ถอดรหัส REAL Success ของผู้นำ โดย…ดร.จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์

เปิดแนวคิด ดร.จอห์น ซี แม็กซ์เวลล์ ปรมาจารย์ด้านการเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงระดับโลกบนเวทีสัมมนาในไทย “กลยุทธ์สู่ความสำเร็จที่แท้จริง - How to be a REAL Success” ชี้ความสำเร็จที่แท้จริงมาจากผู้นำ (Leadership) ที่เก่งด้านสัมพันธภาพ(Relationship) และการฝึกฝน(Equipping)ทีมงาน รวมถึงต้องมีทัศนคติ (Attitude) ด้านบวกเพื่อผลักดันในงานก้าวไปข้างหน้าและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ได้
ความสำเร็จ ในมุมมองของแม็กซ์เวลล์มีอยู่ 2 ประการด้วยกัน 1. เป้าหมายในชีวิต

ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะรู้ตนเองว่าทำอะไร เพื่ออะไร แม็กซ์เวลล์กล่าวว่า วันสำคัญในชีวิต มีอยู่ 2 วัน คือวันที่เราเกิดและวันที่ค้นพบว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร

การที่จะสามารถรับรู้ได้ว่า เป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน เขาแนะนำว่ามีอยู่ 2 ปัจจัยคือ

1. ความปรารถนา (Passion) ทำ ในสิ่งที่เราต้องการ ปรารถนา แรงปรารถนานั้นจะเป็นตัวผลักดันให้เราทำได้อย่างดี และอีกปัจจัยหนึ่งคือ ความสามารถเฉพาะด้าน ซึ่งถ้าเรารู้ว่าตนเองเก่งในด้านใด ทำงานประเภทไหนออกมาดี ก็จะประสบความสำเร็จด้านนั้นได้โดยง่าย
2. การพัฒนาตนเองให้เติบโตไปยังขั้นสูงสุดเพราะคนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา

คน ที่ประสบความสำเร็จรู้ว่า สิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องคือ การเรียนรู้ และการศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่างๆ เพราะคนเหล่านั้นจะกระหายในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

“การที่เราจะเติบโตไม่ใช่เป็นไปโดยอัตโนมัติ การทำงานไปวันๆ โดยไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ” แม็กซ์เวลล์กล่าว

ความสำเร็จซ่อนอยู่ในแผนการในแต่ละวัน เขาระบุว่า หากเขาได้ใช้เวลาอยู่กับคนหนึ่งคน เขาสามารถที่จะบอกได้ว่า คนๆ นั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเก่ง แต่สิ่งต่างๆ ที่คนๆ นั้นทำในแต่ละวันจะเป็นตัวชี้วัดว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ บางคนประสบความสำเร็จจากการที่มีทัศนคติที่ดีกว่าคนอื่นๆ เพียงเล็กน้อย ในขณะที่หลายคนยอมรับในชีวิตของตนมากกว่าที่จะนำทางให้ชีวิต

แผนการในชีวิตที่จะใช้วัดความสำเร็จ นั้น ต้องพิจารณาว่า วันนี้คุณใช้ชีวิตอย่างไร ระหว่างเตรียมพร้อม (Prepare)ในสิ่งที่จะทำในวันรุ่งขึ้นหรือซ่อมแซม(Repair) สิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไปในวันนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีการพัฒนาและเตรียมการ

เรามักจะกล่าวถึงอดีตในแง่ดี โดยละเว้นการคิดถึงเรื่องร้ายๆ และข้อผิดพลาดที่เคยได้ทำ ซึ่งหากมีการพูดถึงสิ่งร้ายๆ และข้อผิดพลาดเหล่านั้น สิ่งที่จะตามมาคือความคิดที่ว่า เราจะไม่ทำเช่นนั้นอีก และที่สำคัญคือ เรามักจะประเมินค่า “อนาคต” ต่ำไป คนส่วนมากมักจะคิดแค่ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด การประเมินวันพรุ่งนี้ต่ำไป จะทำให้เราเสียโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ ด้วยสิ่งที่ดีที่สุด

