หนังสือชื่อ Spousonomics ได้นำเอาหลักการทางเศรษฐศาสตร์มาทำความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ของการใช้ชีวิตคู่ โดย [เสด-ถะ-สาด].com ได้ทำการสรุปและปรับปรุง(เพื่อให้เนื้อหาเหมาะสมกับสังคมไทย)มาเป็น "คาถาครองรัก (ฉบับเศรษฐศาสตร์)" ๑๐ ประการ
๑. แบ่งงานกันทำตามหลักความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage)
การแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) เป็นข้อดีสำคัญของการมีคู่รัก เพราะงานในบ้านหลายอย่างต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialization)
เมื่อเป็นเช่นนี้ การแบ่งภาระงานในบ้านออกเป็น 50:50 ระหว่างหญิงกับชายจึงไม่ได้ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามแนวคิดของ David Ricardo แต่จะเป็นสัดส่วนเท่าไหร่นั้น ควรจะขึ้นอยู่กับความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของแต่ละคน หรือพูดง่ายๆ คือ ใครทำอะไรได้ดีกว่ากันก็ให้เขาทำสิ่งนั้นไป แลกกับบางอย่างที่เขาไม่ต้องทำอีกแล้ว เช่น คนที่ล้างจานเร็วกว่าก็ล้างจานไป และคนที่ซักผ้าดีกว่าก็ซักผ้าไป
๒. อย่ากลัวที่จะแพ้ (Loss Aversion)
ความอยากเอาชนะ หรือความกลัวที่จะแพ้ (Loss Aversion) มักก่อปัญหาให้ชีวิตคู่เสมอ ในทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มันมาจากผลของการครอบครองตัวเราเอง (Endowment Effect) ซึ่งหมายถึง การที่คนเรามักให้คุณค่า(อย่างไม่มีเหตุผล)กับสิ่งที่ตัวเราเองคิด/รู้สึกมากกว่าสิ่งที่คนอื่นคิด/รู้สึกอยู่เช่นถ้าเราทะเลาะกับคู่รักตอนหัวค่ำ ที่จริงก็เพราะเราคิดว่าเราคิดถูก คู่รักของเราคิดผิด จากนั้นก็เถียงกันจนดึกดื่น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความอยากเอาชนะก็ยิ่งมากขึ้นๆ เพราะถ้าแพ้ตอนที่เถียงมานานแล้วก็เท่ากับว่าขาดทุนหนัก ต้นทุนของการเอาชนะจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีใครชนะ และทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนทั้งคืน
ทางออกก็คือ ถ้าเริ่มทะเลาะตอนหัวค่ำ ก็รีบนอนตอนหัวค่ำนั่นแหล่ะ ต้นทุนของการเอาชนะจะต่ำ เพราะยังไม่มีใครลงแรงลงเวลาไป แล้วค่อยคุยกันทีหลัง ผลของความรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าก็จะลดลงไปแล้วด้วย แถมได้นอนอีกต่างหาก
๓. ตระหนักว่าเส้นอุปสงค์มีความชันเป็นลบ (Negative Demand Slope)
อะไรก็ตามที่มีราคาแพง เราย่อมซื้อมันน้อย แต่อะไรที่มีราคาถูก เราก็จะซื้อมันบ่อยๆ ลองนึกดูว่า ถ้าเราอยากออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน ทุกครั้งที่เราไปฟิตเนส เราตั้งใจจะออกกำลังกายเยอะๆ ให้คุ้มกับที่อุตส่าห์เดินทางไป สุดท้ายเราก็ไม่ค่อยได้ไป และความอ้วนก็ไม่ลดลง แต่ถ้าเราแค่มีโอกาสหรือเวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ หากไปได้ก็ไป เราจะกลับได้ไปบ่อยๆ และการลดความอ้วนก็จะได้ผลดีกว่า
ในชีวิตคู่ก็เหมือนกัน ถ้าเวลาที่เราจะหวานหรือโรแมนติค ก็ต้องรอไปเที่ยวไกลๆ กินอาหารมื้อใหญ่ๆ ในวันพิเศษมากๆ และแล้วเราก็ไม่ค่อยได้ไป เพราะเราไปทำให้ราคามันสูงเกินไป แต่ถ้ากลับกัน เราทำให้มันมีราคาต่ำลง เช่น เพียงแค่หยอกล้อหรือโรแมนติคต่อกันแม้แต่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราก็จะทำได้ในทุกๆ วัน สุดท้าย ชีวิตคู่จะมีความสุขมากกว่าอีก ดังนั้น อย่าประเมินผลได้ของความหวานเล็กๆ น้อยๆ ต่ำเกินไปเหมือนเสื้อผ้าราคาถูกๆในตู้
