ตำนานเสาหลักเมืองกรุงเทพ


เหตุใด 'เสาหลักเมือง' กรุงเทพมหานคร จึงมีสองต้น ?


ภาพจากวิกิพีเดีย

ศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีนั้น พระองค์ได้โปรดเกล้าให้ตั้งการพระราชพิธียกเสาหลักเมืองเพื่อเป็นหลักชัยอันสำคัญ พระฤกษ์ยกเสาหลักเมืองกระทำในวันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 06:54 น.

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1
(ภาพวาดฝีพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6)
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระราชดำริว่าหลักเมืองชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายรัชกาล จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำขึ้นใหม่ อีกทั้งทรงตรวจดวงพระชะตาของพระองค์ว่าเป็นอริแก่ลัคนาดวงเมืองกรุงเทพฯ จึงทรงแก้เคล็ดโดยโปรดให้ช่างแปลงรูปศาลหลักเมืองเสียใหม่ให้เป็นรูปปรางค์ และโปรดให้ถอนเสาหลักเมืองเดิมและประดิษฐานเสาหลักเมืองใหม่พร้อมบรรจุชะตาพระนครให้มีสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล มีอุดมมงคลฤกษ์ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2395 เวลา 04:48 น.

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
การฝังเสาหลักเมืองเมื่อครั้งรัชกาลที่ 1 นั้น ได้เกิดอวมงคลนิมิตขึ้น คือเมื่อถึงมหาพิชัยฤกษ์อัญเชิญเสาลงสู่หลุม ปรากฏว่ามีงูเล็ก 4 ตัวเลื้อยลงหลุมในขณะเคลื่อนเสา จึงจำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย โดยปล่อยเสาลงหลุมและกลบงูทั้ง 4 ตัวตายอยู่ภายในก้นหลุม  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทำนายชะตาเมืองว่า จะอยู่ในเกณฑ์ร้ายนับจากวันยกเสาหลักเมืองเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน จึงสิ้นพระเคราะห์ ทั้งยังทรงทำนายว่า จักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไปเป็นเวลา 150 ปี

ชะตาแผ่นดินที่ร้ายถึงเจ็ดปีเศษนั้น เป็นช่วงที่ไทยติดพันศึกพม่าจนถึงศึกเก้าทัพ ซึ่งสิ้นสุดการพันตูหลังครบห้วงเวลาดังกล่าว


ส่วนคำทำนายว่าจักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไป 150 ปีนั้น ไปครบเอาปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น เจ้านายที่ทรงความสำคัญรวม 4 พระองค์ที่ทรงบังคับบัญชากิจสำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพระนครสวรรค์วรพินิต สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพ็ชร์บุรีราชสิรินทร ทั้ง 4 พระองค์นี้มีพระราชสมภพและพระราชประสูติปีเดียวกันคือปีมะเส็ง (งูเล็ก) ต่างกันเพียงรอบปีพระราชสมภพกับพระประสูติ  ทั้งสี่พระองค์ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นอย่างยิ่ง  นิมิตงูเล็กในเสาหลักเมืองจึงออกจะเป็นเรื่องอัศจรรย์

กรณีคำทำนายการดำรงวงศ์กษัตริย์เป็นเวลา 150 ปี ไม่เป็นไปตามคำทำนาย เพียงเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข กรณีนี้โหราจารย์ให้ความเห็นว่า คงเนื่องด้วยพระบารมีของรัชกาลที่ 4 ที่ทรงแก้อาถรรพณ์ถอนเสาหลักเมืองและวางดวงชะตาพระนครขึ้นใหม่

หลักเมือง กรุงเทพมหานคร
ด้วยเหตุนี้ เสาหลักเมืองที่ประดิษฐาน ณ ศาลพระหลักเมืองจึงมีสองต้น เสาเดิมครั้งรัชกาลที่ 1 คือต้นสูง ที่ได้ทำพิธีถอนเสาแล้ว แต่หาที่เก็บที่เหมาะสมไม่ได้ จึงคงไว้  แกนในเป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ มีไม้จันทน์ประดับนอก ลงรักปิดทอง หัวเสาเป็นทรงบัวตูม ภายในกลวงสำหรับบรรจุชะตาพระนคร  ดวงนี้อยู่ใจกลางยันต์สุริยาทรงกลด จารึกในแผ่นทอง เงิน นาก

ส่วนเสาพระหลักเมืองครั้งรัชกาลที่ 4 คือต้นที่มีส่วนสูงทอนลงมา  แกนในเป็นเสาไม้สัก มีไม้ชัยพฤกษ์ประดับนอก หัวเสาเป็นรูปยอดเม็ดทรงมัณฑ์  เป็นต้นที่สถิตประทับของพระหลักเมือง

มีเรื่องเล่ากันมากเกี่ยวกับการฝังหลักเมืองว่ามีการฝังคนทั้งเป็น เช่น ในหนังสือประวัติจังหวัดภูเก็ต ได้กล่าวถึงการฝังหลักเมืองไว้ตอนหนึ่งว่า

"เมื่อท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว พระยาถลาง (ทองพูน) ได้เป็นเจ้าเมืองถลาง  ได้จัดหาสถานที่เพื่อสร้างเมืองใหม่ขึ้น และได้ตกลงให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่ตำบลเทพกษัตรี อำเภอถลางในปัจจุบันนี้ โดยเรียกว่า "บ้านเมืองใหม่"  เมื่อจัดหาที่ได้แล้ว จึงได้ประกอบพิธีกรรมขึ้นเพื่อฝังหลักเมืองโดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์รวม 32 รูป เจริญพระพุทธมนต์อยู่ 7 วัน 7 คืน แล้วจึงให้อำเภอทนายป่าวร้องหาตัวผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมือง ผู้ที่จะเป็นแม่หลักเมืองได้ต้องเป็นคนที่เรียกกันว่าสี่หูสี่ตา (คือคนที่ตั้งครรภ์นั่นเอง)  การป่าวร้องหาตัวแม่หลักเมืองนี้ ได้ประกาศป่าวร้องเรื่อยไปตลอดทุกหมู่บ้านว่า โอ้เจ้ามั่น โอ้เจ้าคง อยู่ที่ไหนมา ไปประจำที่  ในที่สุดจึงได้ผู้หญิงชื่อนางนาคท้องแก่ประมาณแปดเดือนแล้ว นางนาคได้ขานตอบขึ้น 3 ครั้ง แล้วได้ติดตามผู้ประกาศไป  ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อไปถึงหลุมที่จะฝังหลักเมือง นางนาคก็กระโดดลงไปในหลุมนั้นทันที ฝาหลุมก็เลื่อนปิด เจ้าพนักงานก็กลบหลุมฝังหลักเป็นอันเสร็จพิธีการฝังหลักเมือง"

ตามเรื่องที่กล่าวมานั้น ถ้าหากเป็นจริงก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะเรื่องนี้ไม่ปรากฏในพงศาวดารของชาติไทยเลย  สำหรับการฝังหลักเมืองกรุงเทพฯ นี้ เชื่อว่าไม่มีการนำคนทั้งเป็นมาฝัง เพราะคะเนพระราชอัชฌาสัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ว่าทรงยึดมั่นในพระพุทธศาสนา และไม่ทรงโปรดให้พลีกรรมด้วยการฆ่าสัตว์เป็นแน่

เทพารักษ์ที่ศาลหลักเมือง
ภายในศาลพระหลักเมืองกรุงเทพฯ นอกจากพระหลักเมืองแล้ว ยังเป็นที่ประดิษฐานพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อเจตคุปต์ และเจ้าพ่อหอกลอง  เป็นเทพารักษ์สำคัญ 5 องค์ที่ให้ความร่มเย็นแก่แผ่นดินและประชาราษฏร์ทั้งปวง

พระเสื้อเมืองและพระทรงเมือง เป็นรูปเทวดาสวมมงกุฎ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ปิดทอง ขนาดความสูงใกล้เคียงกัน ลักษณะคล้ายกัน ต่างกันที่พระเสื้อเมือง พระหัตถ์ซ้ายถือคทา ส่วนพระทรงเมืองนั้น พระหัตถ์ซ้ายถือพระขรรค์

พระกาฬไชยศรี เป็นรูปพระกาฬประทับอยู่บนหลังนกแสก สันนิษฐานว่าจะมาแต่อุมาปางหนึ่งซึ่งพวกฮินดูนิยมทำรูปไว้บูชา เรียกว่า "กาลี"

เจ้าพ่อเจตคุปต์กับเจ้าพ่อหอกลองนั้น แต่เดิมคงมีชื่อเรียกเดียวกันว่า เจตคุปต์ อันเป็นชื่อเรียกของเสนาพระยมราชทำหน้าที่จดบัญชีคนทำดีทำชั่วในยมโลก เพราะมีรูปร่างคล้ายกันทั้งสององค์ ต่อมามีชื่อเรียกต่างกันไปนั้น คงเป็นเพราะองค์ที่จำหลักด้วยไม้ มีศาลเล็ก ๆ อยู่ใกล้คุก จึงเรียกกันว่าเจตคุก หรือเจตคุปต์  ส่วนองค์ที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์อยู่ใกล้หอกลอง จึงเรียกกันว่าเจ้าพ่อหอกลอง

เจ้าพ่อหอกลองนี้ เดิมอยู่ที่ศาลใกล้หอกลองในสวนเจ้าเชต หอกลองนี้ถูกรื้อทิ้งไปในสมัยรัชกาลที่ 5  แต่เดิมในหอกลองมีกลองอยู่ 3 ใบ ใบแรกชื่อ ย่ำพระสุริย์ศรี ใช้ตีบอกเวลาย่ำรุ่ง ย่ำค่ำ และเที่ยงคืน  ใบที่สองมีชื่อเรียกว่าอัคคีพินาศ ใช้ตีเวลาเกิดเพลิงไหม้  และใบที่สามมีชื่อว่า พิฆาตไพรี ใช้ตีเวลามีศึกสงครามบอกเหตุเรียกระดมพล

การที่เทวรูปต่าง ๆ มารวมกันอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำให้ศาลหลักเมืองกลายเป็นที่ชุมนุมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ

แหล่งข้อมูล thaprajan.blogspot.com

ปรัชญาของเต๋า

   เล่าจื้อ ผู้กำเนิดลัทธิเต๋า 

ทุกสิ่งอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ  


  • เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
  • เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น
  • มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้ ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
  • ยาวกับสั้นเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ สูงกับต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
  • เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด
  • ปราชญ์ย่อมกระทำด้วยการไม่กระทำ เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง
  • ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตนเองเป็นเจ้าของ ประกอบกิจการยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้
  • เหตูที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ เกียรติคุณของท่านจึงดำลงอยู่ไม่สูญสลาย.

..........................................................................

 มิได้อยู่เพื่อตนเอง 


  • ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน เหตุเพราะฟ้าและดินมิได้ดำรงอยู่เพื่อตนเอง   จึงอยู่ได้คงทน
  • ปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย และก็จะกลับกลายเป็นหน้าสุด
  • ละเลยตนเอง แต่กลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
  • เพราะปราชญ์มิได้อยู่เพื่อตนเองหรือมิใช่ ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความสมบูรณ์.

..............................................................

 กากเดนแห่งคุณความดี   


  • ผู้ที่ยืนเขย่งบนปลายเท้าจะยืนได้ไม่มั่นคง ผู้ที่เดินเร็วเกินไปจะเดินได้ไม่ดี
  • ผู้ที่แสดงตนให้ปรากฎจะไม่เป็นที่รู้จัก ผู้ที่ยกย่องตนเองจะไม่มีใครเชื่อถือ
  • ผู้ที่ลำพองจะไม่ได้เป็นหัวหน้าในหมู่คน
  • สิ่งเหล่านี้ในทัศนะของเต๋าแล้วย่อมเรียกได้ว่า กากเดนและเนื้อร้ายของคุณความดี อันเป็นสิ่งที่พึงเหยียดหยาม ดังนั้นบุคคลผู้ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า พึงหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้


 รู้จักตนเอง   


  • ผู้ที่เข้าใจคนอื่นคือผู้รอบรู้ ผู้ที่เข้าใจตนเองคือผู้รู้แจ้ง
  • ผู้ที่มีชัยต่อคนอื่นคือผู้มีกำลัง ผู้ที่มีชัยต่อตนเองคือผู้เข้มแข็ง
  • ผู้ที่มักน้อยคือผู้ร่ำรวย ผู้ที่มีมานะพยายามคือผู้มีความหวัง
  • ผู้ที่อยู่ในสถานะอันเหมาะสมของตนเอง ย่อมอยู่ได้นาน
  • ถึงแม้ผู้นั้นจะสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่คุณความดียังอยู่สืบไป.

................................................

 ชนะแข็งด้วยอ่อน   


  • ผู้ที่ถูกลดทอน จะต้องมีมาก่อน
  • ผู้ที่อ่อนแอ จะต้องเข้มแข็งมาก่อน
  • ผู้ที่ตกต่ำ จะต้องยิ่งใหญ่มาก่อน
  • ผู้ที่ได้รับ จะต้องให้มาก่อน
  • ความอ่อนละมุนมีชัยเหนือความแข็งกร้าว
  • ควรปล่อยให้มัจฉาอยู่ในสระลึกจะดีกว่า เหมือนดั่งเก็บงำศัตราวุธทั้งมวล ของบ้านเมืองไว้มิให้ใครแลเห็น.

......................................................

 ระดับสูง 


  • เมื่อคนในระดับสูงได้รับฟังเต๋า ก็ปฎิบัติตามอย่างมีมานะ
  • เมื่อคนในระดับปานกลางได้รับฟังเต๋า บางครั้งก็เข้าใจบ้างครั้งก็ไม่เข้าใจ
  • เมื่อคนในระดับต่ำสุดได้รับฟังเต๋า ก็หัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดัง หากมิถูกหัวเราะเยาะก็คงจะมิใช่เต๋าแล้ว
  • ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า เต๋าอันกระจ่างแจ้งคล้ายดังมืดมน
  • เต๋าอันรุดหน้าคล้ายดังถดถอย เต๋าอันราบรื่นคล้ายดั่งขรุขระ
  • สีขาวบริสุทธิ์คล้ายดั่งมืดดำ คุณความดีอันสูงสุดคล้ายดั่งต้อยต่ำ
  • คุณความดีอันเลอเลิศคล้ายดั่งบกพร่อง   
  • คุณความดีอันหนักแน่นคล้ายเลื่อนลอย
  • ธรรมชาติอันง่าย ๆ คล้ายดั่งแปรเปลี่ยน
  • รูปจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดนั้นไม่มีมุม ภาชนะที่ใหญ่สุดนั้นไม่เคยสร้างสำเร็จ
  • เสียงดนตรีอันยิ่งใหญ่นั้นยากที่จะได้ยิน ภาพอันยิ่งใหญ่นั้นไม่อาจมองเห็น
  • เต๋าอันเคลือบคลุมซ่อนเร้นนั้นไร้ชื่อ
  • มีเพียงเต๋าเท่านั้นที่เสริมสร้างบำรุงเลี้ยง และให้ความสมบูรณ์แก่สรรพสิ่ง

............................................................

 คล้าย 


  • สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด คล้ายดั่งมีความบกพร่องอยู่ แต่คุณประโยชน์ของมันไม่มีที่สิ้นสุด
  • สิ่งที่เต็มเปี่ยมที่สุด คล้ายดั่งมีความว่างเปล่าอยู่ แต่คุณประโยชน์ของมันไม่มีที่สิ้นสุด
  • ที่ตรงที่สุดคล้ายดังคดงอ ที่ชาญฉลาดที่สุดคล้ายดังโง่เขลา
  • ที่เปี่ยมด้วยโวหารคล้ายดังขัดข้องติดอ่าง
  • เมื่อเคลื่อนไหวทำให้หายหนาว เมื่อหยุดนิ่งทำให้หายร้อน ผู้มีความนิ่งมีความสงบ จึงเป็นแบบอย่างอันเลอเลิศของจักรวาล

.................................................

