เผยจีนแซงขยับขึ้นอันดับสี่ปท.ใช้จ่ายท่องเที่ยวมาก ที่สุดของโลก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 เม.ย.จีนได้ผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่มีประชากรใช้จ่ายท่องเที่ยวมากที่สุด เป็นอันดับสี่ของโลกแล้ว โดยแซงหน้าฝรั่งเศส ที่ก่อนหน้านี้รั้งตำแหน่งนี้ โดยยอดการใช้จ่ายท่องเที่ยวของจีนเมื่อปีที่แล้วมีจำนวน 43,700 ล้านดอลลาร์ มากกวาเมื่อปีถัดก่อน ซึ่งมีจำนวน 36,200 ล้านดอลลาร์ โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวครอบคลุมค่ากิน,ห้องโรงแรม และการเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

ทั้งนี้ รายงานระบุว่าเยอรมันยังคงรั้งอันดับหนึ่งของประเทศที่มีผู้คนใช้จ่ายท่องเที่ยวมากที่สุด ของโลก โดยปีแล้วใช้จ่ายเป็นจำนวน 80,800 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีถัดก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 91,000 ล้านดอลลาร์ ตามด้วยสหรัฐและอังกฤษ

*matichon.co.th

เจาะเทรนด์ยักษ์จีนตะลุยซื้อบริษัทต่างชาติ

ถ้าหากใครอยากรู้ว่าทำไมมหาอำนาจอย่างจีน ถึงเดินหน้าซื้อธุรกิจต่างชาติเสียยกใหญ่ อาจต้องอาศัยเศรษฐศาสตร์ตุ๊กตาบาร์บี้ช่วยอธิบายแนวคิดนี้ เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าทำไมบริษัทของจีนจึงพยายามซื้อกิจการแบรนด์ดังๆ อาทิ วอลโว่ เมื่อเร็วๆ นี้


เจ้าหน้าที่จีนและภาคธุรกิจได้อ้างการ วิเคราะห์ของตง เทา นักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอส ที่ให้ข้อมูลว่า ตุ๊กตาพลาสติกรูปผู้หญิงขายในราคา 20 ดอลลาร์ ขณะที่ผู้ผลิตจีนทำเงินได้เพียง 35 เซนต์จากยอดขายดังกล่าวเท่านั้น จึงสร้างบทเรียนที่ว่า "เงินก้อนใหญ่อยู่ที่แบรนด์ ไม่ใช่แค่รับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทต่างชาติ"


การซื้อกิจการต่างชาติครั้งใหญ่ของจีน เป็นผลงานของบริษัทของรัฐบาล ซึ่งลงทุนในเหมืองแร่และแหล่งน้ำมัน เพื่อหาซัพพลายให้เพียงพอกับความต้องการวัตถุดิบในประเทศที่เศรษฐกิจกำลัง เติบโตอย่างรวดเร็ว


แต่บริษัทเอกชนที่มีความทะเยอทะยาน กำลังซื้อแบรนด์ต่างชาติด้วยความหวังจะผลักดันการพัฒนาของตัวเองเพื่อแข่ง ขันกับคู่แข่งต่างชาติ โดยเทรนด์นี้เริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ากำลังเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน และอาจได้รับปฏิกิริยาเชิงลบในต่างประเทศ ขณะที่ตัวผู้ซื้อกิจการเอง บางครั้งก็มีประสบการณ์ระดับโลกน้อย และต้องดิ้นรนเพื่อสร้างความสำเร็จหลังซื้อกิจการมาครอบครองแล้วเช่นกัน


เหอ อวีซิน นักวิเคราะห์ของดราโกโนมิคส์ บริษัทวิจัยในปักกิ่ง แสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบันมีบริษัทจีนจำนวนมากติดอันดับฟอร์จูน 500 และบริษัทต้องการทำดีลบางอย่างเพื่อสะท้อนชื่อเสียงระดับนานาชาติ


ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้พยายามกระตุ้นบริษัทในประเทศให้คิดการใหญ่และขยายธุรกิจไปในต่าง ประเทศ เพื่อสร้างความหลากหลายของเศรษฐกิจ การลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (FDI) ในจีนพุ่งขึ้นกว่า 2 เท่าในช่วงปี 2550-2551 เป็น 55.9 พันล้านดอลลาร์ และคาดกันว่าตัวเลขในปีนี้จะสูงกว่านั้นอย่างแน่นอน


การเข้าไปซื้อกิจการต่างชาติของจีน คล้ายกับแนวทางของญี่ปุ่นในยุคทศวรรษ 1980 ที่ญี่ปุ่นได้ทุ่มเงินซื้อสินทรัพย์อย่างเพบเบิ้ล บีช กอล์ฟ ลิงค์ ในแคลิฟอร์เนีย และร็อกกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์ ในนิวยอร์ก ซึ่งดีลเหล่านั้นได้จุดกระแสต่อต้านจากชาวอเมริกันที่หวั่นเกรงว่าญี่ปุ่น กำลังจะครองโลก


แรงต่อต้านที่คล้ายๆ กันเกิดขึ้นกับดีลขนาดยักษ์ของจีนบางดีล อีกทั้งยังมีการถกกันว่าจีนจะทำผิดพลาดเหมือนกับญี่ปุ่นหรือไม่ ในกรณีที่ว่าซื้อสินทรัพย์ในราคาสูงเกินจริง และบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการได้


ฮัว เจียงกัว ประธานสภาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของจีน มองว่า จีนจะเผชิญกับแรงต้านที่มากขึ้นในต่างประเทศ หากพยายามซื้อหุ้นใหญ่ในธุรกิจที่มีความอ่อนไหวหรือเป็นกระดูกสันหลังของ ประเทศนั้นๆ แต่หากโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกันและสร้างรายได้ภาษีและ สร้างงานให้แก่คนท้องถิ่น จีนก็จะได้รับการต้อนรับในต่างประเทศ


โดยดูได้จากบรรดาบริษัทที่ขาด สภาพคล่องทางการเงินที่ยินดีต้อนรับการลงทุนหรือการเข้าซื้อกิจการของบริษัท จีน อาทิ เช่น เจนเนอรัล มอเตอร์ส ที่รีบตะครุบโอกาสขายแบรนด์ "ฮัมเมอร์" ให้กับเสฉวน เทิงจง เฮฟวี่ อินดัสเทรียล แมชีนเนอรี คอร์ป ทว่าสุดท้ายรัฐบาลแดนมังกรไม่อนุมัติดีลดังกล่าว


นอกจากนี้บริษัทจีนยังไล่ซื้อแบรนด์ ดังอีกหลายแบรนด์ เช่น นานจิง ออโต้ กรุ๊ป ซื้อกิจการสปอร์ตคาร์ "เอ็มจี" ของอังกฤษ ขณะที่ ปักกิ่ง ออโต้โมทีฟ อินดัสทรี โฮลดิ้งก์ ซื้อเทคโนโลยีหลักของ "ซาบ ออโตโมบิล" จากเจนเนอรัล มอเตอร์ส ซึ่งดีลนี้ไม่รวมแบรนด์ซาบ หรือโรงงาน แต่การเข้าไปผูกพันกับค่ายรถยนต์ดังของสวีเดน จะสร้างคุณสมบัติพิเศษสำคัญให้กับค่ายรถยนต์จีนในตลาดท้องถิ่น


การเร่งขยายอาณาจักรในต่างประเทศของ บริษัทจีน เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดาบริษัทต่างชาติในจีนระบุว่า บรรยากาศการทำธุรกิจในประเทศไม่ดีสำหรับตน โดยรายงานฉบับล่าสุดของหอการค้าอเมริกัน ประจำประเทศจีนกล่าวโทษว่ารัฐบาลปักกิ่งกำลังปิดโอกาสของบริษัทต่างชาติใน หลายตลาด โดยหวังหนุนบริษัทจีนแทน


อย่างไรก็ตามแอนดี้ เซีย นักเศรษฐศาสตร์อิสระในเซี่ยงไฮ้ ไม่คิดว่า 2 ปรากฎการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกัน โดยระบุว่า เป็นเพียงการทะยานขึ้นมาของบริษัทรัฐบาล นโยบายหนุนบริษัทรัฐบาลมากกว่า และบริษัทเอกชนของจีนก็กำลังเผชิญกับปัญหาเดียวกัน


แต่จีนอาจกระตุ้นให้เกิดกระแสต่อ ต้านการกีดกันทางการค้า หากรัฐบาลควบคุมตลาดในประเทศ ขณะนี้เร่งขยายตลาดแบบเชิงรุกในต่างประเทศ


ด้านปีเตอร์ ธอร์ป หุ้นส่วนจัดการเอเชียของบริษัทกฎหมายอัลเลน แอนด์ โอเวอรี่ มองว่า การลงทุนในต่างประเทศของจีนยังคงเกิดจากบริษัทของรัฐบาล และเป็นการลงทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน


แต่รูปแบบการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงใน อนาคตอันใกล้ โดยจะมีนักลงทุนและบริษัทเอกชนมากขึ้น หันไปลงทุนในด้านไบโอเทคโนโลยี เกษตรกรรม และเภสัชภัณฑ์ พร้อมเปิดเผยว่าปัจจุบัน ครึ่งหนึ่งของธุรกิจของสำนักงานในจีนของบริษัทตนเอง เกี่ยวข้องกับการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทจีน


"ไม่มีใครมั่นใจว่าอะไรจะเป็นธุรกิจ ที่ร้อนแรง แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้คือ อสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่กำลังแอคทีฟมากขึ้น" นอกจากนี้ ในช่วงไม่นานมานี้ ดีลใหญ่ๆ ก็เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย


เมื่อบริษัทเจ้อเจียง จีลี่ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซื้อกิจการของวอลโวในราคา 1.8 พันล้านดอลลาร์ โดยเหอ นักวิเคราะห์ของดราโกโนมิคส์ชี้ว่ามีเหตุผลสำคัญ 2 ประการที่ทำให้บริษัทจีนลงทุนในต่างประเทศ คือ ประการแรก เป็นการซื้อกิจการในราคาถูก โดยได้ครอบครองแบรนด์ที่แข็งแกร่งในราคาที่ดี และประการที่ 2 คือ จีลี่ได้เทคโนโลยีซึ่งจะเสริมสร้างฐานะของบริษัทในตลาดจีน


ซึ่งคล้ายกับกรณีของเลอโนโว กรุ๊ป บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อันดับ 4 ของโลก ที่ซื้อธุรกิจพีซีของไอบีเอ็ม เมื่อปี 2548 ซึ่งช่วยให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในตลาดจีน


ขณะที่ดีลซื้อกิจการรายอื่นๆ ถูกขับเคลื่อนด้วย "ความสิ้นหวัง" ของบริษัทที่ต้องดิ้นรนในภาวะที่มีมาร์จิ้นกำไรน้อยมาก ทั้งยังเผชิญกับอุปสรรคในการเติบโตในจีน ตัวอย่างเช่น ทีซีแอล กรุ๊ป ตั้งบริษัทร่วมทุนกับทอมสัน จากฝรั่งเศส และอาร์ซีเอ เมื่อปี 2546 ทว่าสุดท้ายการเป็นพันธมิตรดังกล่าวกลับห่างไกลจากเป้าหมายของการเป็นผู้ ผลิตโทรทัศน์ขายดีอันดับ 1 ของโลก โดยแบรนด์ทอมสันทำธุรกิจได้ไม่ดีในสหรัฐและยุโรป อีกทั้งยังไม่มีข้อได้เปรียบเชิงเทคนิคในตลาดจีนด้วย


การศึกษาการซื้อและควบรวมกิจการของ บริษัทจีน โดยอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต ระบุว่า บริษัทจีนยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญบางประการในการลงทุนในต่างประเทศ โดยข้อหนึ่งคือ บริษัทที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ต้องขออนุมัติจากรัฐบาลจีนเมื่อต้องการ ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งสร้างความล่าช้าสำหรับบริษัทจีนในการแข่งขันกับผู้ท้าชิงจากยุโรปและ อเมริกาซึ่งมีประสบการณ์ในการเจรจาและจัดหาเงินทุน


รายงานซึ่งสำรวจความคิดเห็นของผู้ บริหารจีน 110 คน พบว่า 82% ระบุว่า การขาดความเชี่ยวชาญด้านการบริหารเป็นปัญหาสำคัญที่สุดในการลงทุนในต่าง ประเทศ ขณะที่มีเพียง 39% ที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อผนวกบริษัทต่างชาติที่ซื้อมา เข้ากับบริษัทของตนเอง


สตีเฟ่น จอส์ค ผู้อำนวยการฝ่ายบริการคาดการณ์จีนของอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต แสดงความคิดเห็นว่า การซื้อกิจการของจีนในช่วงที่ผ่านมาหลายดีลจะมีปัญหา "เราต้องรอดู แต่มันจะไม่ใช่กระบวนการง่ายๆ จีนต้องมีกระบวนการเรียนรู้อีกยาวเพื่อก้าวผ่าน ในแง่ของการเรียนรู้การบริหารตลาดต่างประเทศ และบริหารบริษัทต่างชาติในตลาดเหล่านั้น"

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ทำไมไวน์ดี ถึงแพง อิอิ








หลายคนอาจรู้มาว่า คุณภาพ ตลอดจนราคาของไวน์นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน
พันธุ์ขององุ่น?
พื้นที่ที่ปลูกองุ่นและผลิตไวน์?
ปีที่ผลิต?
คำตอบก็ทั้ง 3 แหละครับ
แต่เมื่อไม่นานมา เราได้รับข้อมูลหนึ่ง ซึ่งบอกกับเราว่า มีปัจจัยอีกอย่างที่สร้างคุณค่า คุณภาพ ตลอดจนอาจจะปั่นราคาไวน์ให้สูงปรี๊ด
คนผลิตครับ
ก็แหม เจอคนทำไวน์ โดยใช้ ′ตัว′ คั้นน้ำองุ่นแบบนี้ คุณภาพจะไม่ดีได้อย่างไร
แน่นอนราคาก็ต้องแพงไปด้วย แต่อย่าคิดลึกเด็ดขาด
ไวน์ดีมีคุณภาพก็ต้องแพงเป็นธรรมดา

*prachachat.net

วัยรุ่นจีนใช้มือถือเชื่อมชีวิตติดเน็ต

เอเอฟพี รายงานว่า วัยรุ่นจีนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เนื่องจากมีราคาถูกและง่ายกว่าการเชื่อมต่อด้วยคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป
ผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลเครือข่ายอิน เทอร์เน็ตของจีน พบว่า ในปี 2552 ราว 3 ใน 4 ของประชากรจีน 195 ล้านคนที่เข้าเว็บ ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 25 ปี เข้าอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ เพิ่มจากระดับ 50% ในปีก่อน

การสำรวจนี้เป็นครั้งแรกที่ยืนยันว่า โทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นช่องทางยอดฮิตในหมู่นักท่องเว็บวัยละอ่อนของจีน
ผล สำรวจยังพิสูจน์ถึงความสำคัญของตลาดอินเทอร์เน็ตบนมือถือในจีนที่เติบโต อย่างรวดเร็ว โดยมีชาวจีนลงทะเบียนใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 765 ล้านคน

ราว 70% ของวัยรุ่นที่ใช้อินเทอร์เน็ตยังคงใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ซึ่งสะท้อนว่าวัยรุ่นที่มีความเข้าใจในเรื่องเว็บไซต์ใช้ทั้งมือถือและ คอมพิวเตอร์เดสก์ทอปในการเชื่อมต่อโลกออนไลน์
ศูนย์ข้อมูลฯ ระบุด้วยว่า มีวัยรุ่นจำนวนมากในชนบทที่ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือ มากกว่าวัยรุ่นในเขตเมือง เนื่องจากอุปกรณ์พกพานี้ทำให้วัยรุ่นในพื้นที่ที่ยากจะเข้าถึงคอมพิวเตอร์ สามารถมีทางเลือกในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
โดยวัยรุ่นจีนเหล่านี้เข้า อินเทอร์เน็ตเพื่อฟังเพลง เล่นเกม และดูคลิปวิดีโอ

*ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


คำคมบาดใจ

1 - 2

เวรกรรมไม่เคยหมดอายุความ ไม่ว่าจะนานเพียงใด...ต้องชดใช้

พระเจ้าสร้างโลก ...สร้างชีวิตและสรรพสิ่งเหมือนจะเอาไว้เป็นสนามประลองความเชื่อ

ในความว่างเปล่า ลึกล้ำสุดประมาณที่สิ้นสุด บางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นั่น...ที่รอยต่อของความคิดคำนึงกับจิตวิญญาณ ที่ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก...พึ่งพา...พักพิง...

สมองพยายามที่จะลืมในสิ่งที่จิตวิญญาณจดจำ...หัวใจคร่ำครวญอยู่ตรงกลางนั้น...

พายุร้ายที่พัดโหมกระหน่ำ ไม่อาจทำลายล้างความว่างเปล่าได้เลยตราบใดที่ความว่างเปล่า...ยังคงว่างเปล่า

บางความรู้สึก...ไม่อาจที่จะลบล้างได้ด้วยกาลเวลา ไม่ว่าจะนานเท่าใด

แม้แต่พระเจ้าก็เคยพลาด มาแล้ว อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง...ตอนที่สร้างโลก..

