปกครองประเทศมาจนถึงปัจจุบัน ได้อพยพผู้คนมาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณปากอ่าวเปอร์เซีย มีการทำประมง และทำฟาร์มไข่มุก ต่อมาไม่นานดูไบก็กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล การประมง อุตสาหกรรมไข่มุก และตลาดทองคำ หรือที่เรียกกันว่า Gold Souk ที่ใหญ่ที่สุดในย่านตะวันออกกลาง ด้วยพื้นฐานของการเป็นเมืองที่ปลอดภัย และมีการเรียกเก็บภาษีต่ำ ทำให้พ่อค้าจากทั่วโลกพากันเดินเรือมาค้าขายที่ดูไบ ต่อมายังมีการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบที่ดูไบ ทำให้ดูไบกลายเป็นเมืองที่มีอิทธิพล และร่ำรวยขึ้นจากเดิมอีกมากมายหลายเท่า
สถาน ที่สำคัญที่ดูเหมือนจะบอกเล่าเรื่องราวของดูไบในอดีตได้ดีที่สุดคือ พิพิธภัณฑ์ดูไบ ซึ่งตั้งอยู่ที่ป้อม Al Fahidi ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1787 และมีการบูรณะให้เป็นพิพิธภัณฑ์ดูไบ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจำลองให้เห็นบ้านแบบอาหรับ โดยมีเอกลักษณ์สำคัญคือ Wind Tower หรือปล่องลมที่ช่วยระบายความร้อนทำให้บ้านเย็นสบาย Wind Tower นี้ยังพบเห็นได้ในย่านเมืองเก่าของดูไบโดยเฉพาะแถบ Bastakiya ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ดูไบนั่นเอง นอกจากนี้ยังจำลองภาพการใช้ชีวิตในทะเลทราย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย อาหารการกิน และบ้านเรือนของผู้คนในอดีต ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนแถบนี้ ที่พลาดไม่ได้ในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ดูไบคือ ภาพจำลองอุตสาหกรรมการทำมุกและการค้ามุกที่ส่งผลให้ดูไบเป็นเมืองที่เต็มไป ด้วยความมั่งคั่งนับตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อยู่คู่ดูไบมายาวนานพร้อมๆ กับการเกิดของดูไบนั่นคือ The Creek หรือชื่อเรียกลำน้ำสายใหญ่ที่พาดผ่านเมือง และแบ่งดูไบออกเป็น 2 ส่วน คือ Deira และ Bur Dubai ว่ากันว่า Creek คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในดูไบมายาวนาน สองฝั่งของ Creek คืออดีตชุมทางการค้าที่เคยรุ่งเรือง ซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วยตึกสูงตามความเจริญของยุคสมัยและจุดมุ่งหมายแห่งการ พัฒนาเมือง แต่ Abra เรือไม้แบบดั้งเดิมที่ใช้ข้ามฟากระหว่าง Deira และ Bur Dubai ก็ยังคงเป็นที่นิยมของชาวดูไบผู้มีรายได้น้อย และนักท่องเที่ยวที่ปรารถนาจะสัมผัสวิถีชีวิตในอดีตของเมืองดูไบ
ถึงแม้ดูไบจะมีทรัพยากรน้ำมันอย่างเหลือเฟือและสร้างรายได้มหาศาลในแต่ละ ปี แต่ผู้ปกครองของดูไบกลับมีความพยายามให้ดูไบพึ่งพารายได้จากน้ำมันน้อยลง ทุกวันนี้ดูไบจึงหันไปพัฒนาและลงทุนด้านการขนส่ง สาธารณูปโภค สิ่งก่อสร้าง โรงแรม ที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อผลักดันให้ดูไบเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และนำรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวเป็นกลไกการขับเคลื่อนธุรกิจของดูไบแทนการ พึ่งพารายได้จากการขายน้ำมัน จึงไม่น่าแปลกใจว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางไปดูไบจะเห็นตึกสูงอวดโลโก้ของ บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น EMC Corporation, Oracle, Microsoft, IBM รวมไปถึงสำนักข่าวสำคัญๆ เช่น NBC, CNN, BBC, Reuters, Sky News และ AP ดูไบจึงเป็นที่จับตามองของนักลงทุนต่างชาติที่พากันเบนเข็มขนเม็ดเงินเข้ามา ลงทุนกันอย่างมหาศาล รวมถึงยังกลายเป็นขุมทองแห่งใหม่ของแรงงานที่หลั่งไหลเข้ามาทำมาหากินใน เมืองซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกาแห่งนี้
หากไม่นับพิพิธภัณฑ์และส่วนที่เป็นเมืองเก่า รวมถึงภาพวิถีชีวิตสองฝั่ง The Creek แล้ว ดูไบในวันนี้จึงเป็นเมืองใหม่ที่กำลังรุ่งเรืองไปตามยุคสมัย เต็มไปด้วยอาคารสูงที่มีทั้งแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างก่อสร้าง ถนนหนทางกำลังถูกขยายให้กว้างขวาง ท่าเรือใหญ่ทั้ง 2 แห่ง คือ Port Rashid และ Port Jebel Ali ที่ยังคงเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง รองรับการเป็นศูนย์กลางการค้า ผลักดันให้ดูไบเป็นเมืองที่ผงาดขึ้นมาเป็นรัฐที่มีอำนาจ ทำให้รายได้ประชากรของชาวดูไบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเมืองที่โดด เด่นที่สุดของอาหรับ