ผู้ที่ ประสบความสำเร็จ จะตัดสินใจเรื่องสำคัญในช่วงต้นๆ ของชีวิต และใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลือจัดการกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว เพราะโดยทั่วไปคนมักจะให้ความสำคัญกับการตัดสินใจมากเกินไป โดยที่ละเลยความสำคัญของการจัดการกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำไปแล้ว

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การทำตารางช่วงปีใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ ทุกคนจะเริ่มตัดสินใจในเรื่องที่จะทำในปีนั้นๆ แต่คนจำนวนมากที่มักจะล้มเลิกเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ทำให้เห็นได้ชัดว่า การตัดสินใจไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นการบริหารจัดการต่างหาก

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ นอกจาก 2 ประการที่จะประสบความสำเร็จ ผู้ที่ประสบความสำเร็จยังต้องทำเพื่อคนอื่น แทนที่จะทำเพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว เพราะเราไม่สามารถประสบความสำเร็จ และก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ โดยที่ไม่มีใครตาม สิ่งที่ควรทำคือ การเพิ่มคุณค่าให้กับผู้อื่น ซึ่งสามารถทำได้โดย

1. เพิ่มคุณค่า (Add Value) ซึ่งเป็นสิ่งง่ายๆ การช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้อื่นจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อเราเอง และผู้ที่เราได้สร้างคุณค่าเพิ่มเติมให้ (Win 3 Win Situation)

2. การวางตนให้มีคุณค่าเพียงพอ ผู้นำจำนวนมากเป็นเหมือนบริษัทท่องเที่ยว ที่นำคนไปยังที่ต่างๆ ที่ตนเองไม่เคยไปดังนั้น เราควรสอนและให้คำแนะนำในสิ่งที่เรารู้ และเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโต ไม่เช่นนั้น คนอื่นๆ ที่รู้เท่าๆ กับเราและแสวงหาความรู้เข้ามาเรื่อยๆ ก็จะก้าวหน้าและก้าวข้ามเราไป

3. ต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะผู้นำไม่ใช่คนที่จะวิ่งเข้าสู่เส้นชัยเป็นคนแรก แต่ต้องรอเพื่อที่จะเป็นผู้ฟังคนในความรับผิดชอบ

ความสำเร็จที่แท้จริงมาจากผู้นำที่ เก่งด้านมนุษยสัมพันธ์และการฝึกอบรมทีมงาน รวมถึงต้องมีทัศนคติด้านบวกเพื่อผลักดันในงานก้าวไปข้างหน้าและแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นระหว่างได้ การที่จะเป็น REAL Success ได้จึงต้องอาศัยปัจจัย 4 อย่าง

R คือ Relationship

หรือสัมพันธภาพกับผู้อื่น ให้คุณค่ากับผู้อื่น คนเราจะไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าเข้ากันไม่ได้ ซึ่งความสำเร็จ ส่วนหนึ่งถูกจำกัด ด้วยความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย เห็นได้จากเมื่อมีคนลาออก 70% ของผู้ที่ลาออก ไม่ได้มีปัญหากับงาน แต่เข้ากันไม่ได้กับผู้นำ

หลักของการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น 3 ประการของแม็กซ์เวลล์คือ

1. กฎของค้อน หรือ Law of Hammer

ที่พูดถึงปฏิกิริยาที่มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ปฏิกิริยาที่มากเกินไปจะทำให้ปัญหาเลวร้ายกว่าเดิม สิ่งที่ต้องคิดถึงคือ ต้องให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากกว่าสถานการณ์นั้นๆ มิเช่นนั้นความสัมพันธ์จะถูกลดค่าลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย

2. กฎแห่งความเจ็บปวด คน ที่เจ็บปวดจะทำร้ายผู้อื่น และถูกผู้อื่นทำร้ายได้ง่าย ถ้าคุณกำลังทำร้ายตนเองอยู่ภายใน คุณก็จะถูกทำร้ายและพร้อมที่จะทำร้ายผู้อื่น เพราะเรามองผู้อื่นไม่ใช่ในสิ่งที่เขาเหล่านั้นเป็นแต่ในแบบที่เราเป็น