๔. ตกลงเรื่องจรรยาสามานย์ไว้ก่อน (Moral Hazard)
เวลาที่เราทำประกัน เราจ่ายค่าประกันไป และหวังว่าบริษัทประกันจะปฏิบัติอย่างที่ควรจะเป็น แต่บริษัทจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ไม่ต่างไปการมีคู่รัก เราให้ความรู้สึกของเราไป โดยหวังว่าคู่รักจะไม่แอบไปมีกิ๊ก แต่เราเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้ตลอดเวลาว่าคู่รักของเราไปทำอะไรที่ไหนบ้าง ปัญหาเช่นนี้เรียกว่าจรรยาสามานย์ และที่แย่ที่สุดคือ ยิ่งเราทำดีมาก(จ่ายค่าประกันสูง)เท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาจรรยาสามานย์ก็อาจจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ทางแก้ไขซึ่งต้องทำตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นก็คือต้องมองคู่รักของเราเหมือนเป็นนักลงทุน (Turn spouses into investors) ที่มาลงทุน(ชีวิต)ร่วมกับเรา ดังนั้น ต้องมีกฎระเบียบ (Set Regulation) ที่ชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายมีขอบเขตแค่ไหน อะไรที่ทำได้-ทำไม่ได้ และหากไม่ปฏิบัติตามนั้นจะลงโทษกันอย่างไร หรือหากปฏิบัติได้ดี อะไรคือรางวัล
๕. ถือหลักความได้อย่างเสียอย่าง (Trade-offs)
ประสิทธิภาพและความเท่าเทียมกันไม่อาจเกิดขึ้นได้พร้อมกันในสังคมฉันใด ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในการมีคู่ฉันนั้น แม้ว่าคนใดคนหนึ่งอาจจะทำได้ดีกว่าในหลายๆ เรื่อง (เพราะประสิทธิภาพสูงกว่า) แต่การต้องทำสิ่งนั้นๆ มากกว่าก็หมายถึงความไม่เท่าเทียมกันที่มากขึ้นด้วย เขาอาจรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งอาจเกิดความรู้สึกละอายใจ (Inequity Aversion) การหาค่าอุตตมะ (Optimization) ของประสิทธิภาพและความเท่าเทียมกันในสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นของการครองคู่ด้วยเช่นกัน
อธิบายให้ง่ายกว่านั้นก็คือ ในบางเรื่องที่เราไม่อยากทำหรือทำได้ไม่ดี ก็ควรต้องยอมทำบ้าง เพื่อไม่ให้คู่รักของเรารู้สึกว่าเขาถูกเอาเปรียบ ขณะที่ในบางเรื่องที่เราทำได้ดี ก็อาจต้องยอมให้คู่รักของเราทำบ้างเช่นกัน ถ้าจะทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แม้ผลลัพธ์อาจจะไม่ดีนักก็ตาม
๖. ลดช่องว่างของข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมมาตร (Asymmetric Information)
ไม่มีคู่ไหนในโลกที่สามารถรู้ใจ รู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมด เราเองอาจจะยังไม่รู้จักตัวเองทั้งหมดด้วยซ้ำ ดังนั้น ในบางครั้ง เราต้องลดช่องว่างของสถานการณ์ข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมมาตรระหว่างคนสองคน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ
“บอกออกไป” ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับรู้ หรืออย่างน้อยแค่ส่งสัญญาณ (Signaling) ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
แต่วิธีการบอกออกไป ต้องเป็นแค่คุยกัน ไม่ใช่การเลคเชอร์ให้ฟัง เพราะข้อมูลข่าวสารที่หนักหรือมากเกินไปจะทำให้ต้นทุนการประมวลผลของสมองสูงขึ้น และไปลดความสามารถในการฟังและทำความเข้าใจ (The high information processing costs will hinder his ability to listen and digest what his is hearing.)
๗. ตัดสินใจร่วมกันเพื่ออนาคต (Intertemporal Choice)
ในทางเศรษฐศาสตร์ การตัดสินใจในวันนี้ อาจไม่เกิดผลได้/ผลเสียขึ้นในทันที แต่จะเกิดตามมาในอนาคต เช่น ถ้าเราตัดสินใจนอนดึกเพื่อดูฟุตบอลในวันนี้ ความสนุกเกิดขึ้นทันที แต่ความเพลียเกิดในวันรุ่งขึ้น หรือเราอาจจะตัดสินใจอดอาหารสามเดือน เพื่ออยากสวย แปลว่าความทรมานเกิดวันนี้ แต่ความสวยเกิดในอีกสามเดือนข้างหน้า และกรณีเช่นนี้ ส่วนมากล้มเหลว
ดังนั้น อะไรก็ตามที่เราอยากทำ ซึ่งมันยากที่จะสำเร็จ แต่ง่ายที่จะล้มเหลว เช่น ออกกำลังกายทุกวัน กินอาหารที่มีประโยชน์ เขียนบล็อกสัปดาห์ละสองครั้ง เราก็น่าจะลองชวนคู่รักของเรามาทำร่วมกัน ให้คู่รักเป็นเหมือนอุปกรณ์ช่วยเตือน (Commitment Device) ให้เราทำให้สำเร็จ และหากเขาขอให้เราทำหน้าที่นี้บ้าง ก็อย่าใจอ่อน เพราะในระยะยาว จะดีกับตัวเขาเองมากกว่า(แน่ๆ) มากกว่านั้นคือ การทำอะไรร่วมกันบ่อยๆ ก็จะทำให้คู่รักรักกันมากขึ้นไปอีก
๘. ผ่านเรื่องร้ายและดีไปด้วยกัน (Boom and Bust)
หลายคนคงนึกถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองได้ อะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ โดยเฉพาะเมื่อมันผ่านช่วงที่ดีที่สุดไปแล้ว สิ่งที่ประชาชนในชาติควรทำก็คือ ร่วมมือกันและให้กำลังใจกันเพื่อให้คนทั้งชาติผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้ด้วยกัน แน่นอนว่า เมื่อผ่านมันไปได้ คนเหล่านี้ก็จะรักกันมากขึ้นอีก
เช่นเดียวกับชีวิตคู่ เมื่อวันดีดีผ่านไป และตกอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด หันหน้าเข้าหากัน ให้กำลังใจกัน และผ่านมันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายภายนอก หรือความสัมพันธ์ของคู่รักกันเอง เป้าหมายที่ต้องมีร่วมกันคือผ่านมันไปให้ได้ แล้วทั้งคู่ก็จะรักกันมากขึ้น อย่าเก็บไว้คนเดียว บั่นทอนกำลังใจ หรือเพิ่มปัญหาให้กัน
๙. คิดแบบมีกลยุทธ์ (Game Theory)
ในทฤษฎีเกม การตัดสินใจของคนหนึ่งจะเอาการตอบสนอง (Response) ของอีกฝ่ายหนึ่งมาพิจารณาด้วย และสุดท้ายการตัดสินใจนั้นๆ ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งดีกว่าที่จะคิดเฉพาะกับตัวของเราเอง หากเราเป็นผู้ตอบสนอง ทฤษฎีเกมก็ยังช่วยให้เราเลือกวิธีการตอบสนองที่ดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้น การคิดแบบมีกลยุทธ์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจะเอาชนะกัน แต่หมายถึงให้ไตร่ตรองถึงการตอบสนองของเราหรือคู่รักของเราก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไปด้วย
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคู่ของเราจะตอบสนองอะไรออกมาทฤษฎีเกมบอกเราว่ามันขึ้นอยู่กับความเชื่อ (Beliefs) ซึ่งมาจากการสั่งสมในอดีต นั่นหมายความว่า อย่าลืมเอาอดีตมาเป็นบทเรียนที่จะสอนให้คุณเลือกวิธีการตอบสนองให้ถูกต้องกับคู่ของเราด้วย ประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาย่อมทำให้คุณรู้จักความชอบ (Preference) ของคู่รักของเรามากกว่าใครๆ
๑๐. อาศัยแรงจูงใจเป็นเครื่องมือ (Incentive)
เราเองคงรู้ว่า อะไรก็ตามที่ได้มาโดยการบังคับ มักจบแบบไม่สวย แต่อะไรที่ได้มาจากแรงจูงใจภายใน แม้ว่าบางทีมันจะช้า แต่ก็มักจะยั่งยืนกว่า ในประเด็นนี้ เราก็ไม่ควรไปบังคับหรือเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวของคู่รักมากเกินไป เพราะเขาก็ต้องเป็นตัวของเขาเองด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง หากเราต้องการให้เขาทำอะไรให้ ก็ใช้วิธีสร้างแรงจูงใจให้เขาอยากทำให้จะดีกว่าบังคับเช่นกัน เช่น พูดจาหวานๆ อ้อนๆ ขอร้อง เอาอกเอาใจ คู่รักของเราก็น่าจะเต็มใจและมีความสุขในการทำให้เรามากกว่า
ที่มา :: [เสด-ถะ-สาด].com