ความจริงต้องอยู่ที่ไหน สักแห่งหนึ่ง...ระหว่างพระเจ้ากับ...ซาตาน

ความมืดไม่มีพลังอำนาจ ......พอที่จะทำร้ายใครได้เงาดำที่ลอบหลบอยู่ข้างในนั้นต่างหากล่อลวง...ครอบงำ

ถ้าชีวิตยึดติดกับจิต วิญญาณ แล้วความรักเล่า...จะยึดติดกับซากหัวใจที่ยับเยินแหลกราญ...อย่างนั้น...นะหรือ

ครั้งหนึ่งพระเจ้า…อาจ จะเคยใส่หน้ากากซาตานครั้งนี้มันถึงได้แอบอ้างเป็นพระเจ้า...ปลดปล่อย

น้ำมักจะไหลลงสู่ที่ต่ำ เสมอน้ำตาก็เหมือนกัน

หัวใจเป็นแค่ก้อนเนื้อ เล็กๆ หรือมีเหล็กไหลผสมอยู่ จึงทานทนได้ถึงเพียงนี้

แค่ยอมที่จะตรอมตรม ยอมที่จะสูญเสีย ยอมที่จะมีชีวิตอยู่ แค่นั้นเอง......ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นอีกแล้ว...ถ้าเพื่อคนผู้เป็นที่รัก

ณ มุมหนึ่งของหัวใจในด้านมืด มีเงาดำแอบลอบอยู่ และเมื่ออารมณ์อยู่เหนือจิตสำนึกซาตานร้ายก็พร้อม...ตะบบเหยื่อ

ความรัก…มักจะตกเป็น เหยื่ออันโอชะของซาตาน พระเจ้าทรงรู้ดี...เพราะพระองค์คือผู้วางเบ็ด

โลกคับแคบเกินไปไม่อาจ เก็บความทุกข์เอาไว้ได้ทั้งหมดแต่หัวใจกลับไม่เคยที่จะเพียงพอ อาณาจักรใจไร้ขอบเขต...หรือไฉน

บางครั้งชีวิตช่างกล้ำ กลืนตรอมตรม เสียจนไม่มีที่ว่างเหลือไว้ให้จดจำ……ความสุขใจ

ความเป็นไปได้มิได้ตก หล่นอยู่ตามริมทาง หรือร่วงลงมาจากฟากฟ้าได้เองนอกจากจะต้องสร้างมัน ...

นอกจากพระเจ้าแล้ว ก็มีแต่เพียงความพยายามเท่านั้นที่สามารถสร้างปราฏิหารย์ได้...

มีพบ...พลัดพราก มีโหยหา...ลืมเลือน มีเรืองรุ่ง...สูญสลายรักเป็นเช่นนี้...หรือมิใช่

อีกครั้งที่ความรัก ถูกกล่าวโทษอีกครั้งที่ความรักต้องตกเป็นจำเลยและอีกครั้งที่สันชาติญาณ...ลอยนวล

ในโลกนี้มีเรื่องราวมากมาย ที่รอการรับรู้ มีความจริงมากมายที่รอให้ปวดใจ

ระหว่างความเป็นกับความ ตาย หนาวเหน็บและ...เจ็บแปลบ

ชีวิตเกิดมาพร้อมกับลม หายใจ และจากไป...พร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย…ด้วยเช่นกัน

ความคิดคำนึง...มโนภาพ ผ่านกำแพงกาลเวลา...

ความรักล่ามหัวใจไว้กับ ความผูกพัน กักขัง...รอคอยให้เวลา...ดูแล

ความจริงบางครั้งเหมือน ฝัน...ทั้งที่อยู่กันคนละโลก

ความปลื้มปิติกระทบความ ตื้นตัน...กลั่นตัวเป็นหยาดน้ำตา

ถ้าความรักคือการลงทุน การรอคอยก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุน

เวลา ไม่เคยล่าช้าหรือมาก่อนกำหนด เวลาได้พิสูจน์แล้วเวลาได้ตอบคำถามแล้ว เวลาไม่เคยบิดเบือน

ความรัก…ทางผ่านของพระ เจ้าสู่มวลมนุษย์

ความรักเป็นเพียงความ รู้สึกหนึ่ง ที่ซุกซ่อนปะปนอยู่ในอารมณ์...มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา...เพื่อประทังชีวิต

ความรักทรงอนุภาพ และมีความหมายอยู่ในตัวเอง...อยู่ได้ด้วยตัวเอง

ความเชื่อได้ผ่านการ ทดสอบแล้ว....ด้วยการศรัทธา...ชีวิต...

ตราบใดที่สมองยังคงสั่ง การ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะหัวเราะหรือร้องไห้ความทรงจำไม่เคยลำเอียง...

แม้จะยื้อยุดหยุดวันและ เวลาเอาไว้ได้ ชีวิตก็ยังคงเป็น...ชีวิต ชีวิต...มีวงจร...ชีวิต

ความรัก... แม้ไม่ได้รับการนมัสการ แต่ก็ได้ถูกขนานนามไว้ในพระคัมภีร์

ในอ้อมกอดแห่งรัก ....วิญญาณพร้อมจะดับจิต

ปราฏิหารย์ใดกันแน่ ที่ทำให้ความปรารถนาของวันวานกลายกลับเป็นสิ่งที่ขมขื่นที่สุด...ในวันนี้

ความ รักไม่เคยต้องโทษ ความรักไม่ผิด...หัวใจไม่มีสิทธิ์กักขังหน่วงเหนี่ยว

กี่แสน ล้านฝัน กี่พันหมื่นหวัง ที่ความจริงได้เคยทำลายมาแล้ว...จนนับครั้งไม่ถ้วน

แม้แต่เรื่องาราวในพระคัมภีร์…ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จประสาอะไรกับคำสัญญา...ปากเปล่า

ทุกคน เกิดมามีภาระและหน้าที่ ...มีคนที่จะรัก...มีสัก สิ่งหนึ่งที่จะหวัง...และรอคอย

ดวงดาวที่ทอแสงประกายอยู่บนฟากฟ้า เมื่อร่วงลงมาสู่ดินก็ไม่ต่างไปจากเม็ดหินหรือกรวดทราย หาได้กลายเป็นเพชรนิลจินดาไม่

ชีวิต... แม้ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้เลิศลอย ก็ใช่ว่าจะสมหวัง...ชีวิต...คาดหวังได้ แต่ไม่อาจคาดหมาย
เมื่อความ แน่นอนคือความไม่แน่นอน ชีวิต...จะหวังอะไร

ความจริงคือสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่...ใครเล่า...ที่กล้าปฏิเสธตัวเอง

ชีวิตมีเส้นทางให้เลือกไม่มาก และถ้าหากมีโอกาสให้ได้เลือกใครบ้าง...จะปล่อยลอยหลุดไป

คำคมบาดใจ

1 - 2

โชคชะตา...อยู่เหนือความ เชื่อ...ท้าทายพระเจ้า…ยิ้มเย้ยซาตาน

น้ำตากลั่นกรองมาจาก หัวใจ น้ำตาพูดแทนหัวใจ

ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ถูก จุดชนวนด้วยน้ำตา อนุภาพจะร้ายแรงสักปานใด

ความเชื่อมั่นเท่านั้น ที่สามารถบำบัดโรคร้ายในใจแต่จะหาได้จากที่ใด...กลางใจร้าวราน...มีอยู่ด้วยหรือ

นกเจ็บจะร่อนบินไปได้ ไกลสักแค่ไหน ถ้าไม่มีสายลมคอยช่วยพยุงใต้ปีก

ชีวิตมีองค์ประกอบ มากกว่าหนึ่ง...และหนึ่งนั้น......มีมากกว่าหนึ่ง...

คำร่ำลา ความปวดร้าวของผู้จากไป ความอาลัยของผู้อยู่สายใยสุดท้ายแห่งความผูกพัน

นิยามชีวิตไม่เคยลงตัว ไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีใด...

ชีวิตไม่เคยถูกกำหนดไว้ ในแผนผัง ไม่เคยมีใครเคยพบลายแทงกับดักชีวิต

เวลา เท่านั้นที่อาจจะตอบได้หมดทุกคำถาม แต่ชีวิตจะรอคอยได้นานสักแค่ไหน

หลอกผู้อื่นได้...หลอก ตัวเองได้...หลอกพระเจ้าได้...

เพราะวันวานไม่อาจหวนคืน วันนี้จึงเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้และวันต่อๆไป เพียงแค่คิดก็ร้าวลึก...ก่อนแล้ว

ความทรงจำ สุสานแห่งปัจจุบัน บ้านนิรันดร์ของอดีตรอคอย...วันนี้...พรุ่งนี้

สุสานใจไม่เคยร้างไร้ แผลแล้ว...แผลเล่า...ที่ขุดลงกลางใจเพื่อฝังกลบความหลังเพื่อที่จะลืม...เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บปวด

ความรักขาวสะอาด ...บริสุทธิ์ แต่เพราะมีรากเหง้ามาจากหัวใจจะด่างจะดำไปบาง...จะเป็นไร

ลองค้นดูเถิดในหัวใจรก รักแต่ต้องระวังสักนิดอาจจะมีอสรพิษซ่อนอยู่ในนั้นด้วยก็ได้

สุขในฝันกอดจันทร์ละเมอ ...คืบเดียวเธอ...ใยห่างกันแสนไกล

ครั้งแล้ว ครั้งเล่า...ที่ความรักถูกเหยียบย่ำ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า...ที่ความรักถูกลบหลู่ดูหมิ่น...มนต์รักไม่เคยเสื่อมสิ้น...