  หยั่งรู้  


  • โดยมิได้ย่างเท้าออกนอกประตู ก็อาจรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก
  • โดยมิได้มองออกนอกหน้าต่าง ก็อาจเห็นเต๋าแห่งสรวงสวรรค์
  • ยิ่งเดินทางแสวงหาไกลออกไปเท่าใด ยิ่งรู้น้อยลงเท่านั้น
  • ดังนั้นปราชญ์อาจรู้โดยมิต้องเดินทาง อาจเข้าใจโดยมิต้องมองเห็น อาจสัมฤทธิ์ผลโดยมิต้องกระทำ

.............................

 คุณความดีอันล้ำลึก   


  • เต๋าให้กำเนิดแก่สรรพสิ่ง คุณธรรมให้การบำรุงเลี้ยง
  • วัตถุธาตุให้รูปทรง สิ่งแวดล้อมช่วยทำให้สมบูรณ์ ดังนั้นสรรพสิ่งในสากลจักรวาล จึงเทิดทูนเต๋าและยกย่องคุณธรรม
  • เต๋าได้รับการเทิดทูนและคุณธรรมได้รับการยกย่องมิใช่ด้วยการบังคับขู่เข็ญของผู้ใด แต่เป็นไปด้วยตนเอง
  • เต๋าให้กำเนิด คุณธรรมให้การบำรุงเลี้ยง ทำให้สรรพสิ่งเติบโตแผ่ขยาย ให้สถานที่พักอาศัย เลี้ยงดูและปกปักรักษา
  • ให้กำเนิดแต่มิได้ครอบครอง บำรุงเลี้ยงแต่มิได้ถือเป็นความดี
  • มีความยิ่งใหญ่แต่มิได้เข้าบังคับบัญชา นี่คือคุณธรรมอันล้ำลึก

................................................

 เหนือโลก 


  • ผู้ที่รู้ไม่พูด ผู้ที่พูดไม่รู้
  • ถมช่องว่าง
  • ปิดประตู
  • ที่คมทำให้ทื่อ
  • ที่ยุ่งแก้ให้หลุด
  • ที่กระจ่างเกินไป ก็ลดลงเสียบ้าง
  • ที่วุ่นวายหลีกให้พ้น นี่คือเอกภาพอันล้ำลึก


เมื่อทำได้ดังนี้ ทั้งความรักและความเกลียดก็ไม่อาจแผ้วพานการได้ หรือการสูญเสียก็ไร้ความหมายมีเกียรติหรือต่ำต้อยก็มีผลเท่ากัน

ผู้ที่ทำได้ดังนั้นจึงเป็นผู้มีเกียรติสูงสุดอย่างแท้จริงในโลกนี้
................

 ยากกับง่าย  


  • ทำด้วยการไม่กระทำ   ดูแลด้วยการไม่ดูแล
  • ลิ้มรสด้วยการไม่ลิ้มรส   
  • ถือที่เล็กเสมือนใหญ่
  • ถือที่น้อยเสมือนมาก   
  • ตอบแทนความชั่วด้วยความดี
  • จัดการกับสิ่งที่ยุ่งยากในขณะที่ยังง่าย   
  • จัดการกับสิ่งที่ใหญ่ในขณะที่ยังเล็ก
  • ปัญหาที่แก้ยากของโลก จะต้องแก้ไขในขณะที่ยังง่ายอยู่ ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของโลก จะต้องแก้ไขขณะที่ยังเล็กอยู่

ดังนั้นการที่ปราชญ์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานใหญ่ งานอันยิ่งใหญ่ก็สำเร็จลง.
......................................................

 เริ่มทำเมื่อยังง่าย   


  • สิ่งที่อยู่นิ่งง่ายที่จะเก็บรักษา สิ่งที่ยังไม่เกิดง่ายที่จะป้องกัน
  • สิ่งที่อ่อนนุ่มง่ายที่จะฉีกขาด    
  • สิ่งที่เบาบางง่ายที่จะปลิวฟุ้ง
  • จัดการก่อนที่เหตุจะเกิด จัดระเบียบก่อนที่จะยุ่งเหยิง
  • ไม้ใหญ่เต็มโอบเริ่มจากหน่อเล็ก   เก๋งสูงเก้าชั้นเริ่มจากก้อนดิน
  • ทางไกลพันลี้เริ่มจากการเดินหนึ่งก้าว
  • ผู้ที่ทำจะล้มเหลว ผู้ที่จับยึดจะลื่นหลุด ด้วยปราชญ์มิได้กระทำจึงมิล้มเหลว
  • มิได้จับยึด จึงมิลื่นหลุด
  • กิจการงานของผู้คนมักจะล้มเหลวเมื่อใกล้สำเร็จ ด้วยการใช้ความระมัดระวังในตอนท้ายให้เท่ากับเริ่มแรกความล้มเหลวย่อมจะไม่เกิดขึ้น
  • ดังนั้นปราชญ์ย่อมปรารถนาในสิ่งที่คนอื่นไม่พึงปรารถนา และไม่ให้คุณค่าแก่จุดหมายที่บรรลุได้ยาก
  • เรียนรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นมิได้รู้ รื้อฟื้นสิ่งที่คนมากมายได้หลงลืม
  • ท่านได้ช่วยทำให้ทุกสิ่งเติบโตและเป็นไปตามธรรมชาติ แต่มิได้หาญไปยุ่งเกี่ยวกับกฎธรรมชาติ

................................

 การไม่แข่งขัน 


  • ทหารที่กล้าหาญไม่ดุร้าย นักสู้ที่ดีไม่โกรธง่าย
  • ผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ไม่สู้ในเรื่องเล็กน้อย ผู้รู้จักเลือกใช้คนได้ดีย่อมตั้งตนต่ำกว่าผู้อื่น

นี่คือคุณความดีของการไม่แข่งขันช่วงชิง นี่คือความสามารถในการช่วงใช้คน นำไปสู่สถานะอันสูงส่ง   เคียงคู่กับฟ้าอันมีมาแต่ก่อนเก่าก่อน
..........................................

 ความอ่อนโยนมีชัยต่อทุกสิ่ง 


  • ไม่มีสิ่งใดจะอ่อนนุ่มไปกว่าน้ำ และไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่าน้ำ ในการมีชัยเหนือสิ่งที่แข็ง นับว่าไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบและทดแทน
  • ความอ่อนแอมีชัยต่อความแข็งแรง
  • ความอ่อนโยนมีชัยต่อความแข็งกระด้าง
  • ไม่มีใครที่ไม่รู้ แต่ไม่มีใครปฎบัติ
  • ผู้ที่สามารถรับการใส่ร้ายของโลกได้ สมควรที่จะเป็นผู้ดูแลรักษาอาณาจักร ผู้ที่ทนแบกรับบาปโทษของโลกไว้ได้   สมควรเป็นกษัตริย์ปกครองโลก
  • คำพูดที่ตรงไปตรงมานั้น ดูคล้ายเป็นคำที่บิดเบี้ยวและเป็นคำเท็จ

........................................................

 ถ้อยคำที่แท้   


  • คำจริงนั้นฟังดูไม่ไพเราะ คำที่ไพเราะนั้นไม่มีความจริง
  • คนดีมิได้พิสูจน์โดยการถกเถียง คนที่ถกเถียงเก่งไม่ใช่คนดี
  • คนฉลาดรู้ไม่มาก คนรู้มากไม่ฉลาด
  • ปราชญ์ย่อมไม่สะสมเพิ่มพูนเพื่อตนเอง ชีวิตของท่านอยู่เพื่อผู้อื่น 
  • ท่านกับยิ่งร่ำรวยขึ้นเมื่อท่านบริจาคแก่ผู้อื่นดังนั้นท่านยิ่งมีขึ้นทับทวี
  • วิถีแห่งเต๋านั้นมีแต่คุณไม่เคยมีโทษ วิถีแห่งปราชญ์นั้นมีแต่ทำการให้สำเร็จโดยไม่แก่งแย่งแข่งขัน
บทความที่เกี่ยวข้อง

รวมคำถามสัมภาษณ์งานชวนอึ้ง

    ภาพจากอินเทอร์เน็ต

เว็บไซต์ซีบีเอสนิวส์เผยคำถามสัมภาษณ์ผู้สมัครงานสุดแปลกประจำปี 2555 เชื่อช่วยพิสูจน์ไหวพริบ-ปฏิภาณ

นับเป็นหนึ่งในขั้นตอนสมัครงานที่เคร่งเครียดที่สุดและกดดันที่สุดเลยก็ว่าได้สำหรับการสัมภาษณ์งาน เหตุผลเพราะหากผู้สมัครงานสามารถสร้างความประทับใจให้กับคณะผู้สัมภาษณ์ได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมหมายถึงการคว้างานในฝันมานอนกอด อย่างไรก็ตาม แม้จะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน แต่ถ้าต้องเจอคำถามอย่าง “ถ้าจะกำจัดรัฐในสหรัฐ จะตัดรัฐไหนทิ้ง ทำไม” (โดยฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ช) หรือ “มีวัวกี่ตัวในแคนาดา” (โดยกูเกิล) หรือ “คิดอะไรอยู่ตอนขับรถคนเดียว” (โดยแกลลัพ) เป็นต้น บรรดาผู้สอบสัมภาษณ์คงไปไม่ถูกเช่นกัน

งานนี้เว็บไซต์ซีบีเอสนิวส์เลยจัดการรวบรวมคำถามสัมภาษณ์งานสุดแปลกประจำปี 2555 มาให้ได้อ่านประดับความรู้โดยทั่วหน้ากัน ทั้งนี้ ความเห็นจากผู้อ่านส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าเป็นคำถามที่ชวนให้ขัน และกระตุ้นให้อยากตอบผู้สัมภาษณ์กลับไปแบบที่อดจะกวนประสาทไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้อ่านอีกส่วนหนึ่งซึ่งน่าจะเคยมีประสบการณ์อยู่บ้างอธิบายว่า ถ้าสังเกตให้ดี คำถามส่วนใหญ่มักจะเป็นคำถามสำหรับงานวิจัย งานวิเคราะห์ข้อมูล งานขาย หรืองานบริหาร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความฉลาดและปฏิภาณขั้นสูง

นอกจากนี้ คำถามเหล่านั้นยังต้องการทดสอบวุฒิภาวะทางอารมณ์ในกรณีที่อาจจะต้องเผชิญกับลูกค้าหลากหลายประเภท หรือสถานการณ์ที่กดดันต่างๆ นานา รู้ความนัยแบบนี้ จะว่าเป็นคำถามแปลกประหลาดคงไม่ได้เสียแล้ว ต้องเรียกว่าเป็นคำถามทดสอบเชาวน์พิสูจน์กึ๋นจะดีกว่า


ตัวอย่างคำถามสมัครงานชวนอึ้งปี 2555

จะต้องใช้เหรียญสลึงกี่เหรียญเพื่อไปถึงยอดสูงสุดตึกเอ็มไพร์สเตต (โดยเจ็ตบลู)
มีนกเพนกวินสวมหมวกเม็กซิโกเดินเข้าประตูมา มันพูดว่าอะไร และทำไมถึงมาที่นี่ (โดยคลาร์ก คอนสตรักชัน กรุ๊ป)
บอกชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลมา 3 คน (โดยเบเนฟิต คอนเนกส์)
อธิบายกรรมวิธีการทำแซนด์วิชทูน่า (โดยแอสตรอน คอนซัลติง)
ช่วยประเมินให้หน่อยสิว่ามีหน้าต่างกี่บานในนิวยอร์ก (โดยเบนแอนด์โค)
คำนวณองศาของเข็มนาฬิกาในเวลา 11.50 น. (โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา)
เคยขโมยปากกาจากที่ทำงานหรือเปล่า (โดยจิฟฟีย์ ซอฟต์แวร์)
อยากเป็นอุปกรณ์เครื่องครัวอันไหน (โดยแบนด์วิธดอตคอม)
เต็มสิบ ลองให้คะแนนผู้สัมภาษณ์อย่างผมสิ (โดยคราฟต์ ฟู้ดส์)
จะสอนคนอื่นทำไข่เจียวอย่างไร (โดยเพ็ตโค)
แต่ละคำถามล้วนชวนให้อึ้งจริง ๆ แล้วคุณล่ะจะตอบคำถามเหล่านี้อย่างไร?

ที่มา : โพสต์ทูเดย์

สุภาษิต - คำคม ภาษาอังกฤษพร้อมคำแปล



12 - 3 - 4 - 5 - 6 - 7 - 8 - 9 - 10 11 - 12 - 13 - 14

Scottish Wisdom
Money cannot buy happiness but somehow, it's more comfortable to cry in a Mercedes Benz than it is on a bicycle.
เงินมิอาจซื้อความสุขก็จริง แต่การร่ำไห้โศกาในรถเบนซ์ ก็ยังสบายกว่าหลั่งน้ำตาบนรถจักรยานเป็นไหน ๆ

Wayne Dyer
Loving people live a loving world. Hostile people live in a hostile world. Same world.
คนมีความรักอยู่ในโลกแห่งความรัก คนมุ่งร้ายอยู่ในโลกแห่งความมุ่งร้าย ทั้ง ๆ ที่มันก็อยู่ในโลกใบเดียวกัน

Vivianne Westwood
I’m not trying to do something different, I’m trying to do the same thing but in a different way.
ฉันมิได้พยายามทำสิ่งที่แตกต่าง แต่ฉันพยายามทำสิ่งเดียวกันด้วยวิถีทางที่ไม่เหมือนกัน

The Host-the Movie
Better have a meaningful death than living on an empty life.
ตายอย่างมีความหมาย ย่อมดีกว่าดำเนินขีวิตอยู่บนความว่างเปล่าไร้ความหมาย

Anonymous
You will never die because of no one loves you. But you will definitely die because you do not love yourself.
ไม่มีใครตายเพราะคนอื่นไม่รัก มีแต่ตายเพราะไม่รักตัวเอง

Johann Friedrich Von Schiller
The average estimate themselves by what they do, the above average by what they are.
คนโดยทั่วไปประมาณการแฉลี่ยจากสิ่งที่พวกเค้าทำ ขณะที่คนที่มาตรฐานสูงกว่าประมาณตนในตัวตนที่เค้าเป็น

Jim Rohn
It is the set of the sails, not the direction of the wind that determines which way we will go.
มันคือการจัดเตรียมใบเรือ ไม่ใช่ทิศทางลมที่จะเป็นตัวกำหนดเส้นทางที่เราจะแล่นเรือไป

Roald Dahl
Those who don't believe in magic will never find it.
คนที่ไม่เชื่อในสิ่งมหัศจรรย์พวกเค้าไม่มีทางที่จะได้พบมัน

Mary Kay Ash
A mediocre idea that generates enthusiasm will go further than a great idea that inspires no one.
ความคิดปานกลางแต่มีความกระตือรือร้นจะไปได้ไกลกว่าความคิดที่ยอดเยี่ยมแต่ไม่มีแรงบันดาลใจ

Henry Ford
You can do anything if you have enthusiasm. Enthusiasm is the yeast that makes your hopes rise to the stars.
คุณสามารถทำอะไรได้ทุกสิ่งถ้าคุณมีความกระตือรือร้น ความกระตือรือร้นเป็นเสมือนยีสต์ที่ทำให้ความหวังของคุณไปสู่ดวงดาว

Tim Duncan
Good, better, best. Never let it rest. Until your good is better and your better is best.
ดี - ดีกว่า - ดีที่สุด อย่าปล่อยไว้แค่นั้น ทำจนกว่าจะดีกว่าเิดิม และดีขึ้นจนถึงดีที่สุด

Michael Phelps
You can't put a limit on anything. The more you dream, the farther you'll get.
คุณไม่สามารถวางขีดจำกัดในทุกสิ่ง ยิ่งคุณฝันมากเท่าไหร่คุณจะยิ่งก้าวไปไกลได้มากเท่านั้น

 Mark Twain
Challenges make life interesting, however, overcoming them is what makes life meaningful.
ความท้าทายทำให้ชีวิตน่าสนใจ แต่การเอาชนะมันต่างหากที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

Abraham Lincoln
I do the very best I know how - the very best I can; and I mean to keep on doing so until the end.
ฉันทำดีที่สุดฉันรู้ว่าควรทำอย่างไร - ฉันทำมันอย่างดีที่สุดและให้ความสำคัญกับมันจนกว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้น

Bruce Barton
Nothing splendid has ever been achieved except by those who believed that something inside of them was superior to circumstance.
ความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมจะมีไม่ได้หากบุคคลผู้นั้นปราศจากความเชื่อว่ายางสิ่งภายในของพวกเขายอดเยี่ยมเหนือต่อสถานการณ์

Robert H. Schuller
Failure doesn't mean you are a failure...it just means you haven't succeeded yet.
ความล้มเหลวไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนล้มเหลว ... มันแค่หมายถึงว่าคุณยังไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น

Bette Davis
This has always been a motto of mine: Attempt the impossible in order to improve your work.
นี่คือคติพจน์ประจำใจของฉัน.......พยายามในสิ่งที่ยังเป็นไปไม่ได้เพื่อการปรับปรุงพัฒนางานให้ดีขึ้น

Jim Rohn
Don't borrow someone else's plan. Develop your own philosophy and it will lead you to unique places. 
อย่าหยิบยืมแผนการของใคร พัฒนาปรัชญาของคุณเอง และมันจะนำคุณไปสู่สถานที่อันพิเศษสุด


บทความที่เกี่ยวข้อง:



′ออสซี่′ ประท้วง! ′รัฐบาล′ ยิง! ′ม้า′ ทิ้ง! กว่า 10,000 ตัว



วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 matichon.co.th...... ทางการออสเตรเลียจัดการควบคุมปริมาณสัตว์ด้วยการยิงม้าป่า 10,000 ตัว โดยให้เหตุผลว่าพวกมันมีจำนวนมากเกินไปและทำลายพื้นที่ให้เสียหาย

รายงานจากสื่อออสเตรเลียระบุว่าเจ้าหน้าที่จะยิงม้าป่าจากเฮลิคอปเตอร์ในวันนี้ และคาดว่าจะเสร็จสิ้นกลางเดือนมิถุนายน และได้แจ้งเตือนประชาชนให้อยู่ห่างจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของ ‘อลิส สปริงส์’ ในรัศมี 300 ก.ม. เพราะอาจมีเชื้อโรคจากซากสัตว์ที่ตายจำนวนมาก

กระแสข่าวที่ออกมาทำให้มีประชาชนผู้รักม้าออกมาประท้วงต่อต้าน แต่สภาที่ดินได้ให้เหตุผลว่ามีความจำต้องฆ่าพวกมันและไม่มีใครอยากเห็นความเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของที่ดินซึ่งรักม้า แต่หากปล่อยเอาไว้พวกมันจะมีจำนวนมากเกินไปจนควบคุมไม่ได้ และการยิงพวกมันทางอากาศก็เป็นวิธีที่มีมนุษยธรรมที่สุดแล้ว เพราะพื้นที่ตรงนั้นกินอาณาบริเวณหลายพันตารางกิโลเมตรและมีถนนตัดผ่านเพียงไม่กี่สาย อีกทั้งยังเป็นเรื่องยากที่จะขนม้าทั้งหมดขึ้นรถบรรทุกเพื่อไปฆ่าในโรงฆ่าสัตว์ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งห่างออกไปถึง 1,500 ก.ม.

ทั้งนี้ ม้าป่าเหล่านี้เป็นขยายพันธุ์มาจาก ม้าพันธุ์ ‘วอเลอร์’ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม เคยถูกส่งไปให้กองทัพอังกฤษในอินเดีย และออสเตรเลียเคยใช้เป็นม้าศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1


แหวกแนว บริษัท"เยอรมัน"เจ๋ง ประกาศจ้าง"บุคคลสมาธิสั้น"เข้าทำงาน ชี้"เก่งจริง-จุดเด่นไม่เหมือนใคร"



วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 matichon.co.th..... สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ว่า บริษัท"SAP"ซึ่งเป็นบริษัทด้านซอฟท์แวร์ข้ามชาติของเยอรมัน ประกาศแถลงว่า บริษัทมีแผนจะจ้างงานกลุ่มบุคคลที่มีอาการ"ออทิสติก"ประเภท"สมาธิสั้น"เข้าทำงานในบริษัท เนื่องจากกลุ่มบุคคลเหล่านี้มีศักยภาพและจุดเด่นในการทำงานที่ไม่เหมือนคนทั่วไป

โดยบริษัSAP"แถลงว่า บริษัทมีแผนจ้างกลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นจำนวนหลายร้อยอัตรา เพื่อทำงานเป็นผู้พัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ และนักทดสอบระบบ เนื่องจากพวกเขามีจุดเด่นในศักยภาพด้าน"การทุ่มเทความสนใจ"และ"กระหายที่จะค้นหาปัญหาต่าง ๆ"โดยบริษัทต้องการบุคคลที่"คิดต่าง"และ"สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ"ให้แก่บริษัท และว่า ที่ผ่านมา บริษัทได้เคยเห็นศักยภาพของคนกลุ่มนี้ ว่าพวกเขามีจินตนาการอย่างสูงในด้านไอที รวมทั้งการพัฒนาซอฟท์แวร์ การทดสอบ และการรับประกันคุณภาพ ด้วย

นอกจากนี้ บุคคลเหล่านี้ยังมีความสามารถที่จะแก้ปัญหาซับซ้อนได้อย่างง่ายดาย และยังจะเป็นประโยชน์ต่องานผลิตแอพพลิเคชั่น ที่สามารถใช้งานได้ง่ายด้วย และว่า โลกขณะนี้ควรรับรู้ว่ามีกลุ่มบุคคลที่มี"ทักษะในการเอาตัวรอดสูง"จากความสามารถในด้านการแก้ไขปัญหาได้อย่างฉับไว อย่างเช่นกลุ่มบุคคลสมาธิสั้น

ทั้งนี้ จากผลวิจัยเมื่อปี 2011 ชี้ว่า บุคคลสมาธิสั้นจำนวนมากที่มีความตระหนักเข้าใจในบางเรื่องได้อย่างถ่องแท้ และทักษะในการอธิบายเหตุผลต่าง ๆ ที่เกินระดับปกติกว่าบุคคลธรรมดาจะกระทำได้

อราวา อัล-ฮูจาอิลี ทนายหญิงคนแรกของซาอุฯ




(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์)


ตอนที่อราวา อัล-ฮูจาอิลี เริ่มงาน ในแวดวงกฎหมาย เธอไม่เพียงไล่ตามความฝันของตัวเอง แต่ยังเป็นความหวังของคนรุ่นเดียวกัน

เร็ว ๆ นี้ เธอได้เป็นทนายความหญิงคนแรกของซาอุดีอาระเบียสมดังตั้งใจแล้ว

ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า 3 ปีหลังจากพยายามยื่นเรื่องไปยังกระทรวงยุติธรรมซาอุฯ ในที่สุด อัล-ฮูจาอิลี วัย 25 ปี ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทนายความฝึกหัด ซึ่งเป็นสตรีคนแรกของประเทศที่ได้รับโอกาสเช่นนี้

"ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันเป็นผู้บุกเบิก และฉันรู้สึกว่าต้องทำสิ่งที่พวกเขาคาดหวังให้เป็นจริงให้ได้ มันเป็นเหมือนความรับผิดชอบใหญ่หลวง นับจากนี้ผู้คนจะคอยจับตามองสิ่งที่ฉันทำ" อัล-ฮูจาอิลีกล่าว

อัล-ฮูจาอิลี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยคิงอับดุลลาซิซ ในเมืองเจดดาห์ เมื่อปี 2553 และคาดหวังว่าจะได้เป็นทนายความในทันที แต่เธอกลับเสียเวลา 3 ปี ไปกับแดนสนธยาทางวิชาชีพ โดยเป็นได้เพียง "ที่ปรึกษาทางกฎหมาย" แต่ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นทนายความ

ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาในซาอุฯเริ่มรับนักศึกษาหญิงเข้าเรียนด้านนิติศาสตร์ในปี 2548 รุ่นแรกจบการศึกษาในปี 2551 แต่บัณฑิตที่เป็นสตรีไม่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นทนายความอย่างเป็นทางการได้

เพื่อนร่วมชั้นหลายคนของอัล-ฮูจาอิลี ที่หมดความอดทนกับระบบที่ล่าช้าในบ้านเกิด ตัดสินใจเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ แต่เธอยังยืนหยัดอยู่ในเมืองเจดดาห์ และพยายามยื่นใบสมัครขอขึ้นทะเบียนเป็นทนายอย่างไม่ย่อท้อ

ในระหว่างนั้น กลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกับเธอ เริ่มใช้อินเทอร์เน็ตรณรงค์สร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งรวมถึงการตั้งกลุ่ม "ฉันคือทนายความ" บนเฟซบุ๊ก อัพโหลดคลิปบนยูทูบ และรณรงค์ทางทวิตเตอร์เพื่อเรียกร้องสิทธิอาชีพทนายความของผู้หญิง

กลุ่มนิติศาสตรบัณฑิตสตรียื่นถวายฎีกา ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อ 3,000 คน ต่อกษัตริย์อับดุลเลาะห์ ซึ่งทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในเดือนต.ค.ปีกลายให้ผู้หญิงรับการขึ้นทะเบียนเป็นทนายความได้ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าฮานูฟ อัล-ฮัซซา เพื่อนของ อัล-ฮูจาอิลี ซึ่งเป็นทนายความนักรณรงค์ในสหรัฐได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ถึงสถานการณ์ไร้ความหวังในซาอุฯ ซึ่งบีบให้ผู้หญิงที่เรียนกฎหมายต้องทำงานนอกประเทศ พร้อมเรียกร้องให้กษัตริย์อับดุลเลาะห์เข้ามาดูแลปัญหานี้

ไม่กี่วันหลังจากนั้น กระทรวงยุติธรรมประกาศรับใบสมัครจากผู้หญิง และต่อมาไม่นานใบสมัครจากอัล-ฮูจาอิลี ก็ได้รับการอนุมัติ

อัล-ฮูจาอิลี ซึ่งขณะนี้เป็นทนายความฝึกหัด และจะมีคุณสมบัติเป็นทนายความเต็มตัวในอีก 2 ปี วางแผนจะทำงานด้านกฎหมายครอบครัว เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงชาวซาอุฯ

"ผู้หญิงหลายคนต้องการปรึกษากับทนายความหญิง ฉันอยากจะช่วยให้ผู้หญิงเหล่านั้นเข้าถึงสิทธิของพวกเธอเอง" อัล-ฮูจาอิลีระบุ

เธอตระหนักดีว่า เส้นทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่สำหรับอัล-ฮูจาอิลี การได้เป็นทนายความในบ้านเกิดคุ้มค่ากับการรอคอย "ความสำเร็จให้ความรู้สึกหอมหวาน โดยเฉพาะหลังจากฝ่าฟันมายาวนาน"

น่าสนใจกว่า คุณชายพุฒิภัทร มองผ่าน ท่านพินิจ เห็น"จอมพลผ้าขาวม้าแดง" ยุคท็อปบู้ตทมิฬ


                                         คุณพินิจ หรือ นายพลพินิจ มีแง่มุมที่น่าสนใจ
วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 matichon.co.th .....คุณชายพุฒิภัทร หนึ่งในละครชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพ  เป็นละครช่อง 3 ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง


คาดว่า ในช่วงนี้ เด็กเกิดใหม่ จะมีการใช้ชื่อ พุฒิภัทร  เป็นชื่อเด็กชาย ในทุกสำนักงานเขต และคุณพ่อคุณแม่ คงอยากให้ลูกชายเป็น นายแพทย์ พุฒิภัทร

ความฮิตของละคร ดูได้จากในช่วงออนแอร์   รถยนต์บนถนนหลายสายว่างไปถนัดตา

เพราะใคร ๆ ก็รีบกลับบ้านไปเปิดดูละคร ช่อง 3


ปลายสัปดาห์นี้เป็น ตอน อวสาน คาดว่า เรตติ้ง ละครพุ่งปี๊ดแน่


เพราะคนไทย อยากเห็น  คุณชายพุฒิภัทร  จะได้ครองคู่กับ นางสาวสยาม  กรองแก้ว บุญมี  หรือไม่ อย่างไร


แต่ถ้ามองในแง่ เศรษฐศาสตร์การเมืองไทย ตัวละครที่ น่าสนใจที่สุดคือ  นายพลพินิจ หรือ  ท่านพินิจ  ที่รับบทโดย มนตรี เจนอักษร


ท่านพินิจ ในละคร ถูกนำไปเปรียบกับ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ หรือ จอมพลผ้าขาวม้าแดง   ในหลายๆ ประเด็น
ไม่ว่าจะเรื่อง หนูๆ ของจอมพล และความร่ำรวย มั่งคั่งของท่านพินิจ ที่จ่ายเงินปรนเปรอ  หม่อมหลวงมารตี เทวพรหม หรือ  หญิงสาวและไม่สาว  แบบไม่อั้นเท่าไรเท่ากัน  ...ขอให้ได้ตัวเธอมา


หลังจากจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อนิจกรรม หนังสือพิมพ์รายวันในยุคนั้น ได้เปิดเผยนางบำเรอของจอมพลผ้าขาวม้าแดงออกมาวันละคน ไม่ว่าจะเป็น นางงาม ดาราภาพยนตร์ หญิงบริการตามไนท์คลับ นักศึกษามหาวิทยาลัย และนักเรียนมัธยมทั้งสาวและไม่สาว


หนังสือเรื่อง  “รังสวาทหลังพล 1” (โรงพิมพ์พัฒนา พ.ศ.2507) ตอนหนึ่งเขียนบรรยายว่า   จอมพลสฤษดิ์อยู่ที่บ้านซึ่งเป็นฮาเร็ม ซึ่งท่านผู้หญิงวิจิตราไม่สามารถเข้าไปได้ จอมพลสฤษดิ์มักใช้เวลาอยู่กับบรรดานางบำเรอ จอมพลสฤษดิ์ยังมีภรรยาน้อยอื่นๆซึ่งมีบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ หลายแห่งที่จอมพลสฤษดิ์สั่งให้สร้าง โดยทั่วไปแล้ว จอมพลสฤษดิ์จะยังไม่ให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเหล่านั้นแก่บรรดาภรรยาน้อยจนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ ส่วนมากจอมพลสฤษดิ์จะใส่ชื่อนายทหารคนสนิทคนหนึ่งให้เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์


หนังสืออีกเล่ม เขียนโดย “โดม แดนไทย” เรื่อง “จอมพลของคุณหนูๆ” (โรงพิมพ์เกียรติศักดิ์ พ.ศ.2507) โดม แดนไทย ได้รวบรวมรายชื่อ บรรดาสตรีในชีวิตของจอมพลสฤษดิ์ ได้ถึง 81 คน

จากการตรวจสอบข้อมูลในประวัติศาสตร์   พบรายงานของคณะกรรมการสอบสวนขอบข่ายการฉ้อราษฎร์บังหลวงของจอมพลสฤษดิ์ ระบุว่า เงินที่จอมพลสฤษดิ์ใช้เลี้ยงดูนางบำเรอส่วนหนึ่งมาจากเงินกองสลากกินแบ่ง


การใช้เงินกองสลากกินแบ่งของจอมพลสฤษดิ์ ได้กลายเป็นเรื่อง “อื้อฉาว” ขึ้นมาภายหลังจากการถึงแก่อนิจกรรมของจอมพลสฤษดิ์ โดยหนึ่งเดือนหลังจากจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อนิจกรรม ทายาททั้งหลายต่างก็เริ่มวิวาทแก่งแย่งทรัพย์มรดกมหาศาลของอดีตนายกรัฐมนตรี


ในวันแห่งความรัก   วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2507    บุตรทั้ง 7 คนของจอมพลสฤษดิ์ ได้ยื่นฟ้องท่านผู้หญิงวิจิตราที่พยายามจะตัดสิทธิในส่วนแบ่งอันชอบของทายาท

กองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ที่ทายาทต่อสู้แย่งชิงกัน รวบรวมได้เป็นจำนวน 2,874,009,794 บาท รวมกับอสังหาริมทรัพย์อีกมากมายที่ไม่สามารถจะประมาณได้

เนื่องจากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวมาก ประชาชนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งในคดีนี้ และสื่อมวลชนก็ได้ยกเป็นคดีที่อื้อฉาวที่สุดในเมืองไทยและการที่ประชาชนให้ความสนใจในการพิจารณาคดี จึงเป็นการบังคับให้รัฐบาลจอมพลถนอมต้องเข้ามาแทรกแซงและสอบสวนเบื้องหลังความมั่งคั่งของจอมพลสฤษดิ์

จอมพลถนอมลูกน้องของจอมพลสฤษดิ์ ถูกกระแสสังคมบีบบังคับให้ต้องนำมาตรา 17 มาใช้ในการยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์และตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอบข่ายการฉ้อราษฎร์บังหลวงของจอมพลสฤษดิ์ ทั้งๆที่ไม่อยากทำ

จากการสอบสวนของคณะกรรมการฯ พบว่าจอมพลสฤษดิ์ได้ใช้เงินแผ่นดินเพื่อเลี้ยงดูนางบำเรอ และลงทุนในธุรกิจ เงินผลประโยชน์สำคัญ 3แหล่ง ประกอบด้วย เงินประมาณ 394 ล้านบาท เป็นเงินสืบราชการลับของสำนักนายกรัฐมนตรี เงินจำนวน 240 ล้าน จากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลและเงินจำนวน 100 ล้าน ซึ่งควรที่จะให้แก่กองทัพบก ซึ่งได้เปอร์เซ็นต์จากการขายสลากกินแบ่ง



ฮาเรมและเงินปรนเปรอ หนูๆ ของ ท่านนายพล  ส่วนใหญ่มาจากเงินหวยที่ตรวจสอบไม่ได้


เห็นหรือยังว่า ในแง่เศรษฐศาสตร์การเมืองแล้ว   เรื่องราวของ ท่านพินิจ น่าสนใจกว่า  คุณชายพุฒิภัทร หลายเท่า !!!


และมองในแง่ ความเป็นจริง  ในยุคเผด็จการที่อำนาจเต็มมือ ขนาดนั้น คุณชายพุฒิภัทรและพวก

จะขี่รถจี๊บไปช่วย นางสาวสยาม ออกมาจากรังรักของจอมพล


ย่อมเป็นไปไม่ได้   อย่างแน่นอน


เพราะยุคท็อปบู้ตทมิฬ   น่ากลัวว่า การเมืองไทย พ.ศ. นี้ หลายร้อยเท่า !!!


อำนาจการเมืองที่ตรวจสอบได้ กับ อำนาจการเมืองที่ตรวจสอบ ไม่ได้ คุณเลือกเองจะเอาแบบไหน ??


..............................

ข้อมูลจาก หนังสือเรื่อง “การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ” ศ.ทักษ์ เฉลิมเตียรณ
            ปอกเปลือก ฯพณฯ เบื้องหลังข่าวสืบสวนสอบสวน โดย ธีรเดช เอี่ยมสำราญ และ เอื้อมพร สิงหกาญจน์

น้องเหมียวง่วงนอน (แบบปัจจุบันทันด่วน!!)

ใครเอ่ย? ดาราประจำสภาฯ เรียกเสียงกรี๊ด สร้างความฮือฮาให้ช่างภาพและนักข่าว


วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 matichon.co.th..... วันนี้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพประจำอาคารรัฐสภา ต่างให้ความสนใจกับดาราประจำสภาฯ เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เขาคือ "ตัวเงินตัวทอง" ซึ่งผู้สื่อข่าวนิยามว่า เป็นสัญลักษณ์เคียงคู่สภาฯ มาช้านาน

บังเอิญวันนี้อยู่ผิดที่ไปหน่อย หรือติดอยู่บริเวณฝ้าบนโถงอาคารรัฐสภา งานนี้ทำให้เรียกความสนใจกองทัพสื่อมวลชนได้ดีกว่าการประชุมกรรมาธิการทุกคณะ ในวันนี้เสียอีก

แต่จะว่าไปแล้วเจ้าตัวนี้ขึ้นไปอยู่บนนั้นได้อย่างไรกันนะ (ฮา)


จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบว่าตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่ตัวนี้ มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร อยู่บนฝ้าเพดานกลางห้องโถงอาคารรัฐสภา ซึ่งไม่ทราบว่าตัวเงินตัวทองดังกล่าวเข้ามาอยู่ภายในรัฐสภาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คาดว่าหลังจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดทำให้ตัวเงินตัวทองต้องการหลบอากาศที่ร้อนบริเวณภายนอกอาคารรัฐสภา เนื่องจากแหล่งน้ำมีน้อย แต่เนื่องจากตัวใหญ่มาก เมื่อเทียบกับการสำรวจบริเวณที่คิดว่าตัวเงินตัวทอง ตัวนี้จะเข้ามา หลายคนจึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเข้ามาอยู่ตั้งแต่ตัวขนาดเล็ก หรือมีการฟักตัวอ่อนอยู่บริเวณดังกล่าวด้วย

เป็นที่วิพากวิจารณ์ของเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนว่า การปรากฎตัวของตัวเงินตัวทองครั้งนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางการเมือง เนื่องจากในวันพรุ่งนี้จะมีการยื่นร่างพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และในวันที่ 29-31 พ.ค.นี้จะมีการเปิดประชุมวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างงบประมาณประจำปี 2557

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตัวเงินตัวทองดังกล่าว มีลักษณะเด่นที่หางกุด

 

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ช่วยจับตัวเงินตัวทอง ลงมาจากเพดานแล้ว ท่ามกลางความตื่นเต้นของเจ้าหน้าที่ประจำอาคารรัฐสภา นักการเมือง และสื่อมวลชน




คณะกก.วุฒิสภาสหรัฐแฉ"แอปเปิล"ตั้งบริษัทปลอมในตปท. หลบเลี่ยงภาษีปีละหลายพันล้านดอลลาร์



วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 matichon.co.th.....คณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯเปิดเผยผลการสอบสวนพบว่า"แอปเปิล" เป็นหนึ่งในบริษัทที่หลบเลี่ยงภาษีมากที่สุด

คณะกรรมการเปิดเผยว่า แอปเปิลได้ใช้"โครงข่ายนิติบุคคลที่ไม่มีตัวตนที่มีความซับซ้อนนอกประเทศ" เพื่อหลีกเหลี่ยงภาษีเงินได้มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ นายทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอปเปิล จะต้องเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการในวันนี้ (21 พ.ค.) โดยในเอกสารคำให้การ แอปเปิลเปิดเผยว่า บริษัทไม่เคยใช้"ลูกเล่น"เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ แอปเปิลมีเงินสดสะสมที่ 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่คณะกรรมาธิการกล่าวว่า แอปเปิลเก็บเงินราว 102,000 ล้านดอลลาร์ไว้นอกประเทศ

แอปเปิลเปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้จ่ายภาษีให้แก่รัฐรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ โดยในปีงบประมาณ 2012 แอปเปิลจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่รัฐบาลราว 6,000 ล้านดอลลาร์

คณะอนุกรรมการถาวรด้านการสืบสวนประจำวุฒิสภา ได้เปิดการวิเคราะห์กลวิธีของบริษัทระดับชาติขนาดใหญ่เพื่อโยกย้ายผลกำไรไปเก็บไว้นอกประเทศ และพบว่าบริษัทบางแห่งมีพฤติกรรมที่ไม่ส่งรายได้ในต่างประเทศกลับประเทศ เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงภาษีในอัตรา 35% อย่างไรก็ดี บริษัทส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ในรายงานที่เกี่ยวข้องกับแอปเปิล นายคาร์ล เลวิน ปรธานคณะกรรมการฯเปิดเผยว่า แอปเปิลได้ใช้วิธีการเลี่ยงภาษีที่แนบเนียน โดยการสร้างบริษัทลูกที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาเพื่อถือครองทรัพย์สินหลายพันล้านดอลลาร์ เมื่อบริษัทลูกได้รับค่าตอบแทนในรูปของเงินปันผล ดอกเบี้ย หรือค่าสิทธิ เงินได้ดังกล่าวจะสะสมอยู่ที่ประเทศดังกล่าว ซึ่งไม่มีภาระภาษี  บริษัทแม่จะถูกเก็บภาษีจากเงินได้ดังกล่าวก็ต่อเมื่อบริษัทลูกในต่างประเทศ จ่ายเงินปันผลกลับไปยังบริษัทแม่เท่านั้น  และแม้แอปเปิลจะเป็นผู้จ่ายภาษีนิติบุคคลรายใหญ่ที่สุด แต่ด้วยความที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่มาก แอปเปิลจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่หลบเลี่ยงภาษีมากที่สุดเช่นกัน

แอปเปิลกล่าวในแถลงการณ์ว่า บริษัทไม่เคยทำการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินทางปัญญาใดๆไปยังประเทศที่เก็บภาษีในอัตราต่ำ และใช้มันในการเพื่อขายสินค้ากลับมายังประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี และไม่เคยใช้เงินกู้จากบริษัทสาขาในต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการประกอบการในประเทศ อีกทั้งยังไม่เคยเก็บเงินในธนาคารบนเกาะในทะเลแคริบเบียน และไม่เคยเปิดบัญชีธนาคารที่หมู่เกาะเคย์แมน

แอปเปิลเสริมว่า สาเหตุที่บริษัทมีเงินสำรองในต่างประเทศ ก็เพราะบริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าส่วนใหญ่ในต่างประเทศ และรายได้ดังกล่าวก็ถูกเก็บภาษีในประเทศที่บริษัทมีรายได้ไปแล้ว

เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน แอปเปิลได้จำหน่ายตราสารหนี้จำนวน 17,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำเงินไปจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น แทนที่จะใช้วิธีการส่งเงินสำรองกลับประเทศ ซึ่งวิธีการหลังอาจทำให้แอปเปิลต้องจ่ายภาษีเพิ่ม และด้วยวิธีการดังกล่าว ทำให้แอปเปิลสามารถประหยัดเงินไปได้ราว 9,200 ล้านดอลลาร์ แอปเปิลกล่าวในเอกสารคำให้การว่า การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

"แองเจลีนา โจลี"ตัดสินใจหั่น"เต้านม"ทิ้ง!!! ...หลังแพทย์พบมีโอกาสเป็น"โรคมะเร็งเต้านม"สูงถึง 87%











วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 มติชนออนไลน์... เรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใคร ไม่ได้หมายความว่า ร่ำรวยหรือมีชื่อเสียง แล้วจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ห่างไกลโรคร้าย เพราะการดูแลสุขภาพที่ดีต้องใช้ความเอาใจใส่ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ เราจะเห็นได้ว่า คนดังหลายคนมองข้ามในเรื่องนี้ ใช้ชีวิตอย่างสุดโต่งเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ แต่สำหรับดาราดังอย่าง"แองเจลีนา โจลี"แล้ว เธอเป็นคนดังที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการรักษาสุขภาพ

ล่าสุด "แองเจลีนา"ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวชวนตกใจว่า เธอได้เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดเต้านม เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม หลังจากที่แพทย์แจ้งเธอว่า เธอมีโอกาสสูงถึง 87% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านมในอนาคต และเธอมีโอกาสเป็นมะเร็งมดลูกเหมือนแม่ของเธอผู้ล่วงลับ แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า โดยเธอได้เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดเต้านมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอย่างลับๆ

"เมื่อฉันรู้ความจริงเรื่องนี้ ฉันตัดสินใจที่จะทำการลดความเสี่ยงของโรคลงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ฉันจึงเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดเต้านม ฉันเริ่มที่เต้านมก่อน เพราะความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมของฉันมีสูงกว่าการเป็นมะเร็งมดลูก" ดาราฮอลลีวูด กล่าว

กระบวนการผ่าตัดเต้านมของ"แองเจลีนา" เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเต้านมตามธรรมชาติของเธอถูกผ่าตัดออกไป แล้วถูกแทนที่ด้วยเต้านมปลอม ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมจากเดิม 87% ลดลงเหลือน้อยกว่า 5% กระบวนการดังกล่าวเสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ก่อนที่เธอจะออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวในวันที่ 14 พฤษภาคม

"ฉันออกมาเปิดเผยเรื่องนี้เพื่อที่ต้องการจะบอกผู้หญิงทั้งหลายว่า การตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดเต้านมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้ทำลงไป ความเสี่ยงของฉันลดลงเหลือน้อยกว่า 5% ฉันจึงสามารถบอกลูกๆ ของฉันได้ว่า พวกเขาไม่ต้องกลัวที่จะสูญเสียฉันไปเพราะโรคมะเร็งเต้านม และฉันก็โชคดีที่มีคู่ชีวิตอย่างแบรด พิตต์ ที่รักฉันและคอยให้กำลังใจฉันเสมอ" แองเจลีนา ระบุ

ดาราดัง กล่าวต่อว่า สำหรับผู้หญิงทุกคนที่ได้รับรู้เรื่องนี้ ทำให้พวกคุณรู้ว่าคุณมีทางเลือก ฉันสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก หาข้อมูลและพบแพทย์เพื่อหาทางป้องกันโรคร้ายก่อนที่จะสายเกินไป

พระพุทธเจ้าสอนอะไร



โดย : รศ.ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และคณะ แปลเรียบเรียง

พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิม "สิทธัตถะ" (สันสกฤตว่า สิทธารถะ) และพระนามโดยโคตรว่า "โคตมะ" (สันสกฤตว่า เคาตมะ) พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในประเทศอินเดียทางตอนเหนือ ราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พระราชบิดาของพระองค์มีพระนามว่า "สุทโธทนะ" เป็นกษัตริย์ครองอาณาจักรแห่งชาวศากยะ (ในประเทศเนปาลปัจจุบัน พระราชมารดาของพระองค์พระนามว่า " พระราชินีมายา "

ตามประเพณีในสมัยนั้น พระองค์ได้อภิเษกสมรสตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มาก คือ เมื่อพระชนม์ได้ 16 พรรษา กับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม และจงรักภักดี ผู้มีพระนามว่า "ยโสธรา" เจ้าชายหนุ่มประทับอยู่ในราชวังของพระองค์ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสะบายนานัปการ แต่โดยที่ไม่คาดคิด เจ้าชายได้ทรงพบความจริงแท้ของชีวิต และความทุกข์ยากของมนุษยชาติ จึงได้ตัดสินพระทัยที่จะหาทางแก้ไขปัญหากล่าวคือ หนทางพ้นไปจากทุกข์ที่มีอยู่ทั่วไปในสากลโลก เมื่อพระชนมายุได้ 29 พรรษา ภายหลังจากที่พระโอรสของพระองค์ประสูติแล้ว คือ เจ้าชายราหุล ไม่นานนัก พระองค์ก็ได้เสด็จจากอาณาจักรของพระองค์ไปทรงผนวชเป็นนักบวช (ฤาษี) เพื่อแสวงหาทางแก้ไขทุกข์นั้น

นับเป็นเวลาถึง 6 ปี พระฤาษีโคตมะได้จาริกไปในแถบลุ่มแม่น้ำคงคา ได้ทรงพบกับคณาจารย์สอนศาสนาที่มีชื่อเสียง พระองค์ได้ทรงศึกษา และปฏิบัติตามระบบและวิธีการของอาจารย์เหล่านั้น และได้ทรงยอมลดพระองค์ลงรับข้อปฏิบัติแบบการทรมานร่างกายอันหนักยิ่ง แต่ข้อปฏิบัติแห่งหลักการและระบบศาสนาเหล่านั้น ไม่ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยเลยแม้แต่น้อย เหตุนี้พระองค์จึงได้ละทิ้งศาสนาที่มีมาแต่ดั้งเดิมทั้งหมด พร้อมทั้งวิธีการของศาสนาเหล่านั้นเสีย กลับดำเนินไปตามวิถีทางของพระองค์เอง หลังจากนั้นมาจนกระทั่งคืนวันหนึ่ง พระองค์ได้ประทับนั่งอยู่ที่ภายใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง (แต่นั้นก็รู้จักกันโดยชื่อว่า "ต้นโพธิ์" หรือต้นไม้ตรัสรู้) ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่พุทธคยา (ใกล้ตำบลคยาในรัฐพิหารปัจจุบัน) เมื่อพระชนม์ได้ 35 พรรษา พระโคตมะ ก็ได้บรรลุพระโพธิญาณ ซึ่งภายหลังจาการบรรลุพระโพธิญาณนั้นแล้ว พระองค์ก็เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า "พระพุทธเจ้าหรือพระผู้ตรัสรู้แล้ว"

หลังจากการตรัสรู้ของพระองค์แล้ว พระโคตมะพุทธเจ้า ก็ได้ทรงประทานเทศนากัณฑ์แรกแก่ปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นสหายร่วมรุ่นปฏิบัติธรรมมาแต่แรกเริ่มของพระองค์ ณ สวนกวาง ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน (สารนาถในปัจจุบัน) ใกล้เมืองพาราณสี นับตั้งแต่พระองค์ออกบวชเป็นต้นมา เป็นเวลา 45 พรรษา/ปี พระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนมนุษย์ชาย หญิงทุกชนชั้น กล่าวคือ ทั้งกษัตริย์ ชาวนา พราหมณ์ จัณฑาล คฤหบดี ขอทาน นับบวช โจร โดยมิได้ทรงแบ่งแยกชนชั้นสักนิดเดียวในหมู่ชนเหล่านั้น พระองค์มิได้ทรงยอมรับความแตกต่างกันแห่งวรรณะ หรือการแบ่งกลุ่มชนในสังคมเลย หนทางที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้น ก็ทรงเปิดรับมนุษย์ชายหญิงทุกคนผู้พร้อมที่จะเข้าใจ และปฏิบัติตามพระองค์

เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 80 พรรษา พระพุทธเจ้าก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน (มรณภาพ) ที่ เมืองกุสินารา (ปัจจุบันอยู่ในเขต รัฐอุตตร(เหนือ) ประเทศของอินเดีย)

ปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนามีปรากฏอยู่ในประเทศ ศรีลังกา พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม จีน ธิเบต ญี่ปุ่น มองโกเลีย เกาหลี เกาะฟอร์โมซา (ไต้หวัน) ในบางส่วนของประเทศอินเดีย ปากีสถาน เนปาล กับทั้งในสหภาพโซเวียตด้วย รวมประชากรชาวพุทธทั่วโลกมีจำนวนเกินกว่า 500 ล้านคน

เจตนคติของชาวพุทธ

ในบรรดาศาสดาแห่งศาสนาทั้งหลาย พระพุทธเจ้า (ถ้ายอมให้เราเรียกพระองค์ ว่าเป็นศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาตามความหมายของศัพท์ที่เข้าใจกัน) ทรงเป็นศาสดาองค์เดียวเท่านั้น ที่ไม่ได้ทรงอ้างพระองค์ว่า เป็นอะไรอื่นนอกจากมนุษย์ธรรมดา และบริสุทธิ์ ศาสดาทั้งหลายอื่นนั้น ถ้าไม่เป็นพระเจ้าเสียเอง ก็เป็นการอวตารของพระเจ้าในรูปแบบต่าง ๆ หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้ที่พระเจ้าบันดาลขึ้นมา พระพุทธเจ้าไม่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น แต่พระองค์ยังไม่ทรงอ้างการดลใจจากเทพเจ้าองค์ใด องค์หนึ่ง หรืออำนาจภายนอกอย่างใด อย่างหนึ่งอีกด้วย พระองค์ถือว่า การตรัสรู้ การบรรลุธรรม และความสำเร็จของพระองค์ทั้งหมด เป็นความพยายามของมนุษย์และเป็นสติปัญญาของมนุษย์ มนุษย์และเฉพาะ

มนุษย์เท่านั้นสามารถจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพ (ความสามารถในตัวเอง) ในการเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเอง ถ้าหากเขาปรารถนาอย่างนั้น และมีความเพียรพยายาม เราจะเรียกพระพุทธเจ้าว่า เป็นมนุษย์ผู้ยอดเยี่ยมก็ได้ พระพุทธเจ้านั้นทรงมีความเป็นมนุษย์อยู่ในพระองค์เสียจนกระทั่งว่า ในภายหลังพระองค์ได้รับการนับถือในศาสนาของชาวบ้านประหนึ่งว่า เป็นมนุษย์ผู้วิเศษ

ตามหลักของพระพุทธศาสนา ฐานะของมนุษย์เป็นฐานะที่สูงสุด มนุษย์เป็นนายของตนเอง และไม่มีผู้วิเศษหรือพลังอื่นใดที่จะมาตัดสินชี้ขาดชะตากรรมของมนุษย์ได้

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ตนเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่ง(ของเราได้)" พระองค์ทรงเตือนสาวกทั้งหลายของพระองค์ให้เป็นที่พึ่งแต่ตนเอง และไม่ให้แสวงหาที่พึ่งในคนอื่น หรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นใดเลย พระองค์ได้ตรัสสอนส่งเสริมและกระตุ้นเตือนให้บุคคลแต่ละคนพัฒนาตนเอง และทำความหลุดพ้นของตนให้สำเร็จ เพราะมนุษย์มีพลังที่จะปลดเปลื้องตนเองจากสังโยชน์(เครื่องผูกรัด) โดยอาศัยความเพียรและสติปัญญาส่วนเฉพาะตัวได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า "ท่านทั้งหลายควรทำกิจของตนเอง เพราะว่าตถาคตทั้งหลายเพียงแต่บอกทางให้" หากพระพุทธเจ้าจะได้รับขนานนามว่า "พระผู้ไถ่บาป" (พระมหาไถ่) แล้วไซร้ ก็จะเป็นได้เฉพาะในความหมายที่ว่าพระองค์ได้ทรงค้นพบและทรงชี้แนวทาง(มรรคา)ไปสู่ความหลุดพ้นคือ พระนิพพาน เท่านั้น แต่เราจะต้องปฏิบัติตามมรรคานั้นด้วยตัวของเราเอง

ด้วยหลักแห่งความรับผิดชอบของบุคคลแต่ละคนนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สาวกของพระองค์มีอิสระภาพในมหาปรินิพพานสูตร พระองค์ตรัสไว้ว่า "พระองค์ไม่เคยดำริที่จะบังคับควบคุมคณะสงฆ์เลย และทั้งไม่ประสงค์จะให้คณะสงฆ์พึ่งพาอาศัยพระองค์" พระองค์ตรัสว่าไม่มีหลักธรรมวงใน ในคำสั่งสอนของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดซ่อนไว้ในมือของอาจารย์ หรือไม่มีสิ่งใดซ่อน-ปิดบังอำพราง ไว้ในแขนเสื้อ

เสรีภาพทางความคิดที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตนี้ ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนในที่อื่นใดในประวัติศาสตร์แห่งศาสนาทั้งหลาย เสรีภาพข้อนี้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเหตุว่าตามที่พระองค์ตรัสสอนไว้นั้นความหลุดพ้นของมนุษย์ต้องอาศัยการทำให้แจ้งสัจธรรมด้วยตัวเอง มิได้อาศัยความกรุณาจากพระเจ้าองค์ใด หรือจากอำนาจภายนอกใด ๆ เพื่อเป็นรางวัลสำหรับความประพฤติที่ดีงามมีความเชื่อฟังต่อพระองค์

แหล่งข้อมูล dhammathai.org

ดาวน์โหลดหนังสือ "สมาธิในพระพุทธศาสนา (แปลจากหนังสือ Buddhist Meditation)"



หนังสือเล่มนี้ รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร แปลจากหนังสือ Buddhist Mediation ของ Ven. Dr.P.Vajiranana โดยที่หนังสือนี้เป็นผลแห่งการสืบสวนถึงภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ผลทีได้รับ การบรรลุธรรม และจุดมุ่งหมายสุดท้ายในการเจริญสมาธิในพระพุทธศาสนา ตามที่ค้นพบในพระคัมภีร์ต่างๆ ของฝ่ายเถรวาทซึ่งแต่งไว้เป็นภาษาบาลี

ในที่นี้ คำว่า สมาธิ ไม่ถือว่าเป็นการหลุดพ้นไปจากโลกซึ่งเป็นเชิงลบ แต่เป็นพลังที่ทรงความสามารถซึ่งเป็นเชิงบวก เป็นคุณธรรมที่สามารถยกสถานภาพของบุคคลจากสภาพธรรมดาขึ้นสู่สภาพที่ประเสริฐได้ เป็นมรรควิถีที่ช่วยบุคคลให้ออกจากความมืดคืออวิชชาได้ และช่วยพัฒนาความฉลาดให้สูงขึ้นจนถึงจุดรู้แจ้งเห็นจริงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่มนุษย์แสวงหา เป็นวิถึทางอันเดียวที่จะนำบุคคลไปถึงความหลุดพ้นในที่สุด ซึ่งเป็นความสุขนิรันดร พระพุทธเจ้าตรัสเรียกกว่าหลุดพ้นนี้ว่า “นิรวาณ” (ตรงกับภาษาบาลีว่า นิพพาน) ในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ


ดาวน์โหลด



..

ดาวน์โหลดหนังสือ "พุทธรังษีธฤษดีญาณ ว่าด้วยสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน 4 ยุค"



โดย ธฤษดีญาณ ว่าด้วยสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน 4 ยุค

หนังสือสมถะและวิปัสสนาของเก่าหลายสำนวน ได้มาจากต่างถิ่นต่างทาง คือได้มาจาก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นของเนื่องมาจากแต่นครเวียงจันทร์ อันพระเถระเจ้าทั้งหลายชาวนครเวียงจันทร์แด่โบราณกาลได้รจนาขึ้นไว้บ้าง ได้มาจากจังหวัดลพบุรีบ้าง ได้มาจากทางพระนครกรุงศรีอยุธยาบ้าง ได้ที่พระนครกรุงเทพฯ นี้บ้าง หนังสือปวงนี้ พระมหาโชติปญฺโญ ป.๕ วัดบรมนิวาส เป็นผู้รวบรวบจัดพิมพ์ขึ้นไว้เป็นหนังสือ


ดาวน์โหลด




..

ดาวน์โหลดหนังสือ "วิธีการทำสมาธิแบบหลวงปู่มั่น"



โดยพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปณฺโณ)

หนังสือวิธีการทำสมาธิแบบหลวงปู่มั่น เป็นหนังสือที่ชมรมกัลยาณธรรม ได้จัดพิมพ์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและอาจริยบูชา ในปัญญาประจักษ์แจ้งของครูบาอาจารย์ ที่เคยผ่านเส้นทางแห่งการแสวงหามาก่อนแล้ว ซึ่งแนวทางการปฏิบัติ ในมรรคาแห่งมหาสติปัฏฐานสี่ อันเป็นทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าได้รอบรองผลการปฏิบัติมาแล้ว

>> ดาวน์โหลด 




..

ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า โดยหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี



ภาวนา... พุทโธกับหนอ...ขัดกันไหม? ...ไม่ขัดนะ อารมณ์เหมือนกันนั้นแหละ ลมในจมูก ลมในท้อง เพียง แต่กำหนดต่างกัน ที่จริงก็คือภาวนาแบบเดียวกันนั่นแหละ พุทโธก็กำหนดสั้นๆ อยู่ที่ลมหายใจเข้า ออกปลายจมูก หนอก็กำหนดท้องพอง ยุบ คนที่กำหนดลมไม่ได้ก็กำหนดท้องได้ คนที่กำหนดท้องไม่ได้กำหนดจมูกได้ บางคนกำหนดได้ทั้งสองอย่าง ได้ทั้งท้อง ได้ทั้งจมูก บางคนก็ไม่ได้ ท้องก็ไม่ได้ จมูกก็ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสติใครมากหรือน้อยต่างกัน ก็ไม่ต่างกันตรงที่ว่าตรงไหนก็ได้ถ้าคนรู้จักทำ รู้จักอุบาย เดินก็เหมือนกัน ขวาพุท ซ้ายโธ ก็เหมือนกับ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ นั่นแหละ ก็สุดแล้วแต่อุบาย เอาสติมาจับไว้ที่กายก็เป็นสมาธิเหมือนกันไม่ต่างกัน ต่างกันตรงที่แนะนำสั่งสอนหรือว่าเริ่มต้น แต่พอสงบแล้วก็เหมือนกัน ปัญญาก็เหมือนกัน บางคนก็สับสนว่า

เอ้! เอาไงดีหนอ เคยพุทโธ แล้วมาหนอ ยุ่งยากจังž

แท้จริงแล้วไม่มีอะไร ก็คือทำตัวสติให้เกิดขึ้น แล้วก็ทำให้รู้ทัน คือรู้กายให้มากขึ้น มีสติมากขึ้น

มีอะไรสงสัยไหม?Ž

พอมันเกิดปีติแล้ว พิจารณาปีติดับแล้วมันก็เกิดชุ่มเย็น เป็นสุข พอสุขดับแล้วก็พิจารณาอะไรต่อครับ?Ž

ก็พิจารณาเรื่อยไป ยกจิตขึ้นสู่ความสุขก็อยู่กับความสุข พอสุขดับก็เฉย นี่เป็นอารมณ์ธรรม อารมณ์ขององค์ฌาน ปีติ เอกคตา เป็นลำดับ แสดงว่าเรายังติดอยู่ในสุข ก็เหมือนมันเป็นผลของปีติ ผลของปีติก็ทำให้สุข ผลของสุขก็ทำให้อุเบกขา จะต่อเนื่องกัน ก็รักษาอารมณ์ไว้ พวกนี้มันไม่เที่ยงนะ มันเกิดแล้วมันก็หาย ไม่ตั้งอยู่ได้นานหรอก แต่ก็พัฒนาขึ้นมาแล้ว เรียกว่าเราได้สัมผัสกับความสุข แสดงว่าเราสงบ ถ้าไม่สงบก็ไม่เกิดปีติ ถ้าไม่มีวิตกวิจารก็ไม่เกิดปีติ แต่นี่ถ้าความสุขมันหายไป เราก็กลับมาเจริญวิตกวิจารอีก ก็เป็นปีติ ก็สุขอีก ก็ถอยกับมาอีก กลับมาวิตกวิจารดูภาวนาต่ออีก เช่นเราดูลมหายใจเราก็ดูต่อ แล้วก็เกิดปีติอีก เรียกว่าตั้งต้นใหม่ เรียกว่าไปติดอยู่ที่สุข ก็ต้องเจริญใหม่Ž

ไม่ทราบว่าจะต้องเจริญอย่างไรต่อครับ ถึงจะเป็นโพชฌงค์Ž

ก็เจริญสติมากๆ เจริญปีติ เจริญอุเบกขา ก็เจริญอย่างนี้แหละ ต้องมีความเพียรไปเรื่อยๆ อย่างนี้ใช้ได้ และที่เราทำก็เป็นโพชฌงค์ ๗ อยู่แล้ว (โพชฌงค์ ๗ องค์แห่งธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ ๑ สติ (มีความรู้ตัวเต็มที่) ๒ ธัมมวิจยะ (มีปัญญาขบธรรมะ) ๓ วิริยะ (มีความเพียรพยายาม) ๔. ปีติ (มีความอิ่มใจ) ๕. ปัสสัทธิ (ความสงบใจ) ๖. สมาธิ (ตั้งใจมั่น) ๗. อุเบกขา (วางเฉย) ขยันเดินจงกรมหน่อยก็แล้วกันŽ

เดินจงกรมนี้ดี เดินจงกรมนี้ช่วยได้เยอะ แก้ความข้องใจ แก้ทุกอย่าง เดินให้ดับเวทนาได้ คลายเคลียดได้ ทุกอย่างจะปรับตัวได้หมด ถ้านั่งอย่างเดียวไม่สำเร็จก็ต้องเดิน เดินให้มาก ต้องขยันภาวนา นั่งอย่างเดียวก็ไม่ค่อยสำเร็จถ้าเดินก็ช่วยได้เยอะ เดินทำให้เกิดปัญญา แก้ปัญหาไม่ตกเดินแล้วจะแก้ตกŽ

ให้อาจารย์อธิบายการยืนŽ

ยืนโยมกำหนดที่ไหนหละ?

แยกกายแยกจิต พิจารณาร่างกายŽ

พิจารณาร่างกาย ใช้ได้ อะไรก็ได้ให้จิตอยู่กับกายก็แล้วกัน ยืนมาอุบายได้หลายอย่าง ยืนกำหนดที่ฝ่าเท้า ยืนกำหนดที่กลางทรวงอกได้ ยืนกำหนดที่หน้าผากได้ ยืนกำหนดที่ลมหายใจได้ หรือยืนกำหนดพิจารณาร่างกายได้ อยู่ในฐานกายใช้ได้หมด ขอให้มีสติสมบูรณ์

หลวงพอคะ โยมเกิดปีติ แต่เกิดแล้วรู้สึกกลัวค่ะŽ

กลัวอะไร กลัวใจตัวเองเหรอ?Ž

ไม่ทราบคะ ไม่ทราบเหมือนกันแต่รู้สึกกลัวค่ะ แต่ว่ามีความสุขนะเจ้าคะŽ

ก็กำหนดที่จิตปีติเรานั่นแหละ เจริญตรงนั้นแหละว่ากลัวอะไร กลัวอะไรก็พิจารณาตรงนั้น แล้วก็พยายามเริ่มต้นให้ได้ ว่าเราเกิดปีติมาจากอะไร ว่าเกิดมาจากการพิจารณาธรรมะข้อไหน หรือจากการกำหนดธรรมะข้อไหน แล้วก็กลับมาเริ่มต้นตรงนั้น ก็ไปสู่ปีติอีก ก็ให้ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัว ไม่มีอันตรายŽ

เวลานั่งสมาธิ มีความรู้สึกว่าจิตนี้จะนิ่งเป็นสมาธิแต่ว่ารู้สึกว่ากายนี้โยกไปข้างหน้าแต่ว่าบังคับไม่ได้ และลมหายใจนี้รู้สึกว่าขึ้นลงเร็วมากแทบจะไม่มี แต่ว่ารู้สึกจิตใจจะเหนื่อย กายจะเหนื่อย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร?Ž

เราต้องพิจารณาลมหายใจโดยที่ไม่บังคับตัวเองกับลม พยายามอย่างไปบังคับ เช่นโยกอย่างไปฝืน หรือลมหายใจพยายามอย่างไปตั้งลมหายใจเอง พยายามปล่อยตามธรรมชาติ พิจารณาไปตามที่เขาเป็นที่เขาเกิด อย่าไปให้สั้นให้ยาวให้หนักให้เบา อย่าไปเกร็งŽ

โยมก็ไม่ได้เกร็งหรอกคะ ก็พยายามรู้กายรู้ลมตลอด แต่มันก็ยังเหนื่อยคะŽ

ก็ไม่เป็นไรถ้ามันเหนื่อยก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้เกร็งไม่ได้ฝืนก็ไม่เป็นไร ก็ให้รู้อยู่เรื่อยไปŽ

ถ้ารู้สึกว่ากายมันโยกก็ให้มันโยกไป ไม่ต้องฝืนอย่างนั้นหรือเปล่าคะŽ

เราก็ให้รู้ตัวว่าเราโยก แล้วก็กลับมาตั้งสติให้ตรงเท่านั้นแหละ พยายามเหยียดหลังตรงๆ มันโยกก็ให้รู้ว่ามันโยก แต่เราไม่ต้องไปโยกตามมัน ให้รู้ตัวไว้Ž

หลวงพ่อเจ้าคะ คนที่มีสติสัมปชัญญะกับคนที่มีสมาธินั้น เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรเจ้าคะŽ

คนที่มีสติสัมปชัญญะ หมายถึงว่าคือรู้ตัวชั่วขณะหนึ่ง คือทำอะไรก็ให้รู้สติสัมปชัญญะ สมาธิหมายถึงการฝึกให้จิตเป็นหนึ่งอย่างเช่นเราฝึกแล้วทำให้เกิดปีติ เกิดสุข อย่างนี้เรียกว่าฝึกสมาธิ แต่ถ้าสัมปชัญญะ สติก็เพียงรู้ว่าเราทำอะไรคิดอะไร นี่เป็นส่วนของสติ หน้าที่มันต่างกัน สตินี้อาจจะไม่เจอความปีติ เกิดความสุขอะไร แต่ว่ามันก็มีความรู้ตัว แต่ว่าสมาธินี้เป็นการฝึกให้จิตพัฒนาไปสู่ความสงบมากขึ้น ก็คนละอย่าง ผลก็มีทั้งสองอย่าง แต่มันมีหน้าที่ต่างกัน บางคนก็ไม่ได้สมาธิ ได้แต่สติ ปฏิบัติไปก็ได้แต่รู้ว่าคิดอะไร สงบไม่สงบ แต่ไม่เคยเกิดสมาธิชั้นสูง ก็ได้บ้าง..แต่ว่าไม่ได้ถึงองค์ฌาน ปีติสุข เอกัคตา (ความมีจิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว) ได้แต่สัมปชัญญะได้สติ อันนั้นก็ถือว่าเขาก็ปฏิบัติได้ส่วนหนึ่ง แต่บางคนเขาฝึกแล้ว เขาจะเข้าสมาธิได้อยู่เรื่อย นั้นเป็นปัจจัยของเขา นั้นก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของผู้ฝึกได้สมาธิŽ

อย่างคนที่มีสติอย่างเดียว มีทางที่จะได้เป็นพระอริยเจ้าไหมเจ้าคะŽ

สติเป็นส่วนประกอบทุกอย่าง แม้แต่มีสมาธิก็ต้องมีสติมีสมาธิอย่างเดียวก็ไม่พอ มีสมาธิก็ต้องมีปัญญาอีกเป็นป่วนประกอบมีแต่สติอย่างเดียวไม่มีสมาธิก็ไม่พอ ก็ต้องมีธรรมประกอบกัน มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา การที่จะไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ต้องมีสมาธิด้วย มีสติอย่างเดียวก็ไม่ถึง อย่างน้อยก็ต้องผ่านขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) หรืออุปจารสมาธิ (สมาธิอันยังไม่ดิ่งถึงที่สุด) จึงจะได้ ต้องผ่านสมาธิ จิตจะต้องสงบกว่าปกติŽ

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนวิตก อันไหนวิจารณ์Ž

วิตกคือเรายกจิตขึ้นสู่ลมหายใจ เอาจิตมาไว้ที่ลมหายใจเราเอาสติมาไว้ที่ลมหายใจ เรียกว่าวิตก ไม่ให้ใจเราลอยไปคิดอย่างอื่น ให้ใจไปคิดถึงคนโน้นคนนี้ แต่เราหายใจอยู่ตลอดเวลานั้นคือไม่มีวิตก แต่ถ้าเราเอาจิตมาไว้ที่ลมหายใจหรือเอาไว้ที่ท้องยุบพอง หรือเอาจิตมาไว้ที่ยกเท้าก้าวไป เรียกว่าวิตกเหมือนกัน ยกขึ้น ก้าวไป วางลง วิจารณ์หมายถึงพิจารณาละเอียดขึ้นไปอีกว่ากายที่ก้าวไปนี้เบาหรือหนัก แล้วเราสงบหรือไม่สงบก็จะรู้ไปถึงตรงนั้น วิตกคือยกจิตขึ้นมาสู่ลมหายใจ วิจารณ์คือพิจารณาให้เห็นชัดในลมหายใจ พิจารณาเห็นชัดในกองลมมากขึ้นๆ แล้วก็รู้ว่าจิตสงบหรือไม่สบงแล้วก็วิจารณ์ออกมาได้ ถ้าหากเราทันอารมณ์มากขึ้นควบคุมจิตมากขึ้น จนจิตอยู่กับลมหายใจได้ชัดหรืออยู่กับการเคลื่อนไหว อยู่กับการทำสติก็เป็นปีติ พอเป็นปีติต้องให้มันสงบติดต่อกัน ต้องถือว่าอย่างนั้นจึงจะถือต้อง ธรรมะของพระพุทธเจ้าวางไว้ตายตัวอยู่แล้วเรื่องวิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา เป็นหลักธรรมเบื้องต้น คนเราพอมีเอกัคตาแล้วจิตจึงจะพิจารณาอย่างอื่นได้ ถ้าไม่มีเอกัคตาแล้วจิตก็จะสับสนวุ่นวาย จะพิจารณาอะไรไม่แตกหัก เพราะไม่มีอุเบกขา ตัดสินใจไม่แน่วแน่ความเชื่อมั่นก็ไม่มี เข้าใจแล้วใช่ไหมวิตก วิจารณ์ ถ้าเราไม่ปฏิบัติแล้วเราจะไม่เข้าใจ ถ้าเราปฏิบัติแล้วเราจะเข้าใจ ทุกคนมีทั้งนั้นแหละวิตก ใช่ไหม? วิจารณ์ก็มีทุกคนนั่นแหละ แต่ปีติจะเกิดได้ต้องวิจารณ์ให้มากขึ้น ตามรู้จิตให้มากขึ้น ว่าจิตเราสงบหรือไม่สงบ ตามรู้ลมให้มากยิ่งขึ้นปีติจึงจะเกิด ถ้าตามไม่ทันปีติก็ไม่เกิดปีติก็ไม่ได้ ตัวปีตินี้เป็นตัวขยัน ถ้ามีปีติแล้วไม่ปวดไม่เมื่อย ไม่ง่วงเหงาหาวนอน ไม่หิว โรคภัยไข้เจ็บอะไรมันเบาบางลง และรู้สึกว่าเราไม่ท้อถอย แม้แต่ความหนาวก็เหมือนไม่หนาว หิวก็ไม่หิว ร้อนก็ไม่ร้อน เพราะปีติเป็นอาหารใจจะทำให้มีกำลังใจปฏิบัติ พอปีติดับนิวรณ์เข้ามาก็ขี้เกียจต่อ บางคนทำๆ ไปแล้วก็เลิกทำ บางคนก็ขยันเป็นพักๆ บางคนก็ทำสม่ำเสมอ ปีตินี้ถ้าผู้ปฏิบัติได้พบแล้วก็เหมือนกันทุกคนนั่นแหละ ถ้าปีติอย่างแรงกล้า เวลานั่งแล้วตัวลอยไปเลย ปีติอันนี้ถ้าพูดตามหลักสมัยนี้ตัวไม่ลอย แต่พอเข้าฌานแล้วก็จะเป็นนิมิตของตัวเองลอยออกไป ออกไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี่ มันเป็นปีติ แล้วก็เอาจิตตรงนั้นมาไว้ที่ตัวเองไม่ให้นิมิตออกข้างนอกกาย เราจะเห็นตัวเองลอยออกจากร่างตัวเอง นอนอยู่ก็ลอย นั่งอยู่ก็ลอย ไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี่ได้ ที่ว่าไปดูนรกสวรรค์นั่นแหละปีติออกไป เอากลับเข้ามาพิจารณาร่างกาย จนสงบ พอปีติดับไปแล้วมันก็สุข บางคนปีติเกิดขึ้นเป็นเดือนๆ เกิดทุกวันๆ นั่งเมื่อไรก็ปีติ นั่งพิจารณาธรรมอะไรก็ปีติ พอปีติดับแล้วธรรมะก็เกิดแล้ว ทุกคนต้องประสบ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะได้เร็ว พอมาเข้าคอร์ส ปีติ สุข เอกัคตาจะเกิดได้เร็ว เพราะเรามีสติได้มากกว่าคนที่ไม่ภาวนาต่อเนื่องŽ

สมมติว่าปฏิบัติจนปีติเกิดแล้ว พอมาฟังธรรมเฉยๆ ก็เกิดน้ำตาไหล ขนลุกขนพองŽ

ก็เป็นได้ ธรรมะก็เหมือนกันนั่นแหละเพราะเราก็ปฏิบัติอยู่แล้ว การฟังธรรมจิตมันก็เป็นไปตามธรรมะเหมือนกัน สมัยพระพุทธเจ้าคนฟังธรรมไม่ต้องนั่งสมาธิก็สำเร็จ มีปีติ มีความสุขเหมือนกัน ก็ต้องอาศัยความเพียร ต้องขยันŽ

มีอยู่ข้อหนึ่งที่ได้มาจากหลวงพ่อสอนเรื่องการฉันอาหารกายกินแต่ใจไม่ได้กิน กายกับใจมันคนละส่วนกัน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ติดรสอาหารเท่าไรŽ

ก็ใช่..กายมันเคี้ยวแต่จิตไปคิดอย่างอื่น คนเวลาโกรธ ถ้าแยกใจได้ก็จะไม่โกรธ แยกจิตได้ก็จะไม่โกรธ เวลาคิดอะไรมากๆ แล้ว จิตกับกายก็ต้องแยกกันได้ ถ้าแยกกันได้จะรู้ทันจิตตัวเอง ก็จะดับทุกข์ที่จิตได้ คนที่ดับทุกข์ที่จิตไม่ได้โดยมากก็จะไม่ทันจิตตัวเอง คิดไปไหนก็จะไปตามจิต แต่ถ้ารู้ทันจิตก็จะหยุดอยู่ตรงนั้น จะดับอยู่ตรงที่จิตมันเกิดนั่นแหละ ก็เรียกว่ารู้จักสติรู้จักจิตตัวเอง เวลาปฏิบัติก็ต้องเจอตรงนี้ เจอจิตตัวเอง ไปเข้าใจจิตตัวเอง ไปรู้จักจิตตัวเองŽ

แล้วเราจะรู้จิตของตัวเองได้อย่างไรเจ้าคะ ด้วยการทำสมาธินี้หรือค่ะŽ

เรา..ยังไม่รู้จิตตัวเองอีกหรือ?Ž

ไม่แน่ใจคะŽ

ไม่แน่ใจ.! เวลานั่งแล้วใจคิดอะไรล่ะ..Ž

ก็คิดแต่พุทโธค่ะŽ

ไม่คิดถึงบ้านเลยเหรอ..ไม่คิดถึงคนโน้นคนนี้บ้างเหรอ..Ž

คิดถึงก็คิดถึงอยู่คะ แต่ว่าคิดอยู่ใกล้ๆ ตัวไม่ค่อยได้คิดไปไกลตัวเท่าไรŽ

ก็นั่นแหละจิตล่ะ แล้วเวลาที่เราไม่นั่งเราเคลื่อนไหวเราเห็นหรือเปล่าล่ะ เวลาเราคุยเราเห็นไหม? ไม่เห็นใช่ไหมŽ

ไม่เห็นค่ะŽ

ถ้าเห็นแล้วมันจะเห็นตลอดเวลา ต่อไปถ้าเห็นได้มันจะเห็นได้ตลอดเวลา แม้แต่คุยหรือคิดไปไหนก็เห็น ต้องดูไปเรื่อยๆ ก็ดูใกล้ตัวนั่นแหละจิตทั้งหมดนั่นแหละที่มันคิดอยู่ใกล้ตัว แว๊บไปหาคนโน้นแว๊บไปหาคนนี้ กังวลโน้นกังวลนี้ นั่นแหละคือจิต จิตไม่มีตัวตน แต่เราเห็นได้ใช่ไหมว่าคิดเรื่องอะไร ต้องตามดูตรงนั้นแหละจึงจะรู้ว่าเห็นจิตหรือไม่เห็นจิต นั่นเป็นเหตุของมันคำตอบอยู่ตรงนั้นแหละŽ

หลวงพ่อคะ เวลาเดินจงกรมต้องภาวนาด้วยใช่ไหม?Ž

เราเดินกำหนดที่ก้าวไป..ใช่ไหม?Ž

ใช่ค่ะŽ

ก็นั่นแหละกำหนดภาวนาแล้ว สติเป็นตัวภาวนาŽ

เวลาตอนเย็นก็เดินจงกรมอีกรอบหนึ่ง ตอนนี้ระหว่างเดิน ก็เพ่งสายตาไปที่จุดเดียว ตอนนี้แน่นหน้าอกเจ้าคะŽ

จิตออกนอก จิตต้องอยู่ที่เท้าซิ ตาก็เพียงแค่ทอดต่ำไปดูว่าเราเดินไปตรงนั้น แต่สติต้องอยู่ที่เท้า พอจิตเพ่งออกไปก็คล้ายกับว่ามันเพ่งเกินไปจึงเกิดกดดันขึ้น ทำให้เกิดแน่นหน้าอกขึ้นได้ เป็นเคลียดไปŽ

หลวงพ่อคะ พอจิตเกิดปีติแล้วบางคนเห็นเป็นปราสาทบางคนก็บอกว่าเห็นเป็นองค์พระ บ้างก็น้ำตาไหล แต่ละคนเหมือนกันหรือเปล่าเจ้าค่ะŽ

จะไปถามกับใครล่ะ..ของใครของมัน ขอให้เป็นปีติมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ จิตมันก็ปีติเหมือนกัน ปีติขั้นต้นก็ปีติขนลุกน้ำตาไหลก็มี ตัวลอยตัวเบานี้เป็นปีติชั้นสูง ก็ถือว่าเป็นปีติทั้งนั้นแหละ เช่นว่าคุณนั่งขนลุกไหม? ถ้าขนลุกแสดงว่าเหมือนกัน น้ำตาไหลไหม?ไหลเหมือนกัน ตัวเบาเหมือนตัวลอยไปเลย ลักษณะจิตเหมือนกัน แต่การรู้เห็นเป็นเรื่องของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปีติขั้นไหนก็เหมือนกันหมด ขั้นตัวเบาก็ตัวเบา ขั้นน้ำตาไหลก็น้ำตาไหลเหมือนกัน ขั้นขนลุกก็ขนลุกเหมือนกัน ถ้าเกิดปีติจะขยันภาวนา ก็อยากจะปฏิบัติต่อ พระพุทธเจ้าท่านมีปีติสุดยอดปีติท่านดับไปแล้วท่านเสวยวิมุติสุขอยู่ได้ถึงเจ็ดสัปดาห์ ปีติท่านมากกว่าคนธรรมดา เรา..ก็ปีติได้เหมือนกันแค่อดข้าวได้ตอนเย็นไม่ถึงกับอดเป็นสัปดาห์ถ้าปีติขนาดนั้นอดเป็นสัปดาห์ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นปีติแรงกล้า เสวยวิมุติเสวยปีติ เหมือนอย่างเทวดามีปีติมากเขาไม่กินอาหารได้สิบห้าวัน เทวดากินอาหารทิพยิ์อิ่มไปได้สิบห้าวัน อาหารของเขาละเอียดกว่าอาหารของเรา เรียกว่าอาหารทิพย์ อาหารบุญ นั่นเพราะเขามีปีติมาก. พระพรหม ไม่ต้องกินอาหาร ถือว่าเสวยพรหมวิหาร ๔ เขาไม่ต้องกินอาหารเพราะจิตละเอียดกว่าเทวดา ปีติมีมากกว่า สุขมากกว่า อุเบกขามากกว่า มนุษย์นี้มีปีติน้อย ก็ต้องกินอาหารหนัก พระพุทธเจ้ามีปีติมาก ไม่ต้องเสวยอาหารได้ ๗ สัปดาห์ อยู่ที่กำลังใจทุกอย่างมาจากใจเป็นส่วนใหญ่ จิตเป็นผู้ให้จิตเป็นผู้ได้ แต่กายเป็นเครื่องมือ ถ้าเราทำสมาธิชั้นสูงได้ ตายก็ไปเป็นพรหม ก็แสดงว่าได้จากจิต ถ้าเราทำไม่ถึงพรหมก็เป็นเทวดา นี่ก็ไปจากจิต ไปได้กินอาหารทิพย์ นี่มาจากจิต ถ้าหากเราทำได้สูงสุด ไม่ติดกายก็ไปถึงนิพพาน ถือว่าพ้นทุกข์ได้ ก็ไปจากจิต จิตทั้งนั้นแหละ กายนี้เป็นบ่าว คนที่เกิดมาบ้า ใบ้ หูหนวก ตาบอด พิกลพิการ พลัดที่นาคาที่อยู่ มีปัญหาก็มาจากจิตทั้งนั้นแหละ จิตคือผู้สร้างมา วิบากคือผลที่มันมาให้กับกาย แต่เราไปโทษปัจจุบันของโลกนี้ ไม่โทษว่าจิตเป็นผู้ห่อสิ่งเหล่านี้มาขยายผล มาเพาะพันธุ์ เพาะเชื้อ แต่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบแล้ว ว่าจิตมี ๒ กรรม คือ กรรมดีกับกรรมชั่ว แล้วก็มาละกรรมดีกรรมชั่วก็มาเป็นพระพุทธเจ้า ที่จริงมนุษย์ได้มา ๒ กรรม แต่ยังมีกรรมพิเศษที่มนุษย์ได้มาอีกคือ กัมมะพันธุ กรรมเป็นเพราะเผ่าพันธุ์พวกพ้องพี่น้อง มาให้ผลกับพี่น้องตัวเอง กับครอบครัวตัวเองอีก นั่นก็เรียกว่ากัมมะพันธุ มาให้ผลคล้ายๆ กัน มีนิสัยก็เหมือนกัน สายเลือดเหมือนกัน มีDNA เหมือนกัน เป็นกรรมแยกกันไม่ออกเลยสายพันธุ์เหมือนกัน หน้าตาคล้ายกัน จิตใจคล้ายๆ กัน วิบากกรรมคล้ายกัน เพราะเป็นเรื่องของกัมมะพันธุ แต่ที่จริงก็มาจากจิตนั่นเอง เหมือนอย่างคนที่ถูกเผาบ้าน ถูกเผาเมือง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เป็นกรรมที่หนีไม่พ้นเพราะเคยฆ่าสัตว์ร่วมกันมาทั้งเมืองพวกเบื่อปลา หาปลากินกันตลอดชีวิต โดยที่ไม่ยอมแก้กรรมเลย พอกรรมนั้นมาให้ผลในชาตินี้ก็ ๕๐๐ ชาติ ต้องโดนฆ่าตาย โดนเผาบ้านอะไรอย่างนี้ นั่นเป็นเพราะกัมมะพันธุตามมา มาเป็นกับญาติพี่น้องของตัวเองหมดเลย เรียกว่าเป็นกรรมที่ยังใช้ไม่หมด ยิ่งคนสมัยนี้ยิ่งสร้างกรรมมากใหญ่เลย เพราะว่าอาชีพฆ่าสัตว์มาก ทำบาปมาก สมัยก่อนแค่ต้มเหล้ากิน ขายก็แค่หมู่บ้านเดียว แต่สมัยนี้ต้มขายทั่วโลกเลย ทำบุหรี่แค่หั่นยาสูบกันเอง แต่เดี๋ยวนี้มอมเมากันไปทั่วโลกเลย เปิดบ่อนก็แค่เล่นบ้านเดียว เดี๋ยวนี้เปิดบ่อนเล่นทั่วโลกเลย ใช่ไหม? เดี๋ยวนี้คนทำกรรมมาก ฆ่าสัตว์ก็ฆ่าแค่กินตัวเดียว ทั้งหมู่บ้านก็กินกันแค่ตัวเดียว แต่เดี๋ยวนี้วันหนึ่งฆ่าเป็นล้านๆ ชีวิต ปลาก็จับแค่ปลาที่มาตามหนองตามบึงกินกัน แต่สมัยนี้เลี้ยงขายกัน เลี้ยงฆ่ากันอย่างหนักเลย กุ้ง ปลา หมู เป็ด ไก่ คนสมัยนี้โอกาสทำบาปมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้า ใช่ไหม? สมัยก่อนปืนผา หน้าไม้ ก็ไม่มี ใช่ไหม? จะฆ่ากันก็เอาอาวุธไปฆ่ากันแค่ตัวต่อตัวสมัยนี้เอาระเบิด ไปบอมส์ บึ๊ม!! แล้วคนที่ไม่รู้เรื่องด้วยก็ตายหมดเลย คนสมัยนี้จะทำบาปแรง ทำบุญก็ทำได้มาก เพราะว่าคนสมัยนี้ทำบุญก็ทำได้ข้ามโลกเลย อยู่เมืองไทยไปทำบุญที่อเมริกาก็ได้อยู่อเมริกามาทำบุญที่เมืองไทยก็ได้ มีเสื้อผ้า หยูกยารักษาโรค ส่งไปประเทศโน้นประเทศนี้ช่วยได้หมดเลย ฉะนั้นมนุษย์นี้มีโอกาสทำอะไรได้รุนแรงกว่าสมัยพระพุทธเจ้า จะเผยแพร่ก็เผยแพร่ได้เร็ว สมัยก่อนก็แค่บอกปากต่อปาก สมัยนี้ออกโทรทัศน์ ออกวิทยุ ออกหนังสือพิมพ์เผยแพร่ ฉะนั้นจึงว่าเป็นกัมมะพันธุ ทำไมคนจึงมาเกิดตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองเพราะเป็นกัมมะพันธุ เพราะชวนกันทำบาปเยอะ ใช่ไหม? แล้วจะยิ่งทำกันอีกเท่าไรนี่ยิ่งหาอะไรพิเศษได้ เหมือนสมัยก่อนนี้ก็หากันแค่ มีสุ่ม มียอ มีแห ใช้มือจับ สมัยนี้ใช้เรด้าจับเลย เรือไทยเรือต่างประเทศปลาอยู่ตรงไหนรู้หมดเลย ใช้เรด้าจับหมดเลย ร้ายกาจมากเลย แล้วก็เป็นเรื่องสนุกสนาน เป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเรื่องที่คนต้องยึดอาชีพนี้จึงจะอยู่ได้ ต้องส่งออกนอกเพื่อจะมาเลี้ยงคน ถ้าไม่อย่างนั้นกำไรไม่มี ร่วมทำบาปกันทั้งประเทศเลยนะ หลวงพ่อเจ้าค่ะคนสั่งฆ่ากับคนฆ่าใครบาปมากกว่ากันเล่าคะ? ก็พอๆ กันนั่นแหละ แต่คนสั่งฆ่านั้นเขาใช้หัวสมอง เจ้าคนนี้จะต้องมีกรรมทางหัวสมอง คนที่ฆ่านี้ต้องมีกรรมทางกาย มันจะมีโทษต่างกัน คนที่สั่งฆ่านั้นก็จะเป็นโรคสมองฝ่อ สมองเสื่อม คนที่ฆ่าก็พิกลพิการอะไรอย่างนี้ ก็จะได้รับผลกรรมต่างๆ กัน พ่อสมองเสื่อมลูกพิการอาจจะอย่างนั้น แล้วคนที่รับประทานเล่าคะ? คนที่ทานเหรอ..คนที่ทานก็อิ่มไปซิ! คนที่รับประทานถ้ารับประทานแล้วยินดีนั่นถือว่าเป็นกรรมร่วมกันด้วย ถ้ารับประทานแล้วเราพิจารณาว่าอาหารที่ได้มาเป็นธาตุ ๔ เราไม่ได้ยิน เราไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เรากินเพื่อยังเวทนา แล้วกินเป็นธรรมะนี้ไม่บาป ฉะนั้นจึงว่าจิตนี้เป็นใหญ่ ในโลกนี้ถือว่าจิตเป็นใหญ่ที่สุด ไม่มีใครจะใหญ่เท่าจิต ถ้าพูดถึงอิทธิพลทั้งหมดนี้อยู่ที่จิต เรียกเป็นธรรมะว่าใหญ่ที่สุดในโลก มาจากเหตุอันเดียวกัน ฉะนั้นจึงต้องแก้จิตอย่างเดียว โลกนี้จะให้มีความสุขต้องแก้ที่จิต เพราะว่าถ้าจิตดีอะไรก็ดีหมด จิตเสียก็เสียหมด รู้อย่างนี้แล้วก็เหมือนน่าจะแก้ได้นะ! รู้ปัญหาแล้วไม่มีอะไรแก้ที่จิตอย่างเดียว คนเราจะทะเลาะกัน ทะเลาะเรื่องจิต ความเห็นไม่ตรงกัน ไม่ใช่เดินไม่ตรงกันใช่ไหม? คนจะโกงกันโกงที่จิต จะรักกันก็รักที่จิต ทำอะไรก็เรื่องจิตทั้งหมด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนไว้เลยว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้ ถ้าจิตเป็นทุกข์ก็ไปสู่ทุคติ จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ เมื่อจิตเป็นสุขก็ไปสู่สุคติ ฉะนั้นจึงว่าจิตเท่านั้นแหละจึงจะเป็นผู้นำโลกได้ นำความสุขและทุกข์มาให้แก่ตัวเองได้ ไม่มีใครเลย ถ้าพูดกันแล้วตำราทุกเล่มในมหาวิทยาลัยต้องมาลงที่จิตให้หมดจึงจะจบได้ดี ไม่ว่าวิชาใดทั้งหมดต้องมาลงที่จิตแล้วก็จะสงบโลกนี้จะไม่วุ่นวาย รู้ว่าทุกข์มาจากไหนค้นหาเหตุได้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านค้นหาเหตุได้ว่า ทุกข์มาจากไหน? ทุกข์มาจากการปรุงแต่ง ทุกข์มาจากการสับสนวุ่นวายทุกข์มาจากความอยากดิ้นรนไปทั่ว ความทุกข์เกิดจากสมุทัย ทำให้เกิดทุกข์ คือความอยากดิ้นรน คือทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้ บอกว่าต้องรู้ทันจิตตัวเอง พอรู้ทันจิตตัวเองก็ดับทุกข์เลย ถ้าไม่รู้ทันจิตก็ไม่ดับทุกข์ เท่านั้นเอง ให้ยืนเดินนั่งนอนถ้าไม่รู้ทันจิตตัวเองก็ไม่ดับทุกข์ พอรู้ทันจิตก็ดับทุกข์ได้เลย เข้าใจไหม? หลวงพ่อเจ้าคะ ให้ตัดใจเรื่องลูกโยมตัดไม่ได้เลยค่ะ? ตัดไม่ได้ก็อย่าไปตัดมันซิ..ไม่มีใครบังคับโยมนิ มันวางไม่ได้เลยคะ? ก็คิดให้มันเป็นแม่เราบ้างซิ..เราเป็นลูกมันบ้าง เดือนเดียวก็ตัดได้ คิดว่าเราเป็นลูกมันบ้าง มันจะได้คิดถึงเราเหมือนเราคิดถึงมันบ้าง เป็นแม่เป็นห่วงใช่ไหม? เป็นลูกมันไม่ห่วงแม่ใช่ไหม? แล้วโยมทำไมไม่คิดให้มันเป็นแม่เราบ้างล่ะ เราจะได้เป็นลูก จะได้ไม่ต้องคิดถึงแม่มั้ง โยมไปสมมุติว่าเป็นแม่อยู่เรื่อยนี่ ไม่ยอมเป็นลูกสักที เราไม่เข้าใจตัวเรา เราไม่เข้าใจจิตเรา มันเป็นกรรมร่วมกันนะโยม เราให้เขาหมดทั้งกายทั้งใจ เขาไม่ได้ให้เราเท่ากับที่เราให้เขา ให้ไม่เท่ากัน ถ้าลูกดีๆ ก็จะให้เราเท่ากับเราให้เขา เราก็จะไม่ห่วงเท่าไร ส่วนมากพ่อแม่ห่วงลูก กลัวลูกเอาตัวไม่รอด ห่วงลูกไม่เก่ง แต่ถ้าลูกเก่งแล้วจะไม่ห่วง ส่วนลูกสาวโยมไม่ห่วงเลย ห่วงลูกชายคนเดียว ปล่อยมันไปเถอะลูกชายคนเดียว มันก็ว่ามันเก่งกว่าโยมอีก โยมหาว่ามันไม่เก่งเอง มันก็ว่าแม่ไม่รู้เรื่องอะไรไม่เก่ง มันเก่งเอาตัวรอด เวลามันไม่มีมันมาแบมือขอเรามันก็เก่งกว่าเราอีก เราต้องให้มัน..นี่แหละทาสของความรัก มีรักมีทุกข์ พระพุทธเจ้าบอกว่า มีรักที่ไหน มีทุกข์ที่นั้น รักมากก็ทุกข์มาก ก็โยมอยากเลี้ยงลูกไม่เก่งเองนิ ต้องโทษแม่เลี้ยงลูกไม่เก่งเอง ถ้าเลี้ยงลูกเก่งก็เอาตัวรอด สมัยก่อนเขาเลี้ยงลูกเก่งเขาก็หมดห่วง ที่จริงที่ห่วง ห่วงลูกไม่เก่ง ลูกไม่ฉลาดทันเขา ลูกไม่ดีเท่าเขา ลูกไม่เจริญเท่าเขา เรียนไม่เท่าเขา ประพฤติตัวไม่ดีอะไรอย่างนี้จะห่วง แต่ถ้าลูกเราเป็นคนดีสังคมยอมรับ เป็นคนเก่งเอาตัวรอดได้ เราหมดห่วงเลย โดยมากพ่อแม่จะทุกข์กับลูกไม่เก่ง ไม่ปลื้มใจ ก็ให้มาบวชบ้างซิ มาเข้าคอร์สสมาธิบ้างซิ โยมก็บอกแล้วคะแต่ภรรยาเขาไม่ยอมให้มา ก็ยังเป็นทาสกันอยู่ ก็จะไปห่วงมันทำไมเขามีภรรยาแล้วยกให้ภรรยาเขาไปเถอะ ขนาดนั้นแล้วจะห่วงทำไมอีก ก็อย่างว่านะคนมันจะห่วง กลัวเขาเอาตัวไม่รอดอีก ลงทุนเท่าไรก็หมดตัวไม่เหลือ แล้วยังเป็นหนี้เขาอีกคะ ก็บอกให้มันมากราบเท้าแม่ทุกวันซิ...เขาบอกว่าอยากรวยให้มากราบเท้าแม่ทุกวัน เรื่องรวยไม่รวยหรอกคะหลวงพ่อ แต่มันเป็นปัญหาที่ว่าถ้าไม่ตามใช้หนี้ให้ก็จะโดนจับไปติดคุกอีก แล้วเขาก็ไม่ค่อยรู้หนังสืออีกด้วย ใครไม่รู้หนังสือ? ลูกชายเจ้าคะ ทำไมไม่รู้หนังสือล่ะ ไปอยู่ที่ไหนไม่ยอมเรียนหนังสือ ไปเรียนหนังสือต่างประเทศมาหรือไง? ไม่ใช่คะ..โรงเรียนก็ไป แต่เขาบอกว่าเวลาครูตี วันหลังก็ขึ้นรถไปแล้วก็ไปลงที่อื่น เวลาโรงเรียนเลิกก็กลับมาบ้าน แล้วบ้านโยมที่ลูกสาวซื้อให้ ใส่ชื่อลูกสาวไม่ได้ ก็ฝากใส่ชื่อน้องไว้ ภรรยาเขาก็นำไปจำนองจำนำหมด ไม่เป็นไรหรอก มันไม่หมดตัวหรอกตัวมันยังอยู่ ไม่เป็นไรมันหมดแล้วมันจะได้มาอยู่วัด เข้าวัดเลย มีหลายคนแล้วทำอะไรๆ ก็ขาดทุน ก็เลยมาอยู่ที่วัดสังฆทาน พี่น้องเป็นหมอ มีหน้าที่การงานใหญ่ๆ โต แต่เจ้าคนนี้มันเกเรไม่เรียนมาก ผลที่สุด พอไปมีลูกมีเมียทำอะไรก็ขาดทุนหมด แม่ก็เลยไปอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อโต (ชื่อพระประธานวัดสังฆทาน) เมื่อไปชวนลูกชายมาวัดขอให้ลูกมาบวช คราวนี้พอมันหมดตัวก็มาเลยโยม นี่หลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์เอามาได้ พอมาเจออาตมาก็คุยกัน ก็เลยตัดสินใจบวช ก็ให้บวชผ้าขาว เดี๋ยวนี้ได้บวชพระแล้วเกลี้ยงเกลาแล้วคราวนี้พอมาบวชพระ คิดว่าจะไม่มาเสียแล้ว ตอนนี้สบายไปแล้ว พอหมดแล้วมาได้ ต้องปล่อยให้มันหมดโยมเดี๋ยวมันมาเอง คนอย่างนี้ต้องปล่อยให้หมดโยม อย่าไปรับมัน ถ้าปล่อยให้หมดนั้นจะดีกว่าที่อยู่ ถ้าหากว่าโยมไม่ปล่อยให้หมดนะโยมจะต้องหมดไปด้วย แล้วจะไม่เหลือเลย ต้องปล่อยให้หมด เชื่ออาตมาซิ ให้หมดเร็วเท่าไรยิ่งดีคนอย่างนี้ นี่มันไม่เชื่อพ่อแม่หรอก มันก็ไปเชื่อผู้หญิงมากกว่าพ่อแม่ นี่โยมคิดผิดเองไม่ใช่ลูกโยมคิดผิด โยมคิดผิดลูกโยมก็เลยไม่กลับมาทางนี้ คนอย่างนี้ต้องปล่อยให้หมดตัว อย่าไปค้ำจุนอะไรทั้งหมดติดคุกติดตะรางก็ปล่อยให้มันติด ออกมาเดี๋ยวมันก็มาบวชได้ คนอย่างนี้ไม่ควรสนับสนุนเลยสักบาทเดียว ปล่อยเลย ตัดทิ้งเลยโยม โยมปล่อยทิ้งเลยนะ มันจะติดคุกติดตะรางช่างมัน แล้วโยมจะได้ลูกคืนมาแต่ถ้าโยมไม่ทำตามอย่างนี้นะ โยมจะไม่ได้ลูกคืนมา ลูกโยมจะไปหาเงินให้ผู้หญิงอยู่อย่างนั้นเอง ถ้าลักษณะอย่างนี้ปล่อยทิ้งได้ อย่างคนที่พูดถึงเมื่อกี้..เขาก็ยังไม่ถึงขนาดนี้นะ พอเขาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ ต่างคนก็ต่างไปเหมือนกัน พอไม่มีแล้วผู้หญิงก็ต้องไป มีลูกด้วยกันสองคน ญาติพี่น้องก็เก็บมาเลี้ยง พี่น้องทางผู้ชายฐานะดี ที่เป็นหมอก็นำลูกๆ มาเลี้ยงให้ ภรรยาไปทางคนนี้ก็ไปอีกทาง ที่สุดพอพ่อแม่ไม่ให้ พ่อแม่เข้าวัดปุ๊บ! ตัวเองก็ต้องมา แต่ถ้าพ่อแม่ยังตามช่วยอย่างนี้ เขาจะไม่มีทางมาตามแม่ ฉะนั้นลักษณะของโยมนี้ต้องปล่อยทิ้งเพราะคนที่ว่านี้เขาก็ต้องตัดสินใจเพราะว่าไม่มีจะให้แล้ว พอให้ก็หมดตัว แล้วพี่น้องก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เอาล่ะ..ฉันรับภาระเรื่องลูกแกได้ แต่ว่าเรื่องหนี้สินนั้นไม่รับ ฉันรับลูกแกมาส่งเรียนหนังสือได้ ส่วนตัวแกตัวใครตัวมัน ผลที่สุดเมื่อตัวเองอยู่ไม่ได้ ก็ต้องทิ้งลูกตัวเองทิ้งภรรยาตัวเอง ตัวเองก็ต้องร่อนเร่ซิ ไปอยู่แบบอดๆ อยากๆ พอกลับตัวใหม่ก็เริ่มต้นที่ดีได้โยมเป็นแม่ก็ต้องตัดสินใจได้แล้ว พอกลับบ้านไปแล้วทิ้งมันเลย บอกว่ากูไม่เอาแล้ว กูตัดกิเลสได้แล้ว บอกว่าหลวงพ่อบอกให้ตัดมึงแล้ว ไปไหนก็ไปเถอะ ที่จริงแล้วถ้าโยมไม่ตัดโยมจะพาลูกสาวโยมเดือดร้อนด้วยแล้วไม่มีที่สิ้นสุดคนๆ นี้ เพราะคนโง่นะ ลูกชายโยมไม่ฉลาดนะ ถ้าลูกฉลาดนี่ไม่เป็นไร แต่ถ้าเลี้ยงลูกโง่นี่ให้มันตายไปเลยเสียดีกว่า จริงนะจะหมดห่วง จะร้องไห้ไม่กี่วันหรอกถ้ามันตายนะ อย่างนี้โยมจะต้องร้องไห้ตลอดชีวิตเลย ถ้าเลี้ยงลูกโง่แล้วมันก็ทำไม่ถูกอย่างนี้ อาตมาก็คิดอย่างนี้แหละ ถ้ามันดีเราก็ควรจะบูชามัน ใช่..! แกไม่มีลูกแกก็ไม่รู้ใช่ไหม? ไม่ใช่ลูกของแก แกก็ไม่รู้! ใครจะตัดลูกได้ทั้งคน ใช่..จริงแหละ แต่ถ้ามันสุดทางก็ต้องหาทางตัดใช่ไหม? ลักษณะที่โยมเล่าให้อาตมาฟังนี้นะ อาตมาวิเคราะห์แล้วมีทางเดียวที่อาตมาพูดนี้คือต้องปล่อยเลย แล้วลูกของโยมจะกลับคืนมา จะได้ลูกคืน แต่ถ้าโยมไม่ปล่อยโยมจะไม่ได้ลูกคนนี้คืนในทางที่ดี ต้องไม่ใช้หนี้ใช้สินปล่อยมันเลย ตามเรื่องของมึง มึงจะติดคุกติดตะราง โยมไม่ต้องไปรับใช้หนี้ อันนี้จะเป็นบทเรียนสอนให้เขาฉลาดเราไม่ได้ดูถูกคนที่ไม่รู้หนังสือว่าโง่นะคนที่ไม่รู้หนังสือเมื่อสมัยก่อนก็ฉลาดเป็นพระอรหันต์ก็มี เอาตัวรอดก็เยอะแยะ แต่คนๆ นี้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตของตัวเองให้ถูกต้อง เขาไม่เลือกคบคนที่นำลาภมาให้เขา มีแต่คนมาทำให้เขาเดือดร้อน เขาคบคนไม่เป็นเอง ถ้าเขาคบคนฉลาด คนที่ดีกว่าเขา เขาก็จะเอาตัวรอด ลูกสาวลงทุนให้เยอะเลยค่ะ ไปเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่ห้างมาบุญครองให้ แต่พอทำแล้วก็เจ้ง.. คนๆ นี้มีอย่างเดียวต้องมาอยู่วัดแหละดีโยม ไปทำอะไรก็ไม่สำเร็วหรอก ถ้าอย่างนี้โยมจะอุปถัมภ์อย่างไรก็ไม่สำเร็จมีแต่ล้มละลายอย่างเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าคนดวงแตก ไปไม่รอดหรอก เห็นมาเยอะแล้วพวกที่ทำแบบนี้ ที่จริงโยมแก้ช้าเอง โยมควรจะปล่อยทิ้งตั้งนานเนแล้ว ได้ลูกไม่ดีก็ลำบากนะ โยมพยายามถามตัวเขาว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ คือบางคนเขาก็คิดได้นะโยม คิดรวยทุกทีแหละเวลาทำ คิดทำอะไรใหญ่โตคิดรวยทุกทีแหละ แต่ว่าพอทำไปแล้วมันไม่ได้ คนพวกนี้พอคิดทำอะไรเขาจะคิดร่ำรวย คิดโน้นคิดนี่คิดสำเร็จหมดแหละพอทำไปแล้วมันพังทุกที คล้ายๆ กับว่าเขาไม่รู้จักเริ่มต้นเอาน้อยๆ เขาเอาทีเดียวให้รวยเลย โดยมากจะคิดเอาทีเดียวให้รวยเลย แล้วก็จะพังทุกที คนที่คิดให้รวยเลยนี่จะพัง ถ้าคนคิดน้อยๆ ว่าคิดจากน้อยไปหามากเขาจะไม่ค่อยพัง แล้วอีกอย่างคนที่สบายมาแล้วจะคิดลำบากไม่เป็น คิดแต่สบายอย่างเดียว คิดแต่จะลงทุนมากๆ อย่างเดียว แล้วก็แบมือขออย่างนี้ไม่มีทางเจริญ ไม่มีทางจะตั้งตัวได้ เพราะเขาวางแผนอยากได้เงินเอาไปลงทุนอย่างเดียว อย่างนี้มาทำขนมซาลาเปาขาย ไอติมขายยังรวยกว่าลูกชายโยมอีก แล้วก็ค่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ แต่นี้กะจะรวยเปิดห้างขาย..แล้วก็เจ้ง..ตัวเองก็ไม่ทันคนนี่ อย่างนี้ก็หมด ชักหน้าไม่ถึงหลัง เสียท่าเขาหมด อย่างนี้น่ากลัวนะ การลงทุนนี้ไม่ควรลงทุนเลย โยมก็ลงทุนให้เขาเป็นหลายครั้งแล้ว หยุดได้แล้วโยมอย่างพยายามเลย จบได้แล้ว ยิ่งยุคนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย จบเลย..ทำบุญดีกว่า สบายใจกว่า

แสดงธรรมที่ วัดเขายายแสง วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๒

โดยหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ

แหล่งข้อมูล vimokkha.com