3. กฎแห่งลิฟต์ คนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย เปรียบเสมือนลิฟต์บางคน ยกระดับคุณขึ้น ในขณะที่บางคนลดคุณค่าคุณลง ซึ่งคนที่ยกระดับคุณขึ้นจะเรียกว่า Lifter ที่จะทำให้คุณมีพลัง รู้สึกดีในตัวเอง มีชีวิตชีวา และนำคุณสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่ลดคุณลงจะเรียกว่า Leaner ที่เมื่อคุณเข้าไปในลิฟต์แล้วจะมีเพียงปุ่มเดียวคือ B ที่จะพาคุณต่ำลงสูงชั้นใต้ถุน

หลักที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น

1. กฎ 30 วินาที ที่จะใช้ในการเริ่มพูดกัน 30 วินาทีแรกจะเป็นการชมเชย หรือพูดถึงสิ่งดีๆ จะทำให้ผู้พูดเป็นคนมีบารมี และดึงดูดใจ

2. แบ่งปันความลับของคุณให้ผู้อื่น จะทำให้ผู้นั้นรู้สึกดี รู้สึกพิเศษ มีความสำคัญ

3. ยกย่อง สรรเสริญผู้อื่น สร้างความสำคัญให้กับคนผู้นั้น

4. เข้าถึงจิตใจของผู้อื่น การที่จะประสบความสำเร็จได้ ในการสร้างความสัมพันธ์ จะต้องรู้ว่า ผู้อื่นใส่ใจในเรื่องใด อะไรที่สำคัญสำหรับเขา

คำถาม 3 ข้อที่จะรู้ได้ถึงกุญแจที่เข้าถึงจิตใจคือ อะไรที่เขาใฝ่ฝัน อะไรที่ทำให้เขามีความสุข และอะไรทีสำคัญสำหรับเขา และปัจจัยที่สำคัญคือ ต้องจดจำให้ได้ว่าคำตอบที่ตอบมาคืออะไรเพื่อที่จะนำไปต่อยอดสร้างสัมพันธ์ ที่แน่นแฟ้นกว่าเดิม

E คือ Equipping

คือการพัฒนาและอบรมทีมงานหรือพนักงานเพื่อจะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ จะรู้ว่าสามารถฝึกผู้อื่นอย่างไร วิธีที่เราจะร่วมความฝันกันได้ก็คือต้องฝึกอบรมและเสริมสร้างศักยภาพของทีม งาน การทำงานเป็นทีมจะทำให้ความฝันเป็นจริงได้เพราะว่าคนๆ เดียวไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ หรือถึงทำได้ก็จะไม่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน

ในยุค 80 คนมักพูดถึงคำว่า “บริหารจัดการ” การบริษัทจัดการองค์กรหรือบริษัทต่างๆ ต่อมาในปี 90s คนเปลี่ยนจากโฟกัสที่การบริหารจัดการมาเป็น “ความเป็นผู้นำ” เพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากและผู้บริหารมักไม่ชอบการเปลี่ยน แปลงในขณะที่ผู้นำจะคาดว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ต่อมาใน ปี 2000s เราให้ความสนใจกับคำว่า “ทีมผู้นำ” ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จเราก็ต้องพัฒนาทั้งทีมงานให้เป็นผู้นำและมี ความคิดอย่างผู้นำด้วย เราคนเดียวทำตามกฎ 21 ข้อให้ดีที่สุดไม่ได้ แต่ถ้าเราฝึกอบรมให้ทีมงานเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ กัน พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้นำ ผู้นำอย่างเราก็เป็นทั้งผู้นำและผู้ตามในเวลาเดียวกัน เราตามลูกทีมเราที่ได้พัฒนาตัวเองไปแล้ว

ประเด็นสำคัญคือต้องพัฒนา ทีมงานและ พัฒนาผู้นำ วิธีการหนึ่งสำหรับการพัฒนาผู้นำของแม็กซ์เวลล์คือเขาจะมีกฎ 21 ข้อและให้สมาชิกของทีมผู้นำแต่ละคนอ่านคนละข้อ ภายใน 1 สัปดาห์จะให้แต่ละคนขึ้นมาสอนในหัวข้อนั้น วิธีนี้เท่ากับให้ทุกคนเป็นผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละด้าน