ไม่ใช่แค่ไกลจนเกินฝัน แต่ฝันนั้นยังไกลเกินกว่าจะจินตนาการ...ไกลเกินกว่าที่จะวาดวิมานในอากาศ

ระหว่างความฝันกับความ จริง...แค่เปลือกตาเท่านั้นที่กั้นไว้

สายน้ำแห่งความจริง ...เชี่ยวกราดเกินกว่าความรัก...จะขวาง

ความรักบงการแล้ว ...หัวใจก็พร้อมยอมสวามิภักดิ์...แล้วด้วย...เช่นกัน

หากน้ำตาพูดได้...คง ครวญคราง...โหยไห้ ไหว้วอน...ร้องขอได้ โปรดเถิด...เจ็บเหลือเกินทรมานเหลือเกิน..

ต้องมีใคร......เล่นตลกกับ ชีวิตแน่ๆ ใคร…ที่ไม่มีตัวตน...ข้างบนนั้น

ชีวิตกับความรักบาง ครั้งก็ลงตัวเสียจนดูเหมือนว่าจืดชืด...ไร้รสชาติแต่ใครบ้างเล่าที่ไม่ปรารถนาเช่นนั้น

บางคนรัก...เพื่อที่จะ รัก บางคนรัก...เพียงแค่ให้ได้รัก บางคนรัก...เพราะรัก ก็เท่านั้น...ความรักไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย

บางครั้งชีวิตเป็น เหมือนเส้นตรงที่ไม่สลับซับซ้อนคดโค้ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า...ข้างหน้านั้น...จะไม่มีทางแยก

พระเจ้าสร้างโลกมาแบบนี้ นอกจากจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์…ยกยอพระองค์ขอบคุณพระองค์...แล้ว
มีใครบ้างเล่าที่หาญกล้างัดข้อกับพระองค์

ถ้าดวงตาเป็นหน้าต่าง ของดวงใจ น้ำตาก็เป็นบันได...พาดปีน

ในวังวนชีวิตที่เวิ้งว้าง...ว่างเปล่ามนุษย์ดิ้นรน...ตะเกียกตะกาย ไขว่คว้า...เพื่ออะไร

หากความรักเป็นความผิด การดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่นั้น...สมควรได้รับการประนาม

ก้านไม้ขีดริษยาแสง เทียน...ทั้งที่ต่างเผาผลาญตัวเองให้มอดไหม้

ความเอื้ออาทรเป็นอีกบท พิสูจน์หนึ่งของความรัก...ที่เหลือคือร้าวราน

หัวใจบรรจุโลกเอาไว้ได้ทั้งใบ...แต่ซ่อนรักในใจนั้นกลับยากยิ่ง

การรอคอยไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหนก็ทำให้ทรมานใจได้ทุกครั้ง แม้จะสักแค่เพียงอึดใจเดียว

ความยุติธรรม ...บรรณาการขนมปังชิ้นหนึ่งให้เศรษฐีแล้วโยนขนมปังอีกชิ้นหนึ่งให้ยาจกหิวโซ

ความรักศักดิ์สิทธิ์ ...สวยงาม...ถ้าปราศจากกฎเกณฑ์

ดวงตาแม้ไม่บอดมืด ...แต่บางครั้งกลับมองไม่เห็นอะไรเลย

เมื่อดวงใจมีรักจึงได้รู้ว่า...ชีวิตมีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายบางสิ่งบางอย่าที่รอให้เติมเต็ม

รักตัวเองเป็นอีกรูปแบบ หนึ่งของความรักแม้จะไม่สง่างามนัก...แต่ก็ชอบธรรม...

สุภาษิต คำคม วาทะคนดัง

เมื่อคุณจะทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม
หากคุณชอบและรัก และพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับมัน
คุณจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
แต่คุณต้องลงมือศึกษาอย่างเป็นจริงเป็นจังด้วย
—- ชัยยุทธ กรรณสูต

อย่าลืมว่า
ในการประกอบธุรกิจ เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเฮงด้วย
และเก่งกับเฮงก็ใช้ไม่ได้แล้วในสมัยนี้
ต้องมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจด้วย
และเรื่องนี้ผมก็สอนลูก ๆ ผมอยู่เสมอ
—- อุเทน เตชะไพบูลย์

ผมบอกพนักงานอยู่เสมอ
คือในโลกนี้ ไม่มีคนไหนเก่งไปตลอดกาล
วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้ อาจมีคนเก่งกว่าคุณ
เพราะฉะนั้น คนใดก็ตามที่ภูมิใจว่า ตนเองเก่ง
จงจำเอาไว้ได้เลยว่า ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้ว
ความโง่คืบคลานมาใกล้ตัวคุณแล้ว
—- ธนินท์ เจียรวนนท์

ผมพร้อมจะเป็นน้ำนิ่ง อาจมีเขื่อนมาขวางหน้า
แต่ถ้าวันใด ที่เขื่อนนั้นเปราะบาง และโอกาสแห่งการสำแดงพลังมาถึง
ผมก็พร้อมจะกลายเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
โหมกระหน่ำใส่ทุกสิ่งที่ขวางกั้น
แม้กระทั่งเขื่อนที่ครั้งหนึ่งผมเคยสยบยอมก็ตาม
—- เจริญ สิริวัฒนภักดี

ผมจะก้าวหน้าไปสักก้าว ก็ต้องเจออะไรมากระทบ
แต่เราก็พยายามที่จะก้าวใหม่ อีกอย่างหนึ่ง
แบงค์กรุงเทพฯเคยถูกกระทบตลอดเวลา และไม่เคยท้อถอย
—- ชาตรี โสภณพนิช

เจี้ย ยู่ เล้ง โจ้ว ซื่อ ยู่ โฮ้
แปลเป็นไทยได้ความว่า
กินข้าวต้องเร็วเหมือนมังกร ทำงานต้องทำให้เหมือนเสือ
และก็ไม่แต่ผมคนเดียวเท่านั้น
ลูกๆ ทุกคนก็ปฏิบัติอย่างนี้
—- บุญยสิทธิ์ โชควัฒนา

ถ้าคุณอดทน เพื่อจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ
คุณจำเป็นอย่างมากที่จะต้องลงมือศึกษาเรื่องนั้นๆ อย่างเป็นจริงเป็นจัง
แต่ถ้าคุณไม่อดทน โอกาสที่คุณจะผิดพลาดก็ย่อมมีสูงเช่นกัน
—- อนันต์ กาญจนพาสน์

จงเดินไปหาภูเขา อย่าให้ภูเขาเดินมาหาเรา
เพราะผมคิดว่า ปกติผู้บริหารทั่วไป มักจะเรียกพนักงานมาประชุมกับเรา
มันเหมือนเราย้ายพนักงานทั้งกองทัพมาหาเรา
แต่สำหรับผมผมจะเดินไปหาเขา
ผมบอกลูกน้องของผมว่า
เราต้องเดินไปหาลูกค้า อย่าให้ลูกค้ามาหาเรา
—- พรเทพ พรประภา

ในเรื่องของการพิจารณา ความดีความชอบ
ผมจะฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นหลักว่า
ลูกน้องแต่ละคนทำงานลงไปแล้ว
ลูกค้าพอใจแค่ไหนอย่างไร ผมจะไม่เชื่อหัวหน้าอย่างเดียว
เพราะถ้าเกิดหัวหน้าบางคนไม่ชอบลูกน้อง
อาจเกิดกรณีหัวหน้าแกล้งลูกน้องได้
—- ประกิต อภิสารธนรักษ์

ผมมีหลักของอาจารย์ที่สอนผมอย่างหนึ่งว่า
มนุษย์เกิดมาไม่มีใครเก่งที่สุด ดีที่สุด
หรือแม้แต่เลวที่สุด
เพราะคนที่ดีสุดและเลวที่สุด
ได้ตายจากโลกนี้นานแล้ว
คนที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียง ชีวิตที่มีขึ้นมีลงอย่างเดียว
—- ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ

ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม
คุณต้องศึกษาให้รู้แจ้งเสียก่อน ก่อนที่จะลงมือทำ
และเมื่อลงมือทำแล้ว ก็ต้องทำให้จริงๆ จังๆ
ให้มันรู้ไปเลยว่า เราทำไม่ไหวแล้ว
—- ชวน ตั้งมติธรรม

มีหลักในการบริหารงาน ไม่กี่ประการ
1. ต้องลับคมอยู่เสมอ
2. ไม่กลัวงาน เมื่อคิดจะทำอะไรต้องทำทันที และ
3. ต้องรักษาคำพูด
—-คุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย

เวลามีปัญหาในองค์กร ปัญหาชีวิตและสุขภาพ
จะมีทางแก้ไขปัญหาให้คลี่คลายหลายรูปแบบ
แต่ที่สำคัญต้องมีสติ และมีความรักเป็นพื้นฐานสำคัญ
จากนั้นจึงค่อยใช้ปัญญา เพราะปัญญาช่วยให้มองเห็นหนทาง
ของการแก้ปัญหาอย่างชัดเจนที่สุด
—- ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์

1. จงเผชิญกับความจริงอย่างที่เป็นอยู่ มิใช่อย่างที่คุณอยากเป็น
2. จริงใจกับทุกคน
3. อย่าเป็นแค่นักบริหารแต่จงออกไปนำทัพ
4. จงเปลี่ยนแปลงก่อนที่เหตุการณ์จะบังคับให้ต้องเปลี่ยน
5. ถ้าท่านไม่มีจุดแข็ง หรือข้อได้เปรียบจงอย่าแข่งกับเขา
6. จงคุมชะตาด้วยตนเองมิฉะนั้น ผู้อื่นจะมาคุมแทน
—- ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์

วิธีจัดการกับ ความฝัน คือการทำมันให้เป็นจริง”
- วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์

“ถ้าคุณเดินตามรอยเท้าคนอื่น…แล้วคุณจะมีรอยเท้าไว้ให้ คนอื่นเดินตามมั้ย”
- ภัทราวดี มีชูธน

“แรงโน้มถ่วงไม่สามารถทำให้คุณตกหลุมรักได้”
- อัลเบิร์ต ไอสไตน์

“จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้”
- อัลเบิร์ต ไอสไตน์

“อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ และอีก 99 เปอร์เซ็นต์คือความอุตสาหะ”
- โทมัส อัลวา เอดิสัน

“สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่
สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว”
- ท่านพุทธทาสภิกขุ

“หากคุณเอาแต่ตัดสินคนอื่น คุณก็จะไม่มีเวลารักคนอื่นเช่นกัน”
- แม่ชีเทเรซา

“ถ้าเราเชื่อมั่นว่าทำได้ ต่อให้ต้องย้ายภูเขาถมทะเลในที่สุดก็สำเร็จจนได้
แต่ถ้าใจเราคิดว่าทำไม่ได้แม้จะ ง่ายแค่พลิกฝ่ามือ ก็ยังไม่มีวันประสบความสำเร็จ”
- ด.ร.ซุนยัดเซ็น

“แม่น้ำสายหนึ่งมักเกิดจากสายธารเล็กๆ แม้แต่มหาสมุทรก็ยังมีบางเวลา
ที่แห้งผากผิดปกติ สิ่งที่เราหวังมากที่สุด ผลสุดท้ายมักล้มเหลว
สิ่งที่เราตั้งความหวังไว้ต่ำที่สุด มักจะสำเร็จอย่างคาดคิดไม่ถึง”
- วิลเลียม เชคสเปียร์

“ผู้ที่ไม่รู้จักใช้สติปัญญาให้เหมาะสมกับโอกาส คือคนดื้อรั้น
ผู้ที่ใช้สติปัญญาไม่เป็น คือคนโง่
ผู้ที่ไม่กล้าใช้สติปัญญา คือทาส”
- เพลโต้

“สิ่งที่ทำให้เราหมดเรี่ยวหมดแรงนั้น หาใช่ภูผาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าไม่
หากแต่เป็นทรายเม็ดเล็กๆ เม็ดหนึ่งในรองเท้าของเราเอง”
- อี้หมิง

- Better three hours too soon than a minute too late.
มาไวไปสามชั่วโมง ดีกว่ามาช้าหนึ่งนาที (วิลเลียม เชคสเปียร์)

- Well begun is half done.
เริ่มต้นด้วยดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง (อริสโตเติ้ล)

- A weed is a plant we’ve found no use for yet.
วัชพืชคือพืชที่เรายังค้นหาประโยชน์ไม่พบ (ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน)

- He who asks is a fool for five minutes, but he who does not ask remains a fool forever.
ถามเขาอาจดูว่าโง่เพียง 5 นาที แต่คนที่ไม่ถามสักทีอาจโง่ไปชั่วชีวิต (ภาษิตจีน)

- Our greatest weakness lies in giving up.
ความอ่อนแอที่แย่ที่สุดของมนุษย์คือการล้มเลิกเสียกลางคัน (โทมัส เอดิสัน)

- Destroy your enemy by making him your friend.
จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร (อับราฮัม ลิงคอล์น)

- Actions speak louder than words.
การกระทำดังกว่าคำพูด (อับราฮัม ลิงคอล์น)

- Words must be weighed, not counted.
คำพูดสำคัญที่น้ำหนัก มิใช่จำนวน (ภาษิตโปแลนด์)

- Small children give you a headache, big children a heartache.
เด็กเล็กทำให้คุณปวดหัว แต่เด็กโตทำให้คุณปวดใจ (ภาษิตรัสเซีย)

http://ceit.sut.ac.th/km/wordpress/?p=79

ก็ผมไม่ ใช่พระอิฐพระปูนนี่คร้าบ...



"ผมโทร.มาบอกว่า สามทุ่มสิบห้าคนขับรถจะไปรับคุณ แล้วก็ตรงไปที่หมายด้วยกัน"

"ฉันคิด 1,000 ยูโรต่อคืน"

"ก็ผมให้คุณไปแล้ว 1,000 ยูโรนี่นา และถ้าคุณค้างคืนเขาจะตกรางวัลให้เพิ่ม โอ้! ผมเกือบลืมบอกไป เขาไม่ใช้ถุงยางนะ"

"ฉันไม่นอนด้วย หรอกถ้าไม่ใช้ถุงยาง ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาปลอดภัยชัวร์"

"ไม่เอาน่าที่รัก รู้ไหมนั่นน่ะใคร แบร์ลุสโคนี เชียวนะ!"

ใช่แล้ว บุคคลคนนั้นคือ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี มหาเศรษฐีเจ้าของทีมฟุตบอลดังอย่างเอซี มิลาน และนายกรัฐมนตรีคนดังของอิตาลี

บท สนทนาข้างต้นเป็นการโทรศัพท์ติดต่อกันระหว่าง จิอันเปาโล ตารันตินี นักธุรกิจที่เป็นนายหน้ากับ แพทริเซีย ดัดดาริโอ สาวเอสคอร์ตชื่อดัง หุ่นสะท้านหัวใจแห่งวงการใต้สะดือของอิตาลี เขากำลังนัดแนะก่อนที่เขาจะพาสาวงามรายนี้ไปพบกับผู้นำประเทศ และแน่นอน เรื่องนี้กำลังกลายเป็นที่โจษจันฮือฮาไม่เพียงแต่ในกลุ่มชาวมะกะโรนี แต่กลายเป็นจุดสนใจจากคนทั้งโลก เพราะอาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีผู้นำคนไหนในปฐพีนี้อีกแล้ว ที่จะมีชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ประตูดินเทียบเท่ากับขุนแผนแดนมะกะโรนี อย่างแบร์ลุสโคนี

แบร์ลุสโคนี ผู้นำอิตาลี วัย 72 ปี ตกเป็นข่าวฉาวมาร่วมเดือนหลังจากถูกแฉเป็นระยะๆ ถึงพฤติกรรมการจ้างคุณโสขึ้นเตียงของเขา เมื่อได้หว่านเงินจ้างคุณตัวระดับไฮโซให้มาเริงสวาทกันในงานปาร์ตี้ โดยที่แม่เสือสาวใหญ่อย่าง แพทริเซีย ดัดดาริโอ คุณโสชั้นสูงคนนี้เองที่เป็นรายล่าสุด นำเสียงสนทนาระหว่างเธอและท่านผู้นำก่อนจะขึ้นเตียงมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ที่เทปลับไม่ได้ลับเฉพาะอีกต่อไป

"เดี๋ยว ผมจะไปอาบน้ำนะจ๊ะ คุณอาบเสร็จเมื่อไรก็ขึ้นไปรอบนเตียงใหญ่โน่นได้เล้ย..." เสียงนี้คือเสียงจากท่านแบร์ลุสโคนี จึงไม่แปลกใจที่เรื่องนี้จะมีสีสันน่าติดตามยิ่งกว่าละคร เพราะแต่ละคำที่หลุดออกมาจากปากผู้นำอิตาลีนั้นถือว่าอยู่ในระดับ "เจน สนาม"

และแม้เรื่องราวดังกล่าวจะถูกเผย แพร่ต่อสาธารณชน พ่อขุนแผนแดนมะกะโรนีก็กลับไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรนัก หนำซ้ำยังหัวเราะร่า เล่นลิ้นสองแง่สามง่ามให้ชาวโลกหูผึ่งกันเข้าไปอีก

"ก็มีสาวสวยรายรอบอยู่เต็มไปหมดนี่นา และผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนี่ครับ ช่วยเข้าใจกันหน่อย และก็หวังว่าคนของทางหนังสือพิมพ์ลารีพับลิกาจะเข้าใจเหมือนกันด้วย" แบร์ลุสโคนี แถลงต่อผู้สื่อข่าวเป็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ถือเป็นการยอม รับกลายๆ ครั้งแรกว่าขึ้นเตียงกับสาวแพทริเซีย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่นานท่านผู้นำเพิ่งจะปฏิเสธหัวชนฝาไปด้วย ซ้ำแถมท้ายด้วยว่าถ้าจ่ายเงินซื้อเซ็กซ์จริงจะยอมลาออก และที่สำคัญเทปเสียงนี้ถูกส่งไปที่อัยการเพื่อดำเนินการสอบสวนแล้ว

"แต่คนอย่างผมไม่มีวันใช้เงินซื้อผู้หญิง ผมต้องชนะพวกหล่อนด้วยหัวใจเท่านั้น!" พ่อขุนแผนนักรักย้ำชัด

แต่แบร์ลุสโคนีจะยังทนอยู่ได้มากเท่าไหร่นั้นไม่ใช่ปัญหา ของใคร เพราะงานนี้กลับเป็นประโยชน์ของฝ่ายหญิงมากกว่า

อย่างกรณีเปิดทำเนียบปาร์ตี้ทำเอา แพทริเซีย ดัดดาริโอ โจทก์หมายเลข 1 ที่อยู่ในเทปเสียงสนทนาข้างต้น และเป็นผู้ออกมาแฉเองงานเข้ากันเห็นๆ หากยังยื้อเรื่องต่อไปได้ รับรองว่าจะกลายเป็นเซเลบจอมแฉแห่งวงการหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ได้ไม่ยาก

แพ ทริเซียคนนี้กลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน ไม่เพียงสื่ออิตาลีจับมาสัมภาษณ์จนสายตัวแทบขาด แต่สื่อต่างชาติยังประโคมข่าวใหญ่โต ยิ่งออกหน้าตามสื่อมากเท่าไร แพทริเซียยิ่งแย้มชีวิตเซ็กซ์ของขุนแผนอิตาเลียนมากขึ้น

อย่างล่าสุด แม้ว่าเธอจะยอมรับว่าไม่เคยได้รับเชิญไปยังวิลลา ซาร์ดิเนีย บ้านพักอีกหลังของแบร์ลุสโคนี แต่เจ้าตัวแย้มว่าถึงไม่เคยไป แต่แว่วๆ มาว่าท่านนายกฯ ยังเรียกคุณโสไฮโซรายอื่นไปรับจ๊อบแทน


เมื่อซักไซ้เข้าไปอีก แพทริเซียแย้มอีกนิด ว่า น่าจะมีวิลลาที่เกาะเบอร์มิวดาอีกแห่งที่แบร์ลุสโคนีพาบรรดากิ๊กและบ้านเล็ก ไปเสพสวาทกันที่นั่น ที่ร้ายกว่านั้น แพทริเซียยังร่ายเป็นฉากๆ ว่า วันเกิดเหตุนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไร และเชื่อว่าเหตุผลที่แพทริเซียเจ็บใจจนต้องออกมาแฉยื่นเทป เสียงลับให้กับสื่อ ก็เพราะว่าเธอถูกเบี้ยวค่าตัวอีกส่วนต่างหาก

เพราะ เธอได้เงินไปเพียง 1,000 ยูโรจากนายหน้าเท่านั้น ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมจากท่านผู้นำ...นอกเหนือไปจากการไม่ใช่ถุงยางอนามัย...! โดยข้ออ้างที่เธอได้รับคือ เพราะไม่ได้ค้างคืนร่วมกับท่านผู้นำ

เจ้าตัวบอกว่าจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ ไม่ใช่เพราะลูกค้าเป็นถึงผู้นำประเทศเท่านั้น ซึ่งในวันเกิดเหตุคนอเมริกันได้ยินแล้วอาจจะส่ายหน้า เพราะเป็นวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐพอดิบพอดี

กรณีของแพทริเซียไม่ใช่ ครั้งแรก เพียงแต่เป็นแค่กรณีล่าสุด หลังก่อนหน้านั้นไม่นาน ภรรยาของแบร์ลุสโคนีขอหย่าขาดเพราะทนพฤติกรรมเจ้าชู้ไม่ไหว และต่อมายังมีข่าวว่าพัวพันกับนางแบบสาวคราวลูกวัยเพียง 18 ปี

โดนเข้าไปหลายหมัด ขุนแผนแห่งกรุงโรมก็ยังลั่นวาจาว่าไม่มีวันสละเก้าอี้เด็ดขาด ถือเป็นการตอกย้ำมาตรฐานของนักการเมืองฝั่งยุโรป พฤติกรรมซนไม่เลิกเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแต่อย่างใด

อย่าง เช่นที่แดนผู้ดีถิ่นอังกฤษ นักการเมืองอังกฤษไม่เพียงหลงใหลในลัทธิติดกิ๊กจนงอมแงม แต่ยังหลุดข่าวบ่อยครั้งเสียจนประชาชนแทบปล่อยให้เลยตามเลยไปเอง ว่ากันว่าที่คนอังกฤษทนกับเรื่องพรรค์นี้ได้ เพราะอัตราบุตรนอกสมรสมีสูงถึง 42% ตัวเลขนี้น่าจะสะท้อนอะไรๆ ได้อยู่

กรณีอื้อฉาวทางเพศที่พิลึก พิลั่นที่สุดในอังกฤษ ต้องย้อนรอยไปถึงกรณีของ เดวิด แบลงเคต รัฐมนตรีมหาดไทยของอังกฤษในสมัยรัฐบาลโทนี แบลร์ รายนี้มีระแคะระคายกันอยู่บ้างว่าแอบมีกิ๊ก เรื่องพรรค์นี้ในระดับนี้ยังพอสงบปากสงบคำกันได้ แต่พอจับได้ว่าเป็นใครเท่านั้น พรรคแรงงานอันเป็นพรรครัฐบาลอังกฤษเป็นต้องสะดุ้งโหยง


เพราะกิ๊กของท่านมท.1 ดันเป็นถึงบรรณาธิการนิตยสาร Spectator ที่มีนโยบายโจมตีพรรคแรงงานแบบเล่นกันถึงตาย! แต่ท้ายที่สุดแล้ว นักการเมืองฝั่งยุโรปยังอยู่ดีมีสุข แม้จะจับได้คาหนังคาเขา

เพราะ กรณีที่แย่ที่สุดก็คือ การหย่าร้างกับบ้านใหญ่ อย่างกรณีของแบร์ลุสโคนีเห็นได้ชัด ท่านผู้นำไม่แยแสบ้านใหญ่เลยด้วยซ้ำ และไม่แคร์ว่าใครจะสาดเสียเทเสียอย่างไร เพราะเจ้าตัวคงสรุปแล้วว่านี่คือเรื่องส่วนตัวล้วนๆ

สื่อ จะตีไข่ใส่ข่าวอย่างไรก็แล้วแต่เรื่อง ของสื่อ

ทว่า หากเปรียบเทียบกับฝั่งสหรัฐแล้วต้องเรียกว่ามาตรฐานต่างกันสุดขั้ว เพราะอเมริกันชนยังขึ้นชื่อเรื่อง "อนุรักษนิยม" ความรักคือความซื่อสัตย์และการไว้เนื้อเชื่อใจสูงสุด มะกันชนจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ลอยนวลเป็นอันขาด

อย่างกรณีล่า สุด มาร์ก แซนฟอร์ด ผู้ว่าการรัฐ เซาท์แคโรไลนา ต้องมานั่งคอตกสารภาพว่า หนีไปเสพสุขกับกิ๊กสาวชาวอาร์เจนตินา ทิ้งให้ภรรยาในสหรัฐและประชาชนรัฐเซาท์แคโรไลนากังวลอยู่นานว่าพ่อเมืองหาย หน้าไปไหน

ก่อนหน้านี้ยังมีกรณีของ
เอเลียต สปิตเซอร์ อดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กที่จบ แบบหักมุม เพราะผู้ว่าการรัฐรายนี้เปิดฉากล้างบางอาชญากรอย่างไม่ไว้หน้า แต่สุดท้ายตกม้าตายเพราะดันไปใช้บริการคอลเกิร์ลระดับไฮโซจนต้องหลุดลอยจาก ตำแหน่ง

ที่จบแบบหักมุมที่สุดคงต้องเป็นกรณีของ จอห์น เอนไซก์ วุฒิสมาชิกรัฐเนวาดา ที่อุตส่าห์สร้างภาพเป็นผู้รณรงค์โครงการ "แต่งก่อน อยู่" แต่กลับกลายเป็นว่าแอบไปมีสัมพันธ์สวาทกับเจ้าหน้าที่หาเสียงของตัวเองเสีย นี่


หากเทียบกันเปอร์เซ็นต์แล้ว ดีไม่ดีสหรัฐอาจครองตำแหน่งประเทศที่มีนักการเมืองพัวพันกับเรื่องอื้อฉาว ทางเพศมากที่สุดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเบาะๆ อย่างเซ็กซ์นอกสมรสแบบครั้งคราว หรือใช้บริการคุณโส ไปจนถึงกระทั่งกล้าเลี้ยงกิ๊กเป็นตัวเป็นตนอย่างไม่เกรงใจบ้านใหญ่

ใน ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคงปฏิเสธไม่ได้ว่านักการเมืองสหรัฐตายน้ำตื้นเพราะแอบมี กิ๊กนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ระดับประธานาธิบดีจอมซุกซนอย่าง บิล คลินตัน ที่มาหมดท่าเพราะ "น้ำรัก" เพียงหยดเดียว

อย่างกรณีของ จอห์น เอ็ดเวิร์ด ผู้เคยคาดหวังว่าจะชิงเก้าอี้ผู้นำประเทศมาครองได้ แต่กลับนอกใจภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็งจนต้องถอนตัวจากการแย่งบทบาทกับโอบามา

หาก ไล่เรียงกันเป็นรายตัว และเปรียบเทียบตัวตนในฉากหน้ากับข้อหาที่ซุกซ่อนไว้เบื้องหลังแล้ว วัฒนธรรมการมีกิ๊กของนักการเมืองสหรัฐต้องอาศัยวิทยายุทธ์ซ่อนเร้นร่างเงา ยิ่งกว่านักการเมืองประเทศใด เพราะหลายคนอุตส่าห์หักล้างหลักการของตัวเองเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ

ปี 2550
เดวิด วิตเธอร์ วุฒิสมาชิก หนุ่มจากรัฐลุยเซียนา ผู้ชูธงหนุนค่านิยมอันดีงามของสถาบันครอบครัว ถูกจับได้ว่าซื้อบริการจากเครือข่ายหญิงบริการระดับสูงในกรุงวอชิงตัน

กรณี ของ มาร์ก แซนฟอร์ด, เอเลียต สปิตเซอร์ และจอห์น เอนไซก์ นับเป็นจุดจบของนักการเมืองมือถือสาก ปากถือศีลเหมือนกัน

ผิดกับ นักการเมืองสหรัฐหรือกระทั่งส่วนอื่นๆ ของโลกอย่างในเอเชียเองต้องเผชิญกับแรงกดดันมากกว่า ได้แต่ตั้งคำถามว่า นักการเมืองต้องควบคุมมารยาทเรื่องบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ท้ายที่สุดก็ยังต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กันอยู่ร่ำไป เพียงรำพึงรำพันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า

นักการ เมืองมีกิ๊กมันผิดตรงไหน?

*ที่มาโพสต์ทุเดย์

สันติภาพ และความเข้าใจ

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

โดย นภาภรณ์ พิพัฒน์



ถือ โอกาสในช่วงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิออกไปชม "ศาลาไทย" ที่ชานเมืองเมดิสัน พอเห็นถนัดตา ต้องยอมรับในความงามและความประณีตของช่างไทย แม้แต่ชาวต่างชาติที่แวะเวียนไปเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์โอลบริช โบตานิเคิล ยังใช้เวลาสำรวจด้วยความสนใจและชื่นชมศาลาไทยหลังนี้อยู่เป็นนาน

ก่อน มาเมืองเมดิสัน ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับศาลาไทยมาคร่าว ๆ ว่ามาจากความคิดริเริ่มของสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยวิสคอนซินแห่งประเทศไทย โดยหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ คืออาจารย์พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร หรืออาจารย์ป๋อง แห่งเครือมติชน มอบให้แก่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน และเมืองเมดิสัน มีการทำพิธีมอบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2545

ระหว่างเดินดูรอบ ๆ จะเห็นป้ายบรรยายรายละเอียดเรื่องที่น่ารู้เกี่ยวกับศาลา ไม่ว่าจะเป็นตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ จนถึงลวดลายและความหมาย อาทิ งานสลักรูปดอกบัวบนเพดานของศาลา ซึ่งสื่อความหมายของความสมบูรณ์และการรู้แจ้ง จนถึงรูปสลักนาคประดับเรียงรายรองรับหลังคาศาลา สื่อความหมายของอำนาจที่เหนือลมเหนือฝน

กำลังเพลินอ่านจากป้ายหนึ่ง ไปอีกป้าย ฉับพลันต้องย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง "เพื่อสันติภาพและความเข้าใจ" หรือ Building peace and understanding โดยนัยนั้น ศาลาไทยเป็น 1 ใน 3 สัญลักษณ์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รวมถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

การสานสัมพันธ์อันดีด้วยสิ่งดี ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ แสดงถึงความจริงใจ และถือเป็นวัฒนธรรมอันดีงามมาแต่อดีต

คิดมาถึงตรงนี้ ก็คิดต่อไปได้ลำบาก เพราะขณะที่สายสัมพันธ์หนึ่งถักทอขึ้นที่เมืองเมดิสัน ภาพที่ได้เห็นจากเว็บไซต์ข่าวหนังสือพิมพ์จากเมืองไทย บอกเล่าความแตกร้าวระหว่างคนไทยด้วยกันมากขึ้นและหนักข้อทุกวัน เกินเลยคำว่าคิดต่างไปมากเหลือเกิน

การกระทำบอกทุกอย่างได้ดีกว่าคำ พูด แนวทางสันติ อหิงสา ถูกหักล้างด้วยการปิดล้อม ข่มขู่ และท่าทีคุกคาม สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาพที่เราได้เห็นกันบ่อยครั้งขึ้น ต่อยอดจากเรื่องราวในอดีตที่ยากจะลืมของการปะทะกันระหว่างคนบ้านเดียวกันที่ จังหวัดอุดรธานี

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนไทยเปลี่ยนไป คนบ้านเดียวกันรักกันน้อยลง คนไทยด้วยกันแตกแยก และพร้อมทำลายล้างกัน

เพื่อ ประชาธิปไตยจริงหรือ หรือว่าเพื่ออำนาจ-เงินทอง หรือมีเหตุผลอื่นที่ยังค้นหาไม่เจอ หรือบอกไม่ได้

ปริศนานี้ถูกทิ้ง เอาไว้ และรอคอยคำตอบ ท่ามกลางเสียงวิเคราะห์ทั้งวี่ทั้งวัน ของผู้เชี่ยวชาญบ้าง อดีตนักการเมืองบ้าง ผู้จัดรายการบ้าง วนเวียนอยู่แค่ว่า รัฐบาลจะเลือกทำอย่างไร สลายผู้ชุมนุม หรือหลีกเลี่ยงการปะทะไปเรื่อย ๆ

ผู้เขียนก้าวข้ามคำตอบเหล่านี้ไป ตั้งแต่วันวาน ตั้งแต่เห็นแกนนำเสื้อแดงคนหนึ่งพาพรรคพวกบุกไปที่ทำการคณะกรรมการการเลือก ตั้ง (กกต.) ท่าทีและคำพูดในวันนั้นมีความหมายในการกระทำในตัว

ยิ่ง เห็นภาพนั้นซ้ำ ๆ และบ่อยครั้งขึ้นจากฟอร์เวิร์ดเมล์ที่บรรดาเพื่อน ๆ และคนรู้จักส่งมาให้ ยิ่งทำให้ภาพอนาคตประเทศไทยในจินตนาการของผู้เขียนไม่ต้องรอไปไกลถึง 5 ปี 10 ปีข้างหน้า บัดนี้ได้เป็นจริงแล้วตั้งแต่เมื่อวันวาน วันนี้ วันพรุ่งนี้ และในวันต่อ ๆ ไปในอนาคต

คนไทยกำลังอยู่กับความเครียดและภาวะเกือบ จะเป็นทางตันทางการเมือง !!!

ก่อนจากกันไป ขอปิดท้ายคอลัมน์ด้วยเนื้อหาบางตอนของบทกลอนบทหนึ่ง ซึ่งค้นหาได้จากโลกอินเทอร์เน็ต ผู้แต่งได้ตั้งชื่อไว้เปี่ยมด้วยความหมายดี ๆ "I Dream of a World of Peace"

เมื่อท่านได้อ่านความฝันนี้จบลง ลองถามตัวเองนะว่า ยังต้องการความฝันเช่นนี้อยู่บ้างไหม และทำอย่างไรจึงจะได้มา

I dream of a world of peace,

Where people can live a life of ease.

World where there is no difference between rich and poor,

Life being pleasant for living ever more.

I dream of a world of happiness,

Where there is no sight of selfishness.

Where each and everyone can get their needs,

And have belief in their deeds...

ปรัชญาแห่งชีวิต


1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง

2.ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใคร สักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว

3. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่า เราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป

4. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตู ที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนาน จนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูแห่งความสุขบานอื่น ที่เปิดไว้รอ

5. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน โดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด

6. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่า เรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป... แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง จนกระทั่งผลของสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา

7. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่า อย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้น ในใจของเราเอง

8. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวก โดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ

9. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณยังไม่สามารถ "ทำใจ"

10. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดและมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง >>และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน

11. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียวสามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส

12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นอาจใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครอาจใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครอาจใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต

13. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอ ที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข

14. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวด จากสิ่งเดียวกันเช่นกัน

15. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่า เราต้องการเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในตัวเขา

16. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำ สิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก

17. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางจาก ความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ

18. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ...

20ปีทลายกำแพงเบอร์ลินปราการแห่งการแบ่งแยก



ที่มาคมชัดลึก : ภาพประชาชนช่วยกันทำลายกำแพงสูงผ่ากลางใจกลางแบ่งแยกกรุงเบอร์ลินออกเป็นสอง ฝั่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำจารึกเอาไว้เป็นบทหนึ่งของประวัติ ศาสตร์โลก 
วันนี้หน้าประวัติศาสตร์สำคัญของชาวเบอร์ลิน และชาวโลกผู้เป็นประจักษ์พยานจุดเริ่มต้นการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้เวียนมาครบรอบ 20 ปีแล้วในวันจันทร์นี้ โดยบรรดาผู้นำโลกคนสำคัญไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์แห่งอังกฤษ ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซีแห่งฝรั่งเศส ประธานาธิบดีดีมิทรี เมดเวเดฟแห่งรัสเซีย นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่เดินทางมาเป็นตัวแทน ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ติดภารกิจเยือนเอเชีย
 และแน่นอนงานนี้ต้องมีแม่งานหลักอย่าง นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงคนเก่งแห่งเยอรมนีที่วันนี้รวมกันเป็นปึกแผ่นผืนแผ่นดิน เดียวกันมา 20 ปีพอดี รวมทั้ง นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ อดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต
 การรวมตัวกันครั้งสำคัญนี้มีขึ้นเพื่อฉลองช่วงเวลาแห่งความโชติช่วงใน ประวัติศาสตร์ที่เป็นแบบอย่างของการเอาชนะปัญหาต่างๆ ไปได้หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน ในช่วงเวลาที่โลกกำลังประสบปัญหารุมเร้ามากมายเช่นนี้
 คาดว่าจะมีผู้คนออกมารวมตัวกันที่หน้าประตูแบรนเดนเบิร์ก สัญลักษณ์แห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ตั้งอยู่บนจุดที่เคยแบ่งแยกฝั่ง เยอรมนีตะวันออก และตะวันตกกว่า 1 แสนคน
 การรำลึกค่ำคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 มีความสำคัญใหญ่หลวงเพื่อรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก ซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ สร้างความตื่นตะลึงให้แก่โลกเมื่อตัดสินใจเปิดพรมแดนเป็นครั้งแรก หลังจากที่สร้างกำแพงกักขังชาวเบอร์ลินตะวันออกอยู่ในบ้านของตัวเองมานานถึง 28 ปี

 ชาวเยอรมันตะวันออกที่ ทราบข่าวต่างไปออกันที่จุดผ่านเพื่อข้ามกำแพงไปยังเบอร์ลินตะวันตกท่ามกลางความงุนงงของการ์ดชาย แดน ก่อนจะโผเข้าไปกอดประชาชนในฝั่งตะวันตกที่บางคนไม่เคยรู้จักมาก่อน พร้อมร่ำไห้ด้วยความปีติอย่างเหลือล้น
 การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ส่งช็อกเวฟกระเทือนไปทั่วโลกในค่ำคืนนั้น ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสงครามเย็น และปูทางไปสู่การรวมประเทศเยอรมนี ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายนับแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
 "การทำลายม่านเหล็กเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 ยังคงเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตคน เป็นการปลดปล่อยชีวิตผู้คนหลายล้านคน และนำมาสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในโลกที่เสี่ยงต่อการใช้นิวเคลียร์ทำลาย ล้าง" นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ให้ความเห็น
 โดยผู้นำที่มีบทบาทสำคัญต่อเหตุการณ์นี้ ได้แก่ มิคาอิล กอร์บาชอฟ อดีตประธานาธิบดีคนสุดท้ายแห่งสหภาพโซเวียต อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ผู้ล่วงลับ และอดีตนายกรัฐมนตรีเฮลมุด โคห์ลแห่งเยอรมนีตะวันตก
 นายกอร์บาชอฟเผยเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีการทำลายกำแพงเบอร์ลินว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่มีบทบาทในการทำลายกำแพงเบอร์ลิน ก่อนจะปกป้องการตัดสินใจของตัวเองจากการวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิจารณ์ชาวรัส เซียว่า เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย
 "ผมภูมิใจที่เรา และประเทศในยุโรปทั้งตะวันตกและตะวันออกพบจุดหมายเดียวกันด้วยการเห็นแก่ ประโยชน์ของทุกฝ่าย" นายกอร์บาชอฟกล่าวและว่า เป็นนัยๆ ว่าผู้นำทุกคนไม่มีทางเลือกนอกจากยุติการแบ่งแยกดินแดนเยอรมนี
 ส่วนนางแมร์เคิล ที่เดินทางเยือนกรุงวอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนแรกที่เข้าร่วมการประชุมรัฐสภาสหรัฐ และปราศรัยขอบคุณบทบาทของรัฐบาลสหรัฐที่ช่วยสนับสนุนการรวมชาติเยอรมนี พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายช่วยกันสนับสนุนความร่วมมือในประเด็นปัญหา สำคัญๆ อย่างภัยโลกร้อน โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และสงครามอัฟกานิสถาน
 "ฉันเชื่อว่า จากการที่เราพบความแข็งแกร่งในศตวรรษที่ 20 ด้วยการทำลายกำแพงที่ทำจากคอนกรีตและลวดหนามเช่นกำแพงเบอร์ลินได้ เราก็ควรแสดงความแข็งแกร่งเพื่อเอาชนะกำแพงอุปสรรคแห่งศตวรรษที่ 21 ได้ด้วย" นางแมร์เคิลกล่าวต่อรัฐสภาสหรัฐ
 ทั้งนี้ กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นหลังสิ้นสุดสงครามโลก ครั้งที่สอง โดยเริ่มสร้างขึ้นในช่วงปี 2504  เพื่อป้องกันประชาชนจากฝั่งตะวันตกซึ่งไม่ใช่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ข้ามมา แต่ภายหลังกำแพงกลับกลายเป็นปราการเรือนจำที่กักขังชาวเบอร์ลินตะวันออกไม่ให้หนีออกจากประเทศ ก่อนจะเพิ่มความสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกำแพงสูงกว่า 3 เมตร ยาวถึง 140 กิโลเมตร โดยกำแพงจะมีหอสูงคอยสอดส่องพื้นที่กว้างที่รู้จักกันในชื่อ "ลานมรณะ"
 มีประชาชนราว 5,000 คนพยายามจะหนีออกจากหลังกำแพงแห่งนี้ หลายคนหนีสำเร็จ แต่อีกหลายคนถูกการ์ดกำแพงที่คอยเฝ้าระวังอยู่ยิงเสียชีวิต ซึ่งคาดว่าคนจำนวนนี้มีอยู่ราว 100-200 คน
 ระหว่างที่การปฏิวัติเกิดขึ้นทั่วยุโรปตะวันออก รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกประกาศเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 หลายสัปดาห์หลังเกิดเหตุจลาจลในประเทศ ว่าประชาชนในเยอรมนีตะวันออกสามารถเข้าไปเยือนฝั่งตะวันตก และเบอร์ลินตะวันตกได้ ทำให้ฝูงชนจากฝั่งตะวันออกพากันปีนป่ายข้ามกำแพงไปหาชาวเยอรมันตะวันตกท่าม กลางบรรยากาศฉลองกันด้วยความดีใจของประชาชนทั้งสองฝ่ายที่ช่วยกันพังกำแพงลง มาด้วยมือของตัวเอง
 ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา หลายส่วนของกำแพงก็ถูกพังลงโดยฝีมือของประชาชน หรือพวกนักล่าของสะสม ก่อนที่เครื่องมือหนักจะมารื้อกำแพงทั้งหมดทิ้ง และนำไปสู่การรวมประเทศเยอรมนีอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ตุลาคม 2533
 นับจากวันนั้นจวบจนวันนี้ เยอรมนีเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลก ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีอิทธิพลบนเวทีโลกตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ส่วนเบอร์ลิน ก็กลายเป็นเมืองหลวงที่มีความล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
 แต่เยอรมนีวันนี้ ก็ยังเหลือร่องรอยแผลเป็นจากการแบ่งแยก เพราะอัตราคนว่างงานในฝั่งตะวันออก ยังคงมากกว่าฝังตะวันตกเป็น 2 เท่า นอกเหนือจากความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างคนฝั่งตะวันตก "ผู้เย่อหยิ่ง" และคนฝั่งตะวันออก "ผู้ทรพี"
 โจเชน สตาดท์ นักรัฐศาสตร์ผู้ทำการวิจัยคอมมิวนิสต์ในเยอรมนี ประจำมหาวิทยาลัยฟรี ยูนิเวอร์ซิตี้ ในกรุงเบอร์ลินกล่าวว่า ทุกวันนี้ยังคงมีความแตกต่างระหว่างชาวเยอรมันตะวันตกและตะวันออกอย่างมาก
 "การสำรวจความคิดเห็นถามว่าอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา ฝ่ายตะวันตกระบุว่า ความเท่าเทียมทางเสรีภาพ ขณะที่ฝ่ายตะวันออกระบุว่า ความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ" นายสตาดท์กล่าว
 แต่ถึงใครจะมองอย่างไร ในสายตาของศิลปินแล้ว ที่แห่งนี้คือผืนผ้าใบผืนใหญ่ที่เปิดโอกาสให้ได้แสดงความรู้สึกเกี่ยวกับ กำแพงแห่งนี้ หนึ่งในนั้นคือ เกอร์ฮาร์ด ไคร์ดเนอร์ หนึ่งในศิลปิน 90 ชีวิตที่มาร่วมสร้างสีสันชีวิตใหม่ให้แก่กำแพง
 "นี่เป็นเรื่องสะเทือนใจผมมาก เมื่อก่อนกำแพงเบอร์ลินเคยยืนหยัดเพื่อลิดรอนเสรีภาพ" นายไคร์ดเนอร์ ผู้หลบหนีจากเยอรมนีตะวันออกไปยังตะวันตกสมัยยังหนุ่มกล่าว แต่ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันบนกำแพงที่เป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพ เพื่อร่วมสร้างสรรค์งานศิลป์ให้คงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน