โอวาทผู้นำ โดยเล่าจื้อ



   เล่าจื้อ

เรียบเรียงบางส่วนจาก The Tao of Leadership


"ความเป็นผู้นำของพวกท่านไม่ได้อยู่ที่เทคนิคหรือการแสดง..แต่อยู่ที่ความเงียบ และความสามารถของพวกท่านที่จะแสดงความเอาใจใส่"

"คนส่วนมากถูกความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดรบกวน......แต่ผู้นำที่ฉลาดจะพอใจในสิ่งที่มีอยู่ แม้ว่าจะเล็กน้อย..."

"คนส่วนมากนำชีวิตให้ยุ่งเหยิง...แต่ผู้นำที่ฉลาดจะสงบ และไตร่ตรอง"

"คนส่วนมากแสวงหาสิ่งซึ่งใช้กระตุ้น และสิ่งใหม่ๆ......แต่ผู้นำที่ฉลาดจะ ชอบสิ่งสามัญ และเป็นธรรมชาติ"

"เพื่อที่จะรู้ว่าาคนอื่นประพฤติอย่างไร ต้องใช้ความรู้รอบ....แต่เพื่อรู้ตนเองต้องใช้ปัญญา"

"เพื่อที่จะบริหารชีวิตของคนอื่น ต้องใช้ความเข้มแข็ง......แต่เพื่อบริหารชีวิตของตนเอง
ต้องใช้อำนาจอันแท้จริง..."

"ความสงบนิ่ง ของผู้นำจะชนะความเร่าร้อนของกลุ่ม.......ความมีสติของผู้นำเป็นเครื่องมือเบื้องต้นแห่งงานนี้"

"ยิ่งเธอมีมาก เธอก็จะได้รับมากขึ้น...เธอยิ่งต้องเฝ้าดูแลมากขึ้น....เธอก็อาจสูญ เสียมากขึ้น.... นี่เป็นเจ้าของหรือถูกเป็นเจ้าของกันแน่.."

"..แต่ถ้าเธอยอมสละสิ่งต่างๆ เสีย เธอก็สามารถยกเลิกการใช้ชีวิตไปเฝ้า ดูแลสิ่งของต่างๆ นั้นได้.."

"ขอให้พยายามสงบนิ่ง....เพื่อจะได้ ค้นพบความมั่นคงภายในของเธอ......ถ้าเธอมีความมั่นคงภายในแล้ว.... เธอ จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ......เช่นเดียวกัน เธอจะถูกล้างผลาญน้อยลงและจะอยู่ได้ยาวนานขึ้น.."

"ผู้นำที่ฉลาดรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้วก็ไป ดังนั้นทำไมจึงยึดฉวย และเกาะแน่นเล่า....
ทำไมจึงวิตก และงอตัวเพราะกลัวด้วยเล่า..ทำไมจึงอยู่ในความเพ้อฝัน แห่งสิ่งที่อาจเกิดหรือไม่ด้วยเล่า..."

"น้ำนั้นเหลว อ่อนและยอม แต่น้ำจะกัดเซาะหินซึ่งแข็งและไม่ยอม ผู้นำที่ฉลาดรู้ว่าการยอมรับจะเอาชนะการต่อต้าน"

"ความสุภาพอ่อนน้อม จะละลายการตั้งรับที่แข็งที่อ..."
....นี่เป็นคำพูดจริงที่มีความขัดแย็ง ในตัวเอง
อีกข้อหนึ่ง อะไรที่อ่อนนั้นจะแข็งแรง..."

"คุณสมบัติ สามประการนี้เป็นสิ่งทรงคุณค่าต่อผู้นำ
...เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
...ความ เรียบง่ายและมัธยัสถ์ทางวัตถุ.....
...มีสำนึกแห่งความเสมอภาค
....หรือ ความลดน้อมถ่อมตน"


บทความที่เกี่ยวข้อง:

ดร.สมภพ เจาะลึกเบื้องหลังบริษัท 100 ปี ไฉน ! บริษัทไทยๆ ปิดฉากแค่รุ่นอาเฮีย



ปีพ.ศ. 2421 หรือ ค.ศ. 1878 ชาวยุโรปทั้งสองคือเภสัชกรชาวเยอรมันชื่อ แบร์นฮาร์ดกริม และหุ้นส่วนชาวออสเตรียชื่อ แอร์วิน มุลเลอร์ ได้เดินทางมายังประเทศไทยและก่อตั้งห้างจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ทางเภสัชกรรมและเคมีภัณฑ์ขึ้นที่ถนนโอเรียนเต็ล ห้างนี้ชื่อว่า สยามดิสเป็นซารี่ ในไม่ช้าความรู้และความชำนาญในวิชาชีพ ของบุคคลทั้งสองก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปจนได้รับแต่งตั้งให้เป็น เภสัชกรหลวงแห่งราชสำนักไทย




130 ปี ผ่านไป อาณาจักรของ บี. กริม อยู่ในยุคของ" ฮาราลด์ ลิงค์" ธุรกิจของ บี .กริม กรุ๊ป แยกออกเป็น พลังงาน เครื่องปรับอากาศ สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ อสังหาริมทรัพย์ และคมนาคม




ถามว่า บริษัทไทย ที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป มีอีกไหม หลายคน นึกถึง โรงแรมโอเรียนเต็ล เบอร์ลี่ยุคเกอร์ อีสต์เอเชียติก ซิงเกอร์ ห้างอังกฤษตางู ดีทแฮล์ม ธนาคารไทยพาณิชย์ ยาขมน้ำเต้าทอง




เอาเข้าจริงแล้ว ธุรกิจไทยที่มีอายุผ่าน 100 ปีมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้ว มักพบจุดจบในรุ่นที่ 3




ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือ พีไอเอ็ม (PIM) วิเคราะห์ บริษัทที่อายุผ่าน 100 ปี และบริษัทที่จบแค่รุ่นเฮีย มานำเสนอท่านผู้อ่าน


*อะไรทำให้ บริษัทบางบริษัท ผ่าน 100 ปี บางบริษัท



การปรับตัวให้ตัวเองเข้ากับภาวะวิสัยทางธุรกิจ โดยในเคสของบีกริมฯ ดีทแฮล์ม ก็ด้วย ชัดเจนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทฝรั่ง ที่มีต้นกำเนิดในประเทศไทย ทั้งบีกริมฯ ดีทแฮล์ม พวกนี้เป็นบริษัทข้ามชาติที่มาจากตะวันตกก็จริง แต่เริ่มเข้ามาตั้งในประเทศไทย พวกนี้น่าศึกษามาก



กลยุทธ์ของ บริษัท อายุ 100 ปี ส่วนหนึ่งมาจาก บริษัท พวกนี้ มีการขยายธุรกิจ ที่ไม่ออกจากกรอบของความเชี่ยวชาญของตัวเองมากเกินไป ต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมได้ สอง สามารถเกาะกุมถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้ทัน ปรับเปลี่ยนในโครงสร้างบริหารจัดการที่มีคุณภาพ


* บริษัทในยุโรปมีอายุ 100 ขึ้นไปมากมาย แต่บ้านเราไม่มาก



ก็มีบ้าง กรณีของธนาคารไทยพาณิชย์ กลุ่มที่โตจากกลุ่มปูน ซึ่งก็โตมาจากช่วงรัชกาลที่ 6 แต่ผมตั้งข้อสังเกต ได้อย่างหนึ่งว่า บริษัทไทยที่อายุ 100 ปี ได้ จะต้องใช้มืออาชีพ ผมคิดว่าการใช้มืออาชีพที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี เป็นตัวแปรสำคัญ กล่าวได้เลยว่าบริษัทในเมืองไทยที่เก่าแก่อยู่ได้ด้วยมืออาชีพที่มาจากคนที่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรม เราไล่ไปดูเลยว่า ธุรกิจยักษ์ใหญ่ของไทย ล้วนแต่มีวิศวกร มาบริหารทั้งสิ้น ตั้งแต่ไทยพาณิชย์ และกลุ่มซีเมนต์ไทย

นอกจากนี้่ จะต้อง มี นโยบายที่ยืดหยุ่น ไม่ใช่ลักษณะตระกูล เราจะเห็นว่าบริษัทบริหารโดยตระกูลมีน้อยมาก ที่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง เป็นร้อยปีแทบไม่เหลือเลย นอกจากหวั่งหลี เหลือแค่ระดับหนึ่ง ล่ำซำยังเหลืออยู่มาก นอกนั้นเรียกได้เลยว่าไปกันหมด





ปัจจัยต่อมา คือ การไม่ทิ้งความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของตัวเอง โดยการต่อยอดจากความชำนาญการ ความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างของตัวเอง ไม่ใช่ทำตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ถ้ารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญและทำสิ่งนั้นไป


*การแตกไลน์ธุรกิจมีความเสี่ยง





ใช่ ธุรกิจในเมืองไทยที่ผมจับได้ว่ามันจะโตได้ มีอยู่ 4 ปัจจัย คือ
1.business expansion การขยายตัว คือการขยายตัวในเชิงปริมาณ
2.business divertification การกระจายตัวทางธุรกิจ ซึ่งต้องต่อยอดกันได้จากธุรกิจดั้งเดิม
3.business intigration การต่อยอดธุรกิจดั้งเดิม หรือต่อท้าย เช่น คุณสามารถผลิตวัตถุดิบจากบริษัทนี้ ไปเป็นสินค้าส่งใหอีกบริษัทดั้งเดิม การต่อยอดต่อหาง
4.business co-operaion การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ





ถ้าคุณทำ 4 ตัวนี้ให้ดี ธุรกิจเหล่านี้จะไปได้ดีและเติบโต แต่จะเกิด 4 ตัวนี้ได้คุณต้องใช้มืออาชีพ แต่ไม่ใช่เอาลูกหลานสายเลือดของตระกูล มักจะมีปัญหาสำหรับเชื้อสายจีน เมื่อเทียบกับบริษัทญี่ปุ่นหรือฝรั่ง ที่ดำรงอยู่ได้เพราะมืออาชีพ ไม่ใช่สายเลือดเป็นตัวดำเนินการธุรกิจ ทำให้องค์กรเจริญเติบโต





ถามว่าทำไมธุรกิจดั้งเดิมที่อยู่ในเมืองไทยหลายแห่งถึงดำรงอยู่ได้นาน ล้วนแล้วแต่ผ่านกระบวนการอย่างนี้ทั้งสิ้น แม้แต่โรงแรมโอเรียลเต็ลก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นโรงแรมแห่งแรกที่ตั้งในไทย ในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 และยังรักษาความเป็นอันดับหนึ่งและอันดับต้นของโลกได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเขาใช้มืออาชีพ ตลอดมา


* ข้อเสียของการบริหารด้วยระบบตระกูล พี่น้อง



การใช้ระบบตระกูลพี่น้อง สำหรับคนในเอเชีย ถ้าถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 มักจะมีปัญหา คือ 1.ศึกสายเลือด ปัญหาซ้อและเฮียทั้งหลาย เป็นตัวแปรสำคัญมากที่ทำให้ธุรกิจแบบจีนไปไม่รอด แตกต่างจากธุรกิจฝรั่งและญี่ปุ่น ที่มีโครงสร้างองค์กรใช้มืออาชีพจริงๆ ขึ้นมาบริหารจัดการ แบ่งแยกชัดเจนระหว่างเจ้าของและฝ่ายบริหารจัดการ คุณเป็นเจ้าของก็ถือหุ้นไป แต่เอามืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการ ถ้าแบ่งแยกได้ชัดเจนและทำตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย มีธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยให้ทัน ไม่ถูกประวัติศาสตร์ทอดทิ้ง เท่าที่จับมา หลายบริษัทดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ในเมืองไทย ล้มหายตายจากไปแล้ว หลายบริษัทดำรงอยู่และเจริญเติบโตล้วนแต่เข้าข่ายที่ผมพูดมาทั้งสิ้น


ความเป็นธุรกิจครอบครัว เป็นข้อจำกัด



ถึงจุดหนึ่งไม่ควรมีความเป็นเจ้าของโดยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แต่ควรเป็นบริษัทมหาชน เพราะความเป็นบริษัทมหาชนจะดึงมืออาชีพเข้ามาได้เยอะ และมืออาชีพพวกนี้จะรู้สึกว่ามีความเป็นเจ้าของ เพราะตัวเองถือหุ้นอยู่ด้วย ไปเช็คดูเลย บริษัทที่ใหญ่โตในไทยล้วนแล้วแต่มีโครงสร้างแบบนี้ทั้งสิ้น คือกระจายความเป็นจ้าของให้บุคลากรของตัวเอง ให้ฝ่ายบริหารต่างๆ ด้วยวิธีการหลายรูปแบบ sense of belonging ความรู้สึกตัวเองเป็นเจัาของ ต้องการอุทิศให้บริษัท แต่ถ้ารู้สึกว่าบริษัทเป็นของตระกูลใดตระกูลหนึ่งก็จบเลย


ธุรกิจขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ถ้าผู้ก่อตั้งมีความเชี่ยวชาญ สามารถบริหารคน บริหารองค์กรให้ลงตัว ก็โอเค แต่เราจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่ารุ่นลูกรุ่นหลานจะเป็นอย่างนั้นต่อ ถ้าลูกหลานมีทัศนคติหรือวิธีการบริหารที่แตกต่างไป ก็อาจทำให้ธุรกิจที่สร้างมากับมือปู่ย่าตายายเข้ารกเข้าพงได้ และทำให้ความรู้สึกจงรักภักดีของมืออาชีพหมดไป





อยากให้ วิเคราะห์ กรณี บี . กริม กรุ๊ป





บีกริมแอนด์โค เริ่มจากนักธุรกิจเยอรมัน ที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย พร้อมตั้งบริษัทที่สิงคโปร์พร้อมกัน แรกๆ เข้ามาเป็นวิศวกร รับจ้างขุดคลอง ขายยา และช่วงหลังขายเครื่องมือแพทย์ให้ราชสำนัก โครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น เครื่องมือขุดทอง ในสมัยร.5 ก็สั่งเครื่องเข้ามาขาย และถึงยุครถไฟ เขาก็สั่งเครื่องมือเกี่ยวกับรถไฟหรือหัวรถจักรเข้ามา ฉะนั้นจะสามารถปรับธุรกิจของตัวเองให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ฉะนั้นแล้วจะมีธุรกิจที่หลายหลาก แต่ยังอยู่กับความเชี่ยวชาญของเขา


บี กริม ครั้งแรกทำเทรดดิ้งก่อน ตอนยังไม่มีอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย พอถึงเวลาต่อมา แม้แต่เห็นโอกาสในการสั่งเข้าหลังคามุงวัดพระแก้ว ถึงยุคหนึ่ง เตาเผาศพของวัดต่างๆ เผากันด้วยระบบดั้งเดิม เผาแล้วมีควัน ต้องสร้างเตาเผาใช้ไฟฟ้า เขาก็สั่งเตาพวกนี้เข้ามา ทำท้องฟ้าจำลองที่สุขุมวิท เขาก็สั่งเข้ามา


ต่อมาพอ ยุครถไฟฟ้าเข้ามา เขาก็ไปร่วมกับซีเมนต์ และเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญของซีเมนต์ประจำประเทศไทย และทำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม เขาก็ไปร่วมมือกับคุณวิกรม กรมดิษฐ์ นิคมอมตะ เพราะฉะนั้นเขาทำไลน์ธุรกิจของเขา โดยที่ไม่หลุดออกจากคอนเนกชั่นและความเชี่ยวชาญ และใช้ฐานรากของเยอรมัน


* รากของบีกริม เป็นเทรดดิ้ง





เริ่มจากเทรดดิ้งและไปสู่โปรดักชั่น แต่ที่น่าสนใจคือดีทแฮล์ม ดำรงความเป็นเทรดดิ้งได้อย่างน่ามหัศจรรย์ อย่างต่อเนื่องยาวนานและไม่หลุดไปจากเทรดดิ้ง และทุกวันนี้ยังทำเทรดดิ้ง ข้อสำคัญคือนอกจากทำเทรดดิ้งมีเมืองไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญที่สุดแล้ว เขายังขยายตัวไปประเทศรอบบ้าน ฐานใหญ่อันดับสองคือ มาเลเซีย ต่อมาคือเวียดนาม และมีฐานที่แน่นมากในพม่า เข้าพม่าไม่ต่ำกว่า 20 ปี สร้างเครือข่ายกระจายสินค้าได้มาก ถ้าพม่าเปิดกว้างกว่านี้ เครือดีทแฮล์มจะได้ประโยชน์กว่านี้อีกมาก




*มองกลับมาธุรกิจไทย บริษัทที่จะก้าวข้ามหรือผ่านเจเนอเรชั่นที่ 3 ไป มีน้อยมาก นับบริษัทได้





เรารู้อยู่แล้วว่า รุ่นเถ้าแก่ ส่งลูกต่อให้เป็นอาเสี่ยยังพอว่า แต่ลูกอาเสี่ยหรือหลานเถ้าแก่จอดแทบทุกราย ถ้าคุณไม่เปลี่ยนบริษัทของคุณจากบริษัทครอบครัว เป็นบริษัทมหาชน และมีตลาดหลักทรัพย์ กลต. มาช่วยกำกับ ผมว่ารายไหนรายนั้น หลายตระกูลที่รวยที่สุดในสมัยร.5-ร.6 แทบไม่เหลือเลย แม้ตระกูลยังอยู่ แต่ธุรกิจหมด


สมัยร.5 ใครรวยที่สุด ตระกูลพิศลยบุตร คือพิศลยบุตรยังพอได้ยินชื่ออยู่บ้างในขณะนี้ แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลธุรกิจที่สำคัญใหญ่โต ขณะที่ "กิมเซ่งหลี" ตอนนี้แทบไม่เหลือเลย แต่ก่อนทำธุรกิจโรงสี โรงเลื่อยใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สมัยรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 6 เดินเรือกลไฟสารพัด หมด ซึ่งก็น่าเสียดาย แต่น่าแปลกใจว่าบริษัทต่างชาติที่มาตั้งในประเทศไทย กลับเจริญเติบโต ออกดอกที่อื่นได้ ซึ่งเราศึกษาน้อยเกินไป ถ้าผมมีเวลาอยากศึกษาเพิ่ม เพราะบริษัทเหล่านี้สัญชาติต่างชาติ แต่เป็นไทยไปแล้ว

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์

เผย"โมนิก้า เลวินสกี้ "อดีตชู้รักเขย่าทำเนียบขาว"ยังฝังใจรัก"บิล คลินตัน"ไม่ยอมแต่งงาน-มีลูก




นิตยสาร"เนชั่นแนล เอ็นไควเร่อร์"ของสหรัฐ เปิดเผยคำอ้างของเพื่อนสนิทของน.ส.โมนิก้า เลวินสกี้ อดีตเจ้าหน้าที่ฝึกงานทำเนียบขาว ผู้เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วประเทศ จากกรณีมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งกับอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ยังคงฝังใจรักในตัวบิล คลินตัน โดยไม่ยอมแต่งงานและมีลูก เพราะเธอยังตกหลุมรักเขาและรักเขาเสมอ

เพื่อนรายนี้ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อบอกว่า ที่ผ่านมา เลวินสกี้ ได้ทำธุรกิจอย่างประสบความสำเร็จ เป็นพิธีกรรายการเรียลลิตี้โชว์ และเคยย้ายไปอยู่ต่างแดน แต่เธอก็ไม่มีคนรักเลย เลวินสกี้ บอกเธอว่า ไม่มีใครเข้ามาในใจของเธอได้เลย หรือมีใครที่จะสร้างความสุขให้เธอได้เท่าบิล และแม้ว่าเธอจะเคยออกเดทกับผู้ชายหลายคน แต่เธอก็ไม่ยอมเป็นแฟนใคร เนื่องจากเธอไม่อาจสลัดบิล คลินตัน ออกจากใจของเธอได้

รายงานระบุว่า เลวินสกี้ มีอายุ 22 ปี ขณะตกเป็นข่าวเขย่าโลกจากการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้นำสหรัฐ ในห้องทำเนียบขาว โดยเธอเปิดเผยว่าเธอได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยการออรัลเซ็กส์ให้บิล คลินตัน แต่ไม่มีสัมพันธ์สวาท และเธอได้เก็บเสื้อที่เปื้อนคราบอสุจิของบิลไว้ ขณะที่บิล ได้ปฎิเสธทางโทรทัศน์ถ่ายทอดไปทั่วประเทศว่า เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ฝึกงานผู้นี้ แต่อีก 7 เดือนต่อมา ในปี 1998 เขายอมรับว่า เขาโกหก สาเหตุเพื่อต้องการปกป้องครอบครัวจากความอับอาย และยอมรับว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับเธอ

ในปี 2004 คลินตัน ได้ออกหนังสือชีวประวัติชื่อ"My life"บอกว่า เขามีความสัมพันธ์ทางกายที่ไม่ใช่ทางใจกับลูวินสกี้ และทำให้เลวินสกี้ไม่พอใจ บอกว่า เขาและเธอมีความสัมพันธ์ทางใจต่อกันและกัน และว่าจริง ๆ แล้วเธอไม่ได้ใส่ใจเขาเรื่องรายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ แต่เขาควรจะพูดความจริง ทั้งนี้ เนชั่นแนล เอ็นไควเร่อร์ รายงานด้วย ปัจจุบัน เลวินสกี้ พำนักอยู่ในเมืองลอส แองเจลิส แต่ไม่ได้ทำงานใด ๆ


มติชนออนไลน์

เผยโฉมอัจฉริยะน้อยด.ญ.11 ปี แห่งอังกฤษ ผู้มีไอคิวเหนือกว่า"ไอน์สไตน์-ฮอว์คกิ้ง-บิล เกตส์"



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 มี.ค.ว่า ด.ญ.วิคตอเรีย โควี่ ผงาดกลายเป็นเด็กหญิงอัจฉริยะน้อยวัย 11ปี ภายหลังเข้ารับการวัดผลพิสูจน์ไอคิวของชมรมบุคคลไอคิวสูง "แมนซ่า" ของอังกฤษ ผลปรากฎว่า เธอมีไอคิวระดับ 162 ซึ่งเหนือกว่าอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และสตีเฟ่น ฮอว์คกิ้ง ยอดนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก ซึ่งมีไอคิว 160 รวมทั้งบุคคลดังต่าง ๆ เช่น บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดานักจิตวิเคราะห์ ซึ่งมีไอคิว 156 นโปเลียน โบนาปาร์ต 145 และฮิลลารี คลินตัน 140



โดยเจ้าตัวซึ่งได้รับการเสนอทุนการศึกษาจากโรงเรียนดังต่างๆ 4 แห่ง กล่าวว่า เธอรู้สึกแปลกใจที่รู้ได้ผลดังกล่าว และว่า ปกติแล้ว เธอจะชอบเล่นเกมปริศนาต่าง ๆ และอยากจะศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะด้านชีววิทยา นอกจากนี้ เธอยังกล่าวว่า เธอมักจะชอบวิทยาศาสตร์และการทดลองต่างๆ แต่ก็ยังชอบการแสดง การเต้นรำ และเล่นเครื่องดนตรีด้วย



ด้านนางอลิซัน โควี่ มารดา กล่าวว่า เธอรู้สึกภูมิใจในตัววิคตอเรีย และว่า ในช่วงที่เธอยังเยาว์ เธอมีทักษะในการอ่านสูงกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันเป็นสองเท่า และเคยชนะการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์มาแล้ว



รายงานระบุว่า ที่ผ่านมา ชมรมไอคิวสูงแมนซ่าได้จัดอันดับผู้มีไอคิวสูงทั้งหลาย โดยไอคิวความฉลาดปานกลางอยู่ทีระดับเฉลี่ย 100 และระดับฉลาดอยู่ที่ 148 หรือสูงกว่า



สำหรับบุคคลที่มีไอคิวระดับสูงติดอันดับของชมรมแห่งนี้ ประกอบด้วย นิโคล คิดแมน(ดาราฮอลลีวูด) 132 บิล คลินตัน (อดีตผู้นำสหรัฐ) และอาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ 135 มาดอนน่า (ซูเปอร์สตาร์นักร้อง) และ ฮิลลารี คลินตัน 140 นโปเลียน (จักรพรรดิฝรั่งเศส)145 ซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาทฤษฎีด้านจิตวิเคราะห์ 156 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บิดาแห่งทฤษฎีสัมพันธภาพ และสตีเฟ่น ฮอว์คกิ้ง นักวิทย์เจ้าของทฤษฎีบิ๊กแบง 160

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์

เปิดคำพยากรณ์ ปี54 คลื่นยักษ์สึนามิ เกิดบ่อยครั้งในรอบ1,000ปี...ฆ่าชีวิตคนเป็นล้าน



ทุกสายตา ตกตะลึงกับภาพคลื่นยักษ์ที่เสมือนจะกวาดเมืองทั้งเมือง ให้ราบเป็นหน้ากลอง





เมื่อ ญี่ปุ่นต้องประสบกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 8.9 ริกเตอร์ ซึ่งตามมาด้วยคลื่นสึนามิสูง 6 เมตร ที่พัดพารถยนต์และพังทลายอาคารที่เคลื่อนผ่าน เรือลำใหญ่ ถูกพัดขึ้นฝั่ง คลังเก็บน้ำมัน ลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน สนามบินจมน้ำ



ตัวเลขคนตาย คนสูญหาย และความเสียหาย ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว



สำนักข่าวทั่วโลกรายงานข่าว สึนามิ ในญี่ปุ่น ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้คนทั่วโลกตกใจตื่นตระหนกกับภาพที่เห็น



ไม่น่าเชื่อว่า มหันตภัยครั้งใหญ่นี้ สอดคล้องกับคำพยากรณ์ของ นอสตราดามุสเมืองไทย "โสรัจจะ นวลอยู่"ในศาสตร์แห่งโหร อย่างไม่น่าเชื่อ



นอสตราดามุส เมืองไทย พยากรณ์เอาไว้ว่า การโคจรของดวงดาวในปีเถาะ 2554 นี้ เป็นสิ่งวิปริตผิดอาเพศมากกว่าปีที่ผ่านมาอย่างใหญ่หลวง

ปี 2554 นี้ ทางการเมืองที่ว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์นั้นยังถือว่าน้อยกว่ามหัตภัยที่ใหญ่ กว่ามากหลายร้อยเท่าตัว ก็คือ จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติสุดมหาหฤโหดไปทั่วโลก ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว



“น้ำในแม่น้ำและคลองทั้งปวงจะแดงเป็นโลหิต เมฆและท้องฟ้าจะแดงเป็นแสงไฟ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือน ฤดูหนาวจะเป็นฤดูร้อน ที่ลุ่มจะกลับดอน ที่ดอนจะกลับลุ่ม โรคภัยจะเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งปวง มนุษย์หนึ่งในสี่ของโลกจะพลันตายลง จะเกิดข้าวยากหมากแพง ฝูงมนุษย์จะอดอยาก เสื้อเมืองทรงเมืองจะหลีกเลี่ยง”



แต่ยังไม่ถึง “วันสิ้นโลก” ในวันที่ 12 ธ.ค. 2555 แค่ในปี 2554 นี้ก็อ่วมอรทัยไปซะก่อนแล้ว

การโคจรของดวงดาวและดาวพระเคราะห์ในปีนี้ไม่เป็นไปตามกำหนด จัดเป็นวิกล จะเกิดแผ่นดินไหว กัมปนาทไปทั่ว เหมือนแผ่นดินจะแตกแยกออกทุกหัวระแหง



ทั่วโลกจะถูกทำลายด้วยไฟประลัยกัลป์ ฝนจะตกเป็นเวลายาวนาน ความแห้งแล้งจะแผ่ขยายไปในวงกว้างมากขึ้น จะเกิดทะเลทรายขนาดใหญ่ไปทั่ว มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ทั้งหลายจะเหี่ยวแห้งและตายเป็นจำนวนมาก



จากการลิขิตจากดวงดาวในอนาคตที่โลกจะสิ้นสูญไป โลกเราคงไม่แตกสลายหรือสิ้นไปจากอุกาบาตพุ่งชนโลกหรอก แต่จะเกิดจากไฟของมนุษย์เรานี่เอง


ไฟที่ว่านั้นก็คือไฟแห่งกิเลสตัณหา กำลังแผดเผาไหม้ให้ย่อยยับไปทุกๆ วันเวลา



เพราะในปัจจุบันมนุษย์ในโลกนี้เต็มไปด้วยการทำความชั่วและเต็มไปด้วยสิ่ง เลวร้าย การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตนเองและพวกพ้อง ขาดความรักความเมตตาที่มีต่อกันและต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง และมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นจะถูกธรรมชาติและสวรรค์ลงโทษอย่างมหันต์อีกเช่นกัน

เพราะจากปี 2554 เป็นต้นไป ดวงดาวจะเดินผิดปกติไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทางโหราศาสตร์ไทยสามารถตีความหมายไปได้ อย่างเช่น

ในปี 2554 นี้ เมืองใหญ่ๆ ที่อยู่ในซีกโลกตอนเหนือเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นทะเลยักษ์ จะฆ่าชีวิตคนเป็นล้านคน



ดาวเสาร์ตั้งฉากกับพระราหูและพระราหูตั้งฉากกับมฤตยู จะทำให้ท้องฟ้าจะแปรปรวน ดวงอาทิตย์ ดวงดาว จะไม่ส่องแสงเหมือนเคย ลมฟ้าอากาศวิปริตและโลกจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว



อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ของโลก บ่งชี้ว่าสภาวะโลกร้อนกำลังเกิดขึ้นรวดเร็ว ประกอบกับธารน้ำแข็งใหญ่บริเวณขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในทุกๆ ที่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกครั้งใหญ่ เกิดภัยพิบัติต่อประชากรมนุษย์และระบบนิเวศ



อิทธิพลจากการที่ดาวเสาร์เล็งมฤตยูปีนี้จะทำให้เกิดการพลิกตัวของแกนโลก จากเดิมไปเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลก กับสภาพแวดล้อมต่างๆ ของโลก อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงและฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราไม่สามารถระบุฤดู กาลลงไปได้อย่างแน่นอนกันอีก สภาพอากาศและฤดูกาลผิดเพี้ยนไปหมด ประเทศไทยที่เคยร้อนก็กลับมีอากาศหนาวเย็นจนหิมะตกลงมา





อิทธิพลของดวงดาวทั้งสอง ยังส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติ สลับขั้วกันระหว่างพื้นที่ที่เคยฝนตกชุกก็จะเกิดความแห้งแล้ง ส่วนพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งนั้นก็จะกลับมีฝนตกชุก สร้างความเสียหายกับพื้นที่เพาะปลูก นำมาซึ่งอุทกภัยยาวนานตลอดทั้งปี 2554 นี้ หรือไม่ก็เกิดสภาพอากาศแห้งแล้งซึ่งนำความอดอยาก ทำให้ผู้คน เด็ก ผู้หญิง ต้องหิวโหยและล้มตาย





ในปีเถาะสุดโหดจะ เกิดปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินทรุด แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม และคลื่นยักษ์สึนามิบ่อยครั้ง และถี่มากขึ้นกว่าที่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ของโลก ตั้งแต่ 1, 000 ปีที่ผ่านมาก็ว่าได้





น้ำแข็งบริเวณทวีปอาร์กติก และแอนตาร์กติกา จะเริ่มละลายอย่างรวดเร็ว คือในปี 2554 นี้ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นจำนวนมากและเพียงพอที่จะทำให้เมืองใหญ่ๆ ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำได้ รวมถึงประเทศไทยจะเริ่มมีน้ำท่วมเกิดจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และเข้าท่วมมาถึงกรุงเทพฯ บางส่วนเป็นนครใต้บาดาลชั่วนิจนิรันดร์





และในอนาคตไม่กี่ ปีข้างหน้า กรุงเทพฯ และทั่วทุกภาคทุกจังหวัดจะถูกน้ำท่วมไปหมด ที่เกิดจากน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาและเกิดจากอุทกภัยอีกหลายครั้งจนต้องอพยพ ผู้คนหนีน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ เกือบสุดเขตแดนไทย เมื่อนั้นคนไทยก็คงไร้สิ้นแผ่นดินได้?



นี่เป็นเพียง คำพยากรณ์เท่านั้น !!!!


วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์

ทาไล ลามะ ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำทิเบต แต่ยังคงเดินหน้าบทบาทเรียกร้องเอกราชจากจีน

สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ว่า ทาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต วัย 76 ปี ออกแถลงการณ์ในโอกาสครบรอบเหตุการณ์การลุกฮือของทิเบตต่อต้านการปกครองของ จีน ประกาศว่า เขาจะก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบต แต่ยังคงเดินหน้าบทบาทเรียกร้องเอกราชจากจีนต่อไป โดยเขาจะขอให้มีการออกหนังสือแก้ไขเพื่อให้เขาได้ก้าวลงจากการเป็นผู้นำทาง การเมือง ในการประชุมสภาทิเบตสัปดาห์หน้า และว่า ถึงขณะนี้ เขาได้บรรลุการทำหน้าที่เป็นผู้นำทิเบตที่มาจากการเลือกตั้ง นับตั้งแต่ช่วงปี 1960 แล้ว

ทาไล ลามะ กล่าวยอมรับว่า เขาได้รับการขอร้องทัดทานจากผู้คนภายในและภายนอกทิเบตให้เขาเป็นผู้นำทางการ เมืองต่อไป และวิงวอนให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงการตัดสินใจของเขา และว่า การตัดสินใจของเขาจะเป็นประโยชน์ของชาวทิเบตในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ทาไล ลามะ ยังได้ประณามความเป็นจริงอันโหดร้ายในชีวิตของชาวทิเบตภายใต้การปกครองของ จีน ซึ่งผู้คนต้องใช้ชีวิตด้วยความกลัวและความวิตกตลอดกาล และว่า นโยบายกดขี่ข่มเหงในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา รังแต่จะก่อปัญหาให้แก่ทิเบตยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


ก่อนหน้านี้ ภารกิจทางโลกของทาไล ลามะ ส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงพิธีธรรมเนียม และเขาได้เคยประกาศตัวไว้แล้วว่า ได้ก้าวลงอย่างครึ่งตัวจากตำแหน่งผู้นำทางการเมืองของทิเบต หลังได้รับการเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรกเมื่อปี 1950 ซึ่งมีขึ้นหลังจากทหารจีนได้เคลื่อนกำลังเข้ามายึดทิเบต และต่อมาเขาได้หนีออกจากแผ่นดินแม่ในปี 1959 จากเหตุลุกฮือเรียกร้องเอกราชที่ไม่ประสบความสำเร็จ

วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554 มติชนออนไลน์