หลังจากนั้นจะให้ประเมินตัวเอง โดยอิงจากกฎแต่ละข้อและให้ประเมินกันเองโดยมีคะแนนตั้งแต่ 1-10 เพื่อให้เติมเต็มซึ่งกันและกันแทนที่จะแข่งขันกันเอง เราอาจมองตัวเองไม่เหมือนที่คนอื่นมอง ถ้าทำตามวิธีนี้ได้ก็จะกลายเป็นทีมคิดอย่างสร้างสรรค์ที่สามารถให้ฟีดแบ็ก ได้ เมื่อเราแบ่งปันความเห็นกัน 1+1 = 2 เมื่อกลายเป็นสองก็คือความร่วมมือหรือ Synergy

คำถามสำคัญที่ต้องถาม ตัวเองก่อนจะ พัฒนาก็คือ ประการแรก ถามตัวเองว่าแผนการให้ตัวเองเติบโตเป็นอย่างไร เราจะทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ตัวเองเติบโตและพัฒนาไม่ว่าจะในหน้าที่การงาน หรืออื่นๆ

ประการที่สอง ก็ต้องถามว่า เรามีแผนการอะไรสำหรับการเติบโตทีมงานหรือพนักงาน เราจะเติมเต็มและพัฒนาพวกเขาได้อย่างไรเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพสูงสุด กฎของการทำงานเป็นทีมมี 17 ข้อ กฎเกี่ยวกับความสำคัญข้อหนึ่งก็คือ คนๆ เดียวเป็นจำนวนที่น้อยเกินไปที่จะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

นอกจาก นี้ ยังมีกฎของภูเขาเอเวอเรสต์ กล่าวคือ ยิ่งสูง ยิ่งท้าทาย ยิ่งกดดัน เรายิ่งขึ้นสูงยิ่งต้องมีทีมที่แข็งแกร่งแต่ในกรณีที่มีความฝันที่ดีและมี ทีมที่แย่จะแย่ที่สุด เพราะฉะนั้นเราต้องประเมินขนาดความฝันกับคุณภาพของทีมของเราให้สอดคล้องกัน

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะ ตระหนักถึงคุณค่า ของการมีคนช่วยเหลือ ถ้าเรามีความคิดที่ดีและไม่ได้แบ่งปันกับผู้ร่วมงาน ทั้งเขาและเราก็จะมีแค่ความคิดเดียว แต่ถ้าเราแบ่งปันกัน เราก็จะได้ 2 ความคิดอีกทั้งยังสามารถขยายขอบเขตการคิดออกไปได้อีก ผู้นำยังเป็นผู้กำหนดความสำเร็จอีกด้วย คนส่วนใหญ่ลาออกจากหัวหน้าไม่ได้ลาออกจากบริษัท

5 ขั้นตอนสำหรับฝึกฝนทีมงาน

1. เราทำเป็นตัวอย่างให้ดู เราต้องมั่นใจว่าเราทำสิ่งที่กำลังจะให้เขาทำได้ ขั้นตอนนี้เราเป็นแบบอย่าง

2. เราทำและให้เขาอยู่ด้วย เราทำให้เขาดูและเรียนรู้ไปพร้อมกัน

3. เขาทำเองและเราอยู่ด้วย เปิดโอกาสให้เขาได้ลองทำเอง

4. เขาทำเองโดยเราไม่อยู่ด้วย คนส่วนใหญ่มักหยุดที่ขั้นตอนนี้จะไปสอนคนอื่นต่อไป

5. เขาทำเองและมีคนที่จะเรียนรู้คนใหม่อยู่ด้วย ขั้นตอนนี้คือเขาสามารถทำได้เองและกำลังจะไปฝึกคนอื่นต่อได้

A คือ Attitude

หรือทัศนคติ คนพูดที่สร้างแรงจูงใจมักกล่าวว่า ทัศนคติเป็นทุกสิ่งทุกอย่างแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ทัศนคติเป็นตัวสร้างความแตกต่าง คนที่ประสบความสำเร็จมีทัศนคติที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการมองปัญหา ความยุ่งยากและการจัดการกับปัญหา

จริงๆ แล้วปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหาสิ่งที่เป็นปัญหาคือตัวคุณเองและทัศนคติ ถ้าทุกคนมีทุกอย่างเท่ากันแต่คนที่มีทัศนคติที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะ

คนประสบความสำเร็จจะมีทัศนคติเกี่ยว กับความล้มเหลวดีมาก เขาจะมองว่าความล้มเหลวเป็นของธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ประเด็นคือต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นให้ได้ เมื่อเราล้มเหลวเรามีทางเลือก 2 ทางฝ่ายเราจะให้มันทำร้ายเรา หรือจะเรียนรู้จากมัน

คำกล่าวอีกข้อหนึ่งที่คนชอบพูดคือ ประสบการณ์คือครูที่ดีที่สุด ถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่มีอายุมากที่สุดก็ต้องมีทัศนคติหรือทำอะไร ๆ ได้ดีที่สุดซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้น บางคนแก่แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรได้ดี เราต้องเรียนรู้จากประสบการณ์และคิดว่าจะทำอะไรต่อไป เปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้รับเป็นความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ถ้า เรามัวแต่อายและปิดบังความล้มเหลว เราก็จะไม่มีวันเรียนรู้และอาจทำผิดซ้ำสอง คนที่ประสบความสำเร็จคิดอย่างแตกต่างจากคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คนเราควรต้องมี “เก้าอี้แห่งความคิด” กล่าวคือ เราใช้เวลาอยู่บนเก้าอี้เพื่อคิดโดยไม่ทำอย่างอื่นเลยและเราจะคิดได้เพิ่ม ขึ้น ได้ไอเดียดีๆ จากการคิด

L คือ Leadership

หรือความเป็นผู้นำ มีกฎ 5 ประการที่เปรียบเหมือนขั้นบันไดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณตลอดไปจากหนังสือ Developing within you

ขั้นแรกคือ ตำแหน่ง (Position)

ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น จุดเริ่มงานหลังจากที่คุณเริ่มเข้ารับตำแหน่งผู้นำ คำสำคัญสำหรับตำแหน่งนี้คือสิทธิ คนทำตามคุณเพราะว่าจำเป็นต้องทำ บางคนคิดว่าเมื่ออยู่ในระดับของตำแหน่งนี่คือสิ่งสูงสุดแล้ว แต่จริง ๆ แล้วเป็นแค่ขั้นแรกของผู้นำ
ขั้นที่ 2 คือ การอนุญาต (Permission)

คำ สำคัญคือ สัมพันธภาพ คนตามคุณเพราะว่าเขาอยากตาม เขาชอบคุณ พวกเขาจะทำงานเกินหน้าที่เล็กน้อยเพื่อคุณ พวกเขาให้อนุญาตให้คุณเป็นผู้นำ
ขั้นที่ 3 คือ ผลผลิต (Production)

คำสำคัญคือ ผลลัพธ์ ในขั้นนี้คนตามคุณเพราะว่าคุณประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ คุณทำงานเพื่อองค์กร ในขั้นนี้จะเกิดโมเมนตัมหรือแรงผลักดันที่ทำให้เราทำสิ่งที่มากกว่าที่เราทำ ได้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงการแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้ทุกอย่างดูดีกว่า ความเป็นจริงในแง่บวก แต่ถ้าเกิดโมเมนตัมในแง่ลบจะทำให้เราดูแย่กว่าความเป็นจริง ผู้นำที่ดีจะสร้างแรงผลักดันให้เกิดขึ้น
ขั้นที่ 4 คือ ขั้นการพัฒนา (Development)

คำสำคัญคือ การผลิตตัวเองขึ้นมาใหม่ คนทำตามคุณเพราะว่าคุณทำเพื่อเขา ช่วยเหลือทั้งองค์กรและคน ทรัพยากรบุคคลมีค่ามากที่สุดเมื่อได้รับการฝึกอบรม

ขั้นนี้จะเกิดความจงรักภักดีต่อผู้นำ ขั้นสูงสุดคือ ขั้นศรัทธาตัวบุคคล (Person Hood) คำสำคัญคือ เคารพ คนทำตามคุณเพราะว่าคุณเคยช่วยคนไว้มากมายเป็นระยะเวลานาน คนจะพูดว่าที่เขาเป็นอย่างนี้ได้เพราะคุณมีความสำคัญยิ่งกว่าชีวิต สุดท้ายแล้วเมื่อเป็นผู้นำเราต้องถามตัวเองว่าอยู่ที่ระดับไหน